https://he04.tci-thaijo.org/index.php/AJNHS/issue/feed
วารสารวิชาการทางการพยาบาลและวิทยาศาสตร์สุขภาพ
2025-08-16T17:42:18+07:00
ดร.ผดุงศิษฎ์ ชำนาญบริรักษ์
phadoongsit@smnc.ac.th
Open Journal Systems
<p><strong>วารสารวิชาการทางการพยาบาลและวิทยาศาสตร์สุขภาพ เป็นวารสารทางการพยาบาลราย 4 เดือน จัดทำขึ้นโดยวิทยาลัยพยาบาลศรีมหาสารคาม คณะพยาบาลศาสตร์ สถาบันพระบรมราชชนก เพื่อเผยแพร่และส่งเสริมความรู้เกี่ยวกับการพยาบาล การศึกษา การสาธารณสุข และความรู้จากศาสตร์อื่นๆ ที่เป็นประโยชน์<br /><br />วัตถุประสงค์</strong></p> <ol> <li>เพื่อเผยแพร่และส่งเสริมความรู้เกี่ยวกับการพยาบาล การศึกษา การสาธารณสุข และความรู้จากศาสตร์อื่นๆ ที่เป็นประโยชน์</li> <li>เพื่อเผยแพร่ผลงานวิชาการ งานวิจัย บทความวิชาการ บทความพิเศษ ปกิณกะสาระความรู้ ด้านการพยาบาล การสาธารณสุข การศึกษา ให้แก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและผู้ที่ต้องการศึกษาค้นคว้า</li> <li>เพื่อเสริมสร้างนักวิชาการทางการพยาบาล การศึกษา การสาธารณสุข และเผยแพร่ความรู้จากประสบการณ์และการศึกษา ค้นคว้าเพื่อนำไปสู่การสร้างองค์ความรู้ใหม่</li> <li>เพื่อเป็นสื่อกลางการติดต่อสัมพันธ์ ระหว่างบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขร่วมกับสหวิชาชีพทั่วประเทศ</li> <li>เป็นแหล่งเผยแพร่ผลงานของสมาชิกวารสารวิทยาลัยพยาบาลศรีมหาสารคาม</li> </ol> <p><strong>ประเภทบทความที่ตีพิมพ์เผยแพร่</strong></p> <ol> <li>รายงานผลการวิจัย (Research report) หรือรายงานการค้นคว้าและการสำรวจด้านวิชาชีพการพยาบาลหรือสหวิชาชีพ อันจะเป็นประโยชน์ต่อวิชาชีพการพยาบาลและการบริการสุขภาพ</li> <li>บทความทางวิชาการ (Articles) ที่เกี่ยวข้องกับวิชาชีพการพยาบาลหรือสหวิชาชีพ ที่มีเนื้อหาทันสมัย นำเสนอองค์ความรู้และข้อคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ต่อวิชาชีพการพยาบาลและการบริการสุขภาพ</li> <li>บทความพิเศษ (Special articles) ประสบการณ์ด้านวิชาชีพการพยาบาลหรือสหวิชาชีพ ประสบการณ์ทางคลินิกพยาบาลหรือสหวิชาชีพ บทวิจารณ์เชิงสร้างสรรค์วิชาชีพพยาบาล บทสัมภาษณ์ทางวิชาชีพการหรือสาขาอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง</li> <li>บทความปกิณกะ (Miscellany) หรือนานาสาระ เป็นบทความที่แสดงข้อคิดเห็นสาระสำคัญบางประการที่น่าสนใจและที่เกี่ยวข้องกับวิชาชีพพยาบาล ที่ไม่อาจจัดเข้าประเภทที่ 1-3 ได้บทความที่ได้รับการตีพิมพ์ต้องผ่านการพิจารณากลั่นกรองคุณภาพ จากผู้ทรงคุณวุฒิ (Peer Review) ในสาขาที่เกี่ยวข้อง ผู้ที่ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียกับผู้นิพนธ์ และต่างหน่วยงาน/ต่างสถาบัน จำนวน 3 ท่าน โดยผู้ประเมินจะไม่ทราบชื่อผู้นิพนธ์บทความ (Double blind) และได้รับความเห็นชอบจากกองบรรณาธิการ</li> </ol> <p><strong>กระบวนการ</strong><strong> Peer Review Process</strong></p> <p> บทความที่ได้รับการตีพิมพ์ต้องผ่านการพิจารณากลั่นกรองคุณภาพ จากผู้ทรงคุณวุฒิ (Peer Review) ในสาขาที่เกี่ยวข้อง ผู้ที่ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียกับผู้นิพนธ์ จำนวน 2 ท่าน <strong>โดยผู้ประเมินจะไม่ทราบชื่อผู้นิพนธ์บทความ (Double blind)</strong> และได้รับความเห็นชอบจากกองบรรณาธิการ</p> <p><strong>กำหนดการออกวารสาร</strong><strong><br /></strong>จัดพิมพ์ปีละ 3 ฉบับ ดังนี้<br /> ฉบับที่ 1 (เดือน มกราคม – เมษายน)<br /> ฉบับที่ 2 (เดือน พฤษภาคม – สิงหาคม)<br /> ฉบับที่ 3 (เดือน กันยายน – ธันวาคม)</p> <p> </p>
https://he04.tci-thaijo.org/index.php/AJNHS/article/view/3241
ประสิทธิภาพของโปรแกรมการจัดการตนเองผ่านการพยาบาลทางไกลต่อพฤติกรรมสุขภาพของผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ในศูนย์สุขภาพชุมชนเมืองมหาวิทยาลัยราชภัฎนครปฐม
2025-06-05T14:01:08+07:00
อุบลรัตน์ สุขทรัพย์
journal_smnc@smnc.ac.th
แพรภัทรา เขียวชอุ่ม
journal_smnc@smnc.ac.th
