https://he04.tci-thaijo.org/index.php/AJNHS/issue/feed วารสารวิชาการทางการพยาบาลและวิทยาศาสตร์สุขภาพ 2025-11-17T11:38:00+07:00 ดร.ผดุงศิษฎ์ ชำนาญบริรักษ์ phadoongsit@smnc.ac.th Open Journal Systems <p><strong>วารสารวิชาการทางการพยาบาลและวิทยาศาสตร์สุขภาพ เป็นวารสารทางการพยาบาลราย 4 เดือน จัดทำขึ้นโดยวิทยาลัยพยาบาลศรีมหาสารคาม คณะพยาบาลศาสตร์ สถาบันพระบรมราชชนก เพื่อเผยแพร่และส่งเสริมความรู้เกี่ยวกับการพยาบาล การศึกษา การสาธารณสุข และความรู้จากศาสตร์อื่นๆ ที่เป็นประโยชน์<br /><br />วัตถุประสงค์</strong></p> <ol> <li>เพื่อเผยแพร่และส่งเสริมความรู้เกี่ยวกับการพยาบาล การศึกษา การสาธารณสุข และความรู้จากศาสตร์อื่นๆ ที่เป็นประโยชน์</li> <li>เพื่อเผยแพร่ผลงานวิชาการ งานวิจัย บทความวิชาการ บทความพิเศษ ปกิณกะสาระความรู้ ด้านการพยาบาล การสาธารณสุข การศึกษา ให้แก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและผู้ที่ต้องการศึกษาค้นคว้า</li> <li>เพื่อเสริมสร้างนักวิชาการทางการพยาบาล การศึกษา การสาธารณสุข และเผยแพร่ความรู้จากประสบการณ์และการศึกษา ค้นคว้าเพื่อนำไปสู่การสร้างองค์ความรู้ใหม่</li> <li>เพื่อเป็นสื่อกลางการติดต่อสัมพันธ์ ระหว่างบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขร่วมกับสหวิชาชีพทั่วประเทศ</li> <li>เป็นแหล่งเผยแพร่ผลงานของสมาชิกวารสารวิทยาลัยพยาบาลศรีมหาสารคาม</li> </ol> <p><strong>ประเภทบทความที่ตีพิมพ์เผยแพร่</strong></p> <ol> <li>รายงานผลการวิจัย (Research report) หรือรายงานการค้นคว้าและการสำรวจด้านวิชาชีพการพยาบาลหรือสหวิชาชีพ อันจะเป็นประโยชน์ต่อวิชาชีพการพยาบาลและการบริการสุขภาพ</li> <li>บทความทางวิชาการ (Articles) ที่เกี่ยวข้องกับวิชาชีพการพยาบาลหรือสหวิชาชีพ ที่มีเนื้อหาทันสมัย นำเสนอองค์ความรู้และข้อคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ต่อวิชาชีพการพยาบาลและการบริการสุขภาพ</li> <li>บทความพิเศษ (Special articles) ประสบการณ์ด้านวิชาชีพการพยาบาลหรือสหวิชาชีพ ประสบการณ์ทางคลินิกพยาบาลหรือสหวิชาชีพ บทวิจารณ์เชิงสร้างสรรค์วิชาชีพพยาบาล บทสัมภาษณ์ทางวิชาชีพการหรือสาขาอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง</li> <li>บทความปกิณกะ (Miscellany) หรือนานาสาระ เป็นบทความที่แสดงข้อคิดเห็นสาระสำคัญบางประการที่น่าสนใจและที่เกี่ยวข้องกับวิชาชีพพยาบาล ที่ไม่อาจจัดเข้าประเภทที่ 1-3 ได้บทความที่ได้รับการตีพิมพ์ต้องผ่านการพิจารณากลั่นกรองคุณภาพ จากผู้ทรงคุณวุฒิ (Peer Review) ในสาขาที่เกี่ยวข้อง ผู้ที่ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียกับผู้นิพนธ์ และต่างหน่วยงาน/ต่างสถาบัน จำนวน 3 ท่าน โดยผู้ประเมินจะไม่ทราบชื่อผู้นิพนธ์บทความ (Double blind) และได้รับความเห็นชอบจากกองบรรณาธิการ</li> </ol> <p><strong>กระบวนการ</strong><strong> Peer Review Process</strong></p> <p> บทความที่ได้รับการตีพิมพ์ต้องผ่านการพิจารณากลั่นกรองคุณภาพ จากผู้ทรงคุณวุฒิ (Peer Review) ในสาขาที่เกี่ยวข้อง ผู้ที่ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียกับผู้นิพนธ์ จำนวน 2 ท่าน <strong>โดยผู้ประเมินจะไม่ทราบชื่อผู้นิพนธ์บทความ (Double blind)</strong> และได้รับความเห็นชอบจากกองบรรณาธิการ</p> <p><strong>กำหนดการออกวารสาร</strong><strong><br /></strong>จัดพิมพ์ปีละ 3 ฉบับ ดังนี้<br /> ฉบับที่ 1 (เดือน มกราคม – เมษายน)<br /> ฉบับที่ 2 (เดือน พฤษภาคม – สิงหาคม)<br /> ฉบับที่ 3 (เดือน กันยายน – ธันวาคม)</p> <p> </p> https://he04.tci-thaijo.org/index.php/AJNHS/article/view/3734 การพัฒนารูปแบบการคัดกรองผู้ป่วยวัณโรคปอด โรงพยาบาลนาดูน 2025-10-02T14:36:58+07:00 อักษราพรรณ ภรณ์สุขสมบูรณ์ phadoongsit@smnc.ac.th <p>การวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อพัฒนารูปแบบการคัดกรองผู้ป่วยวัณโรคปอดและศึกษาผลของการพัฒนารูปแบบการคัดกรองผู้ป่วยวัณโรคปอดโรงพยาบาลนาดูน ระยะเวลา ตุลาคม 2566 - กรกฎาคม 2567 กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วย บุคลากรทีมสหวิชาชีพ 17 คน และผู้ป่วยที่สงสัยวัณโรคปอด 68 ราย ดำเนินการ 4 ขั้นตอน คือ การวางแผน การปฏิบัติการ การทดลองและติดตามประเมินผล และการสะท้อนผล เครื่องมือวิจัยประกอบด้วย แบบประเมินความรู้ แนวคำถามสัมภาษณ์เชิงลึก และแบบประเมินความพึงพอใจ วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณด้วยสถิติพรรณนาและ Wilcoxon Signed-Rank Test ข้อมูลเชิงคุณภาพโดยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา</p> <p>&nbsp; ผลการวิจัยการพัฒนารูปแบบการคัดกรองประกอบด้วย 6 แนวทาง ได้แก่ การจัดพยาบาลรับผิดชอบจุดคัดกรอง การจัดพยาบาลรับผิดชอบคลินิกโรคระบบทางเดินหายใจ การจัดการผู้ป่วยไข้ ไอ จาม ให้นั่งรอคัดแยกที่คลินิกโรคทางเดินหายใจ การใช้แบบคัดกรองวัณโรคปอด การส่งช่องทางด่วนสำหรับผู้ป่วยสงสัยวัณโรคปอด และการเพิ่มการสื่อสาร รูปแบบหลังการพัฒนามีความครอบคลุมมากขึ้น ช่วยแยกกลุ่มผู้ป่วยตามระดับความเสี่ยง ลดความแออัดในคลินิกวัณโรค และเพิ่มการตรวจ COVID-19 คะแนนความรู้ของบุคลากรเพิ่มขึ้นจาก 12.53 เป็น 15.71 (P &lt; 0.001) และบุคลากรมีความพึงพอใจต่อระบบคัดกรองในระดับมาก ( <img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\overline{X}" alt="equation">= 3.97)</p> <p>สรุปผลการพัฒนารูปแบบการคัดกรองผู้ป่วยวัณโรคปอดโดยใช้การวิจัยเชิงปฏิบัติการสามารถปรับปรุงประสิทธิภาพการคัดกรองได้อย่างมีนัยสำคัญ เพิ่มความรู้ความเข้าใจของบุคลากร และสร้างความพึงพอใจให้กับทั้งผู้ให้และผู้รับบริการ รูปแบบที่พัฒนาขึ้นสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในสถานพยาบาลที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน</p> 2025-10-02T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://he04.tci-thaijo.org/index.php/AJNHS/article/view/3774 ประสิทธิผลของโปรแกรมให้ความรู้ด้านการดูแลสุขภาพตนเองของหญิงตั้งครรภ์ ผ่านระบบบริการสาธารณสุขทางไกล โรงพยาบาลท่าอุเทน จังหวัดนครพนม 2025-10-13T09:22:41+07:00 สาวิตรี ปวรางกูร journal_smnc@smnc.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสิทธิผลของโปรแกรมให้ความรู้ด้านการดูแลสุขภาพตนเองของหญิงตั้งครรภ์ ผ่านระบบบริการสาธารณสุขทางไกล โรงพยาบาลท่าอุเทน จังหวัดนครพนม การวิจัยเป็นแบบกึ่งทดลอง (Quasi-Experimental Research) โดยใช้แบบแผนการวิจัยสองกลุ่มวัดก่อนและหลังการทดลอง (Two-Group Pretest-Posttest Design) กลุ่มตัวอย่างคือหญิงตั้งครรภ์ที่มาฝากครรภ์ในโรงพยาบาลท่าอุเทน จังหวัดนครพนม ระหว่างเดือนมีนาคม–กันยายน พ.ศ. 2568 จำนวน 62 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลอง 31 คน และกลุ่มควบคุม 31 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) แบบสอบถามข้อมูลทั่วไป 2) แบบสอบถามการรับรู้ด้านการดูแลสุขภาพของหญิงตั้งครรภ์ 3)โปรแกรมให้ความรู้ด้านการดูแลสุขภาพตนเองของหญิงตั้งครรภ์ ผ่านระบบบริการสาธารณสุขทางไกล การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมาน Paired Sample t-test และ Independent Sample t-test กำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติไว้ที่ .05</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า หลังได้รับโปรแกรม หญิงตั้งครรภ์ในกลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยการรับรู้ด้านการดูแลสุขภาพสูงกว่าก่อนทดลอง และสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p &lt; .05) ในทุกด้าน ได้แก่ ด้านอาหารและการใช้ยา ด้านภาวะแทรกซ้อน และด้านสัญญาณอันตราย โดยหญิงตั้งครรภ์ในกลุ่มทดลองสามารถนำความรู้ไปใช้ในการดูแลสุขภาพได้จริง</p> <p>สรุปได้ว่า โปรแกรมให้ความรู้ด้านการดูแลสุขภาพตนเองของหญิงตั้งครรภ์ ผ่านระบบบริการสาธารณสุขทางไกล มีประสิทธิผลในการเสริมสร้างความรู้ ความตระหนัก และพฤติกรรมการดูแลสุขภาพที่เหมาะสมของหญิงตั้งครรภ์ อีกทั้งสามารถประยุกต์ใช้ในคลินิกฝากครรภ์ของโรงพยาบาลชุมชน เพื่อยกระดับคุณภาพการดูแลสุขภาพแม่และเด็กในระดับพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน</p> 2025-10-13T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://he04.tci-thaijo.org/index.php/AJNHS/article/view/3850 การพยาบาลผู้ป่วยบาดเจ็บไขสันหลังระยะกลางที่มีปัญหาซับซ้อน: กรณีศึกษา 2 ราย 2025-10-26T11:48:52+07:00 นงเล็ก แก้วมะไฟ journal_smnc@smnc.ac.th <p>การบาดเจ็บไขสันหลังส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนไหว การรับความรู้สึก และการทำงานของระบบประสาทอัตโนมัติ ส่งผลต่อสภาพร่างกาย จิตใจ สังคม และคุณภาพชีวิต การฟื้นฟูระยะกลางเป็นช่วงสำคัญในการฟื้นฟูสมรรถภาพและป้องกันภาวะแทรกซ้อน</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong>: เพื่อเปรียบเทียบภาวะแทรกซ้อน ผลลัพธ์การฟื้นฟู และผลการพยาบาลผู้ป่วยบาดเจ็บไขสันหลังระยะกลางที่มีระดับการบาดเจ็บต่างกัน กรณีศึกษา 2 ราย</p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong>: เลือกกรณีศึกษาแบบเจาะจง ผู้ป่วยบาดเจ็บไขสันหลังระยะกลาง 2 ราย ที่เข้ารับการรักษาในหอผู้ป่วยเวชกรรมฟื้นฟู โรงพยาบาลมหาสารคาม ระหว่างเดือนมกราคม - กรกฎาคม พ.ศ. 2568 ใช้รูปแบบการวิจัยเชิงคุณภาพแบบกรณีศึกษาเปรียบเทียบ (Comparative Case Study) เครื่องมือที่ใช้ประกอบด้วย แบบบันทึกข้อมูลเวชระเบียนผู้ป่วย ศึกษาประวัติผู้ป่วย การดำเนินการของโรค การรักษาพยาบาล โดยรวบรวมข้อมูลจากเวชระเบียนผู้ป่วย และวิเคราะห์กรณีศึกษาโดยใช้แบบแผน</p> <p>การรับรู้สุขภาพของกอร์ดอน และการดูแลผู้ป่วยโดยใช้กระบวนการพยาบาลและทฤษฎีการพยาบาลของโอเร็ม</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong>: ผู้ป่วยบาดเจ็บระดับสูง (C4-C6) มีภาวะแทรกซ้อนหลายประการ ได้แก่ การกลืนลำบาก กล้ามเนื้อเกร็ง ภาวะประสาทอัตโนมัติตอบสนองผิดปกติ แผลกดทับ การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ ท้องผูก และซึมเศร้า คะแนนดัชนีบาร์เทลเพิ่มจาก 0 เป็น 5 คะแนน แสดงถึงการพึ่งพาในระดับสูง ส่วนผู้ป่วยบาดเจ็บระดับต่ำ (T11-T12) พบภาวะแทรกซ้อนน้อยกว่า คะแนนดัชนีบาร์เทลเพิ่มจาก 20 เป็น 30 คะแนน สะท้อนความสามารถดูแลตนเองบางส่วนและผลการฟื้นฟูที่ดีกว่า ที่ระยะวันนอนรักษา 