<p>การวิจัยนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลองแบบสองกลุ่มวัดผลก่อนและหลังการทดลอง วัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1)ประสิทธิภาพของโปรแกรมการจัดการตนเองผ่านการพยาบาลทางไกลต่อพฤติกรรมสุขภาพของผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ศูนย์สุขภาพชุมชนเมืองมหาวิทยาลัยราชภัฎนครปฐม 2)ระดับความพึงพอใจต่อโปรแกรมการจัดการตนเองผ่านการพยาบาลทางไกลของผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 จำนวน 23 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามพฤติกรรมสุขภาพ สถิติที่ใช้ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบสถิติ Wilcoxon signed rank test</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <p>1.ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 กลุ่มทดลองที่ได้รับโปรแกรมการจัดการตนเองผ่านการพยาบาลทางไกล มีพฤติกรรมสุขภาพและระดับน้ำตาลสะสมในเลือดหลังการทดลองดีกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<.001) และคะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมสุขภาพและระดับน้ำตาลสะสมในเลือดหลังการทดลอง ของกลุ่มทดลองดีกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<.001) 2.ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 กลุ่มทดลองที่ได้รับโปรแกรมการจัดการตนเองผ่านการพยาบาลทางไกล มีระดับความพึงพอใจต่อโปรแกรมการจัดการตนเองผ่านการพยาบาลทางไกล โดยรวมอยู่ในระดับมาก ( <img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\overline{X}" alt="equation" width="11" height="10"> = 4.69) และเมื่อแยกพิจารณาในแต่ละด้าน พบว่า ด้านพยาบาล มีระดับความพึงพอใจสูงสุด ( <img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\overline{X}" alt="equation" width="11" height="10"> = 4.74) รองลงมา ได้แก่ ด้านความรู้เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ ( <img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\overline{X}" alt="equation" width="11" height="10"> = 4.69) ด้านความรู้เกี่ยวกับการรักษาโรคเบาหวานชนิดที่ 2 และโรคความดันโลหิตสูง ( <img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\overline{X}" alt="equation" width="11" height="10"> = 4.65) การสื่อสารผ่านโปรแกรมไลน์ ( <img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\overline{X}" alt="equation" width="11" height="10"> = 4.65) และด้านโปรแกรมการจัดการตนเองผ่านการพยาบาลทางไกล ( <img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\overline{X}" alt="equation" width="11" height="10"> = 4.60) โปรแกรมการจัดการตนเองผ่านการพยาบาลทางไกลสนับสนุนให้ผู้ป่วยมีพฤติกรรมสุขภาพที่ดี เมื่อปฏิบัติตามสามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดสะสมได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล</p>
2025-06-05T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://he04.tci-thaijo.org/index.php/AJNHS/article/view/3350
การพัฒนาแนวทางการพยาบาลผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบซี คลีนิคโรคตับ โรงพยาบาลกมลาไสย จังหวัดกาฬสินธุ์
2025-07-06T19:16:56+07:00
เยาวลักษณ์ ศรีวิลัย
journal_smnc@smnc.ac.th
<p>การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาและประเมินผลแนวทางการพยาบาลผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบซี (HCV) ในคลินิกโรคตับ โรงพยาบาลกมลาไสย จังหวัดกาฬสินธุ์ ดำเนินการ 3 ระยะ ได้แก่ การศึกษาสถานการณ์ การพัฒนาแนวทาง และการประเมินผลลัพธ์ กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วย ทีมสหวิชาชีพ 10 คน และผู้ป่วย HCV รายใหม่ 42 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แนวทางการพยาบาลผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบซี แบบสอบถามความรู้และพฤติกรรมการดูแลตนเอง แบบประเมินความพึงพอใจ และแบบสัมภาษณ์เชิงลึก วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณด้วยสถิติเชิงพรรณนา และ Paired t-test ข้อมูลเชิงคุณภาพวิเคราะห์ด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>ศึกษาสถานการณ์ พบปัญหาการดูแลผู้ป่วย HCV ที่สำคัญ ได้แก่ การขาดระบบส่งต่อและติดตามที่ชัดเจน ผู้ป่วยต้องเดินทางมารับบริการหลายครั้งก่อนเริ่มรับยา ขาดแนวทางส่งเสริมการดูแลตนเอง ทำให้มีอัตราการขาดนัด ขาดยา และความล่าช้าในการเข้ารับการรักษา</li> <li>ดำเนินการพัฒนาแนวทางการพยาบาล ซึ่งประกอบด้วย 5 องค์ประกอบหลัก ได้แก่ 1) การพัฒนาระบบบริการแรกรับแบบครบวงจร 2) การส่งเสริมการดูแลตนเอง 8 สัปดาห์ 3) แนวทางการวางแผนจำหน่ายผู้ป่วย