11 วันเท่ากัน</p> <p><strong>สรุป</strong>: ระดับการบาดเจ็บมีผลโดยตรงต่อความรุนแรงของภาวะแทรกซ้อนและศักยภาพการฟื้นฟู การประเมินแบบองค์รวมและการวางแผนการพยาบาลเฉพาะรายจึงมีความสำคัญในการลดภาวะแทรกซ้อนและส่งเสริมการฟื้นฟู ข้อเสนอแนะคือควรพัฒนาแนวทางการพยาบาลที่สอดคล้องกับระดับการบาดเจ็บและเสริมสร้างศักยภาพผู้ป่วยและครอบครัวเพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิตระยะยาว</p> 2025-10-26T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://he04.tci-thaijo.org/index.php/AJNHS/article/view/3851 การพัฒนารูปแบบการดูแลเพื่อความปลอดภัยของผู้ป่วยที่รับวาร์ฟาริน ในคลินิกวาร์ฟาริน โรงพยาบาลนาเชือก 2025-10-26T11:58:28+07:00 พิชญ์ณัฐฏ์ ไชยรัตน์ journal_smnc@smnc.ac.th สุปิยา ชัยพิสุทธิ์สกุล journal_smnc@smnc.ac.th <p>การวิจัยเชิงปฏิบัติการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาและประเมินประสิทธิผลของรูปแบบการดูแลเพื่อความปลอดภัยของผู้ป่วยที่รับวาร์ฟารินในคลินิกวาร์ฟาริน โรงพยาบาลนาเชือก โดยมีกลุ่มตัวอย่างเป็นพยาบาลที่ปฏิบัติงานในคลินิกวาร์ฟาริน จำนวน 13 คน และผู้ป่วยที่มารับบริการ จำนวน 40 คน ซึ่งคัดเลือกแบบเฉพาะเจาะจง การดำเนินการวิจัยแบ่งออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 การเตรียมการ ระยะที่ 2 การพัฒนารูปแบบการดูแล และระยะที่ 3 การประเมินผล รูปแบบที่พัฒนาขึ้นผ่านการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหาโดยผู้ทรงคุณวุฒิ 4 ท่าน ได้ค่าความตรงเชิงเนื้อหา (IOC) เท่ากับ 0.92 และค่าความเที่ยงจากการทดลองใช้เท่ากับ 0.85 การรวบรวมข้อมูลดำเนินระหว่างเดือนธันวาคม 2566 ถึง สิงหาคม 2567 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p><strong>ผลการวิจัย</strong>: พบว่ารูปแบบการดูแลประกอบด้วย 4 หมวดหลัก พยาบาลมีความพึงพอใจต่อการใช้รูปแบบในระดับมากที่สุด ค่าเฉลี่ย 4.95 (SD = 0.07) เช่นเดียวกับผู้ป่วยที่มีความพึงพอใจในระดับมากที่สุด ค่าเฉลี่ย 4.95 (SD = 0.037) ผลลัพธ์ของการใช้รูปแบบการดูแล พบว่า ผู้ป่วยมีความเข้าใจในการดูแลตนเองเพิ่มขึ้น ร้อยละ 34.34 และมีแนวโน้มของการลดภาวะแทรกซ้อนจากยา warfarin ลดลงจากร้อยละ 4.50 ในปี 2565 เหลือเพียงร้อยละ 0.65 ในปี 2567</p> <p><strong>สรุปผลการศึกษา:</strong> รูปแบบการดูแลที่พัฒนาขึ้นสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการดูแลผู้ป่วย เพิ่มความเข้าใจในการดูแลตนเอง ลดภาวะแทรกซ้อนจากยา warfarin และพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้ป่วยได้อย่างมีนัยสำคัญ</p> 2025-10-26T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://he04.tci-thaijo.org/index.php/AJNHS/article/view/3852 การพัฒนาแนวทางการใช้บริการห้องปฏิบัติการอย่างคุ้มค่าในโรงพยาบาลนาดูน จังหวัดมหาสารคาม 2025-10-26T12:10:01+07:00 พรทิวา ไชยสงคราม journal_smnc@smnc.ac.th อุมารินทร์ ภาระจ่า journal_smnc@smnc.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาแนวทางการใช้บริการห้องปฏิบัติการอย่างคุ้มค่าในการตรวจ Hemoglobin A1c (HbA1c) ของผู้ป่วยเบาหวานในโรงพยาบาลนาดูน จังหวัดมหาสารคาม เพื่อลดอัตราการตรวจซ้ำภายใน 90 วัน และประเมินผลการใช้แนวทางการใช้บริการห้องปฏิบัติการอย่างคุ้มค่าในการตรวจ Hemoglobin A1c (HbA1c) ของผู้ป่วยเบาหวาน ระหว่างเดือนตุลาคม 2566 ถึงกันยายน 2567 กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยผู้ป่วยเบาหวาน 1,910 ราย และทีมสหวิชาชีพ 16 คน คัดเลือกแบบเจาะจง ดำเนินการตามขั้นตอนการวิจัยแบ่งออกเป็น 4 ขั้นตอน ได้แก่ การวางแผน การปฏิบัติ การสังเกต และการสะท้อนผล แนวทางที่พัฒนาขึ้นประกอบด้วย (1)แนวทางการสั่งตรวจ HbA1c ตามข้อบ่งชี้ทางคลินิก (2)ระบบเตือนความจำอิเล็กทรอนิกส์ในโปรแกรม HOSxP (3)การอบรมทีมสหวิชาชีพ (4)การให้ความรู้ผู้ป่วย และ(5)ระบบติดตามและประเมินผล เครื่องมือที่ใช้ประกอบด้วย แบบบันทึกข้อมูลการตรวจ HbA1c แนวทางการใช้บริการห้องปฏิบัติการ แบบทดสอบความรู้ และแบบประเมินความพึงพอใจ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า อัตราการตรวจ HbA1c ซ้ำภายใน 90 วันลดลงจากร้อยละ 5.08 ในปี 2566 เป็นร้อยละ 0.37 ในปี 2567 (p &lt; 0.001) คะแนนความรู้เฉลี่ยของทีมสหวิชาชีพเพิ่มจาก 6.25 ± 1.18 เป็น 9.31 ± 0.70 ทันทีหลังอบรม (p &lt; 0.001) และคงอยู่ในระดับสูง (9.06 ± 0.77) หลัง 6 เดือน ผู้ป่วยมีความพึงพอใจในระดับดีมาก (คะแนนเฉลี่ย 4.58 ± 0.44) ผลการวิจัยแสดงว่าแนวทางที่พัฒนาขึ้นมีประสิทธิผลในการลดการตรวจซ้ำที่ไม่จำเป็น เพิ่มความรู้ของทีมสหวิชาชีพ และเพิ่มความพึงพอใจของผู้ป่วย ส่งผลให้เกิดการใช้ทรัพยากรทางการแพทย์อย่างคุ้มค่าและยั่งยืน</p> 2025-10-26T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://he04.tci-thaijo.org/index.php/AJNHS/article/view/3924 การพัฒนารูปแบบการพยาบาลผู้ป่วยบาดเจ็บวิกฤต (Trauma triage level 1) แผนกอุบัติเหตุฉุกเฉินและนิติเวช โรงพยาบาลนาเชือก จังหวัดมหาสารคาม 2025-11-08T10:11:08+07:00 แววนภา ปุปาจันโท journal_smnc@smnc.ac.th กัลยารัตน์ ระถี journal_smnc@smnc.ac.th <p>การวิจัยเชิงปฏิบัติการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาและประเมินประสิทธิภาพของรูปแบบการพยาบาลผู้ป่วยบาดเจ็บวิกฤต (Trauma triage level 1) ในแผนกอุบัติเหตุและฉุกเฉิน โรงพยาบาลนาเชือก จังหวัดมหาสารคาม กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยพยาบาลวิชาชีพ 10 คน และผู้ป่วยบาดเจ็บวิกฤตจำนวน 30 คน ดำเนินการวิจัย 3 ระยะ ได้แก่ ระยะเตรียมการ พัฒนาระบบ และประเมินผล เครื่องมือผ่านการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหาโดยผู้ทรงคุณวุฒิ 4 ท่าน มีค่าดัชนีความตรง 0.95 และค่าความเที่ยงจากการสังเกตร่วม 0.89 รวบรวมข้อมูลระหว่างเดือนตุลาคม 2567 ถึง กันยายน 2568 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนา</p> <p><strong>ผลการวิจัย</strong>: พบว่าพยาบาลส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ร้อยละ 90.00 อายุเฉลี่ย 27.80 ปี มีประสบการณ์ 1–3 ปี ร้อยละ 40.00 และผ่านการอบรม ACLS ร้อยละ 90.00 ผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นเพศชาย ร้อยละ 60.00 ช่วงอายุ 0–15 ปี, 31–45 ปี และมากกว่า 60 ปี ร้อยละ 23.30 ส่วนใหญ่เกิดจากอุบัติเหตุจราจร ร้อยละ 83.33 การวินิจฉัยที่พบบ่อยคือ Multiple Trauma ร้อยละ 46.70 และ Traumatic Brain Injury ร้อยละ 33.30 รูปแบบการพยาบาลที่พัฒนาขึ้นมี 11 หมวด ได้รับการประเมินว่ามีความสามารถในการปฏิบัติระดับดีมาก ร้อยละ 90.00 การใช้แบบประเมินมีความถูกต้อง รวดเร็ว และแม่นยำ ร้อยละ 100.00 ความพึงพอใจอยู่ในระดับดีมาก ร้อยละ 100.00 อัตราการเสียชีวิตลดลงเหลือร้อยละ 10.00 และ Door to refer ภายใน 1 ชั่วโมง ร้อยละ 100.00</p> <p><strong>สรุปผลการศึกษา</strong>: รูปแบบการพยาบาลที่พัฒนาขึ้นช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการประเมินและดูแลผู้ป่วยบาดเจ็บวิกฤต และลดอัตราการเสียชีวิตได้อย่างชัดเจน</p> 2025-11-08T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://he04.tci-thaijo.org/index.php/AJNHS/article/view/3925 การพัฒนาระบบการคัดแยกประเภทผู้ป่วย งานผู้ป่วยนอกและอุบัติเหตุฉุกเฉิน โรงพยาบาลนาเชือก จังหวัดมหาสารคาม 2025-11-08T10:23:42+07:00 คำพลอย ภาระโข journal_smnc@smnc.ac.th ทัศนีย์ เทียงแก้ว journal_smnc@smnc.ac.th <p>การวิจัยเชิงปฏิบัติการนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาและศึกษาประสิทธิผลระบบการคัดแยกประเภทผู้ป่วย ในงานผู้ป่วยนอกและอุบัติเหตุฉุกเฉิน โรงพยาบาลนาเชือก กลุ่มตัวอย่างคือพยาบาลที่ปฏิบัติงานในแผนกผู้ป่วยนอกและอุบัติเหตุฉุกเฉิน จำนวน 13 คนและผู้ป่วยที่มารับบริการในงานผู้ป่วยนอกและอุบัติเหตุฉุกเฉิน คัดเลือกแบบเฉพาะเจาะจง จำนวน 400 คน แบ่งเป็น 3 ระยะ ระยะที่ 1 ระยะเตรียมการ ระยะที่ 2 ระยะพัฒนาระบบการคัดแยกประเภทผู้ป่วย ระยะที่ 3 ระยะประเมินผล เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูล ประกอบด้วย แบบประเมินความสามารถในการคัดแยกประเภทผู้ป่วย แบบประเมินความพึงพอใจ และระบบการคัดแยกประเภทผู้ป่วย รวบรวมขอมูลระหว่างเดือนธันวาคม 2566-สิงหาคม 2567 วิเคราะห์ขอมูลด้วยสถิติ ความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยและสวนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p><strong>ผลการศึกษา </strong><strong>: </strong>พบว่าระบบการคัดแยกประเภทผู้ป่วยที่พัฒนาขึ้นประกอบด้วย 4 หมวด พยาบาลมีความสามารถในการคัดแยก ร้อยละ 92.30 มีความพึงพอใจในการใช้ระบบการคัดแยก ร้อยละ 86.67 และอยู่ในระดับมาก ค่าเฉลี่ย 4.41 (S.D.= 0.33) ผลลัพธ์ของระบบการคัดแยกประเภทผู้ป่วย ในปี พ.ศ.2567 อัตราการคัดกรองผิดพลาด Under triage ลดลงเหลือ ร้อยละ 1.75 นอกจากนี้ ยังพบว่าไม่มีผู้ป่วยอาการทรุดลงขณะรอ</p> <p><strong>สรุปผลการศึกษา</strong><strong> : </strong>ระบบการคัดแยกประเภทผู้ป่วยที่พัฒนาขึ้นสะท้อนผลของการมีระบบที่ชัดเจน รวมถึงการใช้เครื่องมือที่สนับสนุนการประเมินอาการได้แม่นยำยิ่งขึ้น แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพของการพัฒนาระบบการคัดแยกผู้ป่วยที่สามารถลดความคลาดเคลื่อนในการประเมินความรุนแรงของผู้ป่วยได้อย่างมีนัยสำคัญ</p> 2025-11-08T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://he04.tci-thaijo.org/index.php/AJNHS/article/view/3926 ผลการพัฒนาและใช้แนวการปฏิบัติการพยาบาลเพื่อป้องกันและควบคุม การแพร่กระจายเชื้อดื้อยาที่ต้องควบคุมพิเศษ 2025-11-08T10:37:22+07:00 ระวีวรรณ์ อ้อมอารี journal_smnc@smnc.ac.th <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา พัฒนา และประเมินผลการใช้แนวปฏิบัติการพยาบาลเพื่อป้องกันและควบคุมการแพร่กระจายเชื้อดื้อยาที่ต้องควบคุมพิเศษในโรงพยาบาลจอมทอง เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยบุคลากรพยาบาลที่ปฏิบัติงานในหอผู้ป่วย 9 แห่ง จำนวน 129 คน และทีมพัฒนาจำนวน 19 คน ดำเนินการวิจัยระหว่างเดือนเมษายน พ.ศ. 2562 – มีนาคม พ.ศ. 2564 กระบวนการวิจัยประกอบด้วย 4 ระยะ ได้แก่ การศึกษาสถานการณ์ การพัฒนาแนวปฏิบัติ การนำไปใช้จริง และการประเมินผล ผลการวิจัยพบว่า</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; 1) สถานการณ์การดูแลผู้ป่วยติดเชื้อดื้อยาที่ต้องควบคุมพิเศษในโรงพยาบาลจอมทอง มีข้อจำกัดทั้งด้านโครงสร้าง เช่น ขาดนโยบายที่ชัดเจน การอบรมไม่ครอบคลุม และไม่มีระบบติดตามประเมินผลอย่างต่อเนื่อง กระบวนการดูแลยังมีช่องว่างในด้านการแยกผู้ป่วย การใช้เครื่องป้องกัน และความไม่เพียงพอของเวชภัณฑ์ รวมถึงผลลัพธ์ยังพบผู้ป่วยติดเชื้อ CRE, VRE และ Acinetobacter baumannii ที่ดื้อต่อยา ซึ่งบางรายมีภาวะแทรกซ้อนรุนแรงและเสียชีวิต</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; 2) แนวทางการปฏิบัติการพยาบาลที่พัฒนาขึ้น ประกอบด้วย 7 กิจกรรมในหลักการ SHIPPEE+B ได้แก่ การแยกของใช้ส่วนตัว (S), การล้างมือ (H), การแยกผู้ป่วย (I), การใช้มาตรการป้องกัน (P), การให้ความรู้ (E), การทำความสะอาดสิ่งแวดล้อม (E) และการอาบน้ำด้วยสารฆ่าเชื้อ (B) โดยผ่านกระบวนการประชุมเชิงปฏิบัติการ การทดลองใช้ และการปรับปรุงร่วมกับผู้เชี่ยวชาญและผู้ปฏิบัติงาน</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; 3) ผลการประเมินหลังการใช้แนวปฏิบัติพบว่า อุบัติการณ์การติดเชื้อดื้อยาที่ต้องควบคุมพิเศษลดลงจาก 0.570 เป็น 0.278 ครั้งต่อ 1,000 วันนอน พฤติกรรมการปฏิบัติที่ถูกต้องเพิ่มขึ้นจาก ร้อยละ 60.3 เป็น 95.2 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P&lt;.001) บุคลากรพยาบาลมากกว่าร้อยละ 90 มีความเห็นว่าแนวทางดังกล่าวเหมาะสมกับบริบท นำไปใช้ได้จริง และช่วยลดการแพร่กระจายเชื้อดื้อยาในหน่วยงาน</p> 2025-11-08T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://he04.tci-thaijo.org/index.php/AJNHS/article/view/3956 การพัฒนาแนวทางปฏิบัติการพยาบาลเพื่อป้องกันภาวะขาดออกซิเจนในทารกแรกเกิด โรงพยาบาลเชียงยืน จังหวัดมหาสารคาม 2025-11-17T11:08:23+07:00 จิราภรณ์ ภูปรื้ม journal_smnc@smnc.ac.th นุสรา ธนเหมะธุลิน journal_smnc@smnc.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาสภาพปัญหาและสถานการณ์ภาวะขาดออกซิเจนในทารกแรกเกิด โรงพยาบาลเชียงยืน จังหวัดมหาสารคาม (2) พัฒนาแนวทางปฏิบัติการพยาบาลเพื่อป้องกันภาวะขาดออกซิเจนในทารกแรกเกิด และ (3) ประเมินผลการใช้แนวทางดังกล่าว โดยใช้กรอบแนวคิดไอโอวาโมเดล กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยพยาบาลวิชาชีพห้องคลอด 10 คน และทารกแรกเกิด 10 ราย ที่คลอดในโรงพยาบาลเชียงยืน ระหว่างเดือนตุลาคม พ.ศ. 2567 ถึงเดือนกันยายน พ.ศ. 2568 เครื่องมือวิจัยได้แก่ แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล แบบสอบถามแนวปฏิบัติการพยาบาล แบบประเมินความพึงพอใจ และแบบบันทึกผลลัพธ์ทางการพยาบาล การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติพรรณนา ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า แนวทางการพยาบาลที่มีอยู่เดิมยังไม่เป็นระบบเดียวกัน การปฏิบัติงานส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ของพยาบาลแต่ละบุคคล แนวทางที่พัฒนาขึ้นประกอบด้วย 4 องค์ประกอบ ได้แก่ การดูแลขณะแรกรับ การดูแลระยะรอคลอด การดูแลระยะคลอด และการประเมินสมรรถนะทารกแรกเกิด ซึ่งอ้างอิงจากหลักฐานเชิงประจักษ์ 15 เรื่อง ภายหลังการใช้แนวทาง พบว่าพยาบาลมีความถูกต้องในการปฏิบัติเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 70–100 เป็นร้อยละ 90–100 ความพึงพอใจต่อแนวทางอยู่ในระดับมาก (ค่าเฉลี่ย = 2.67, S.D. = 0.45) และอัตราการเกิดภาวะขาดออกซิเจนในทารกแรกเกิดลดลงเหลือร้อยละ 1.28 หรือ 12.8 ต่อพันการเกิดมีชีพ โดยไม่พบการเสียชีวิตของทารก</p> <p>สรุปได้ว่า แนวทางปฏิบัติการพยาบาลที่พัฒนาขึ้นสามารถเพิ่มคุณภาพการดูแลมารดาและทารกแรกเกิด ลดภาวะแทรกซ้อน ความพิการ และการเสียชีวิต อีกทั้งเพิ่มความมั่นใจในการปฏิบัติงานของพยาบาลในห้องคลอด และสามารถใช้เป็นต้นแบบการพัฒนาแนวปฏิบัติการพยาบาลมาตรฐานในโรงพยาบาลชุมชนอื่นได้</p> 2025-11-17T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://he04.tci-thaijo.org/index.php/AJNHS/article/view/3957 การพัฒนาแนวปฏิบัติการพยาบาลเพื่อเตรียมความพร้อมในการดูแลผู้ป่วยก่อนผ่าตัด โรงพยาบาลเชียงยืน จังหวัดมหาสารคาม 2025-11-17T11:21:45+07:00 ชัชฎา สมนึกธนโชติ journal_smnc@smnc.ac.th ณัฐพร สายแสงจันทร์ journal_smnc@smnc.ac.th นุสรา ธนเหมะธุลิน journal_smnc@smnc.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาสถานการณ์การเตรียมความพร้อมในการดูแลผู้ป่วยก่อนผ่าตัด โรงพยาบาลเชียงยืน จังหวัดมหาสารคาม (2) พัฒนาแนวปฏิบัติการพยาบาลเพื่อเตรียมความพร้อมในการดูแลผู้ป่วยก่อนผ่าตัด และ (3) ประเมินผลการพัฒนาแนวปฏิบัติดังกล่าว กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยพยาบาลวิชาชีพในห้องผ่าตัดจำนวน 10 คน และผู้ป่วยที่เข้ารับการผ่าตัด โดยใช้การคัดเลือกแบบเฉพาะเจาะจง (Purposive Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล แบบประเมินความพึงพอใจของพยาบาล แบบประเมินการปฏิบัติการพยาบาลผู้ป่วยก่อนเข้าห้องผ่าตัด และแบบบันทึกผลลัพธ์ทางการพยาบาล &nbsp;การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติพรรณนา ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า (1) ปัญหาหลักในการเตรียมผู้ป่วยก่อนผ่าตัด ได้แก่ การขาดความรู้เฉพาะทางและการขาดแนวทางปฏิบัติที่เป็นระบบ (2) แนวปฏิบัติการพยาบาลที่พัฒนาขึ้นประกอบด้วย 5 องค์ประกอบ ได้แก่ การเตรียมความพร้อมผู้ป่วย การเยี่ยมผู้ป่วยก่อนผ่าตัดและการให้ยาระงับความรู้สึก การสนับสนุนด้านจิตใจ การส่งต่อข้อมูลกับทีมสหวิชาชีพ และการเตรียมผู้ป่วยในวันผ่าตัด (3) หลังการพัฒนา พยาบาลวิชาชีพมีคะแนนการปฏิบัติการพยาบาลอยู่ในระดับสูงทุกหมวด เช่น การเตรียมความพร้อมก่อนผ่าตัดเพิ่มจากร้อยละ 76 เป็นร้อยละ 98 และการสนับสนุนด้านจิตใจเพิ่มจากร้อยละ 86 เป็นร้อยละ 100 ความพึงพอใจของพยาบาลต่อแนวปฏิบัติอยู่ในระดับมากที่สุด( <img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation"> = 4.60, SD = 0.52) &nbsp;ผลลัพธ์ทางการพยาบาลพบว่าภาวะแทรกซ้อนหลังผ่าตัดลดลงจากร้อยละ 4.88 เป็น 0 อุบัติการณ์เลื่อนผ่าตัดลดลงเหลือร้อยละ 2.44 และไม่พบอุบัติการณ์ผ่าตัดผิดคน ผิดข้าง หรือผิดตำแหน่ง</p> <p>โดยสรุป การพัฒนาแนวปฏิบัติการพยาบาลเพื่อเตรียมความพร้อมในการดูแลผู้ป่วยก่อนผ่าตัดมีประสิทธิผลในการเพิ่มความปลอดภัยของผู้ป่วย ลดความผิดพลาดในกระบวนการผ่าตัด และเสริมสร้างคุณภาพการพยาบาลในบริบทของโรงพยาบาลชุมชนได้อย่างเป็นรูปธรรม</p> 2025-11-17T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://he04.tci-thaijo.org/index.php/AJNHS/article/view/3773 บทบรรณาธิการ 2025-10-13T09:14:57+07:00 ผดุงศิษฏ์ ชำนาญบริรักษ์ phadoongsit@smnc.ac.th 2025-10-13T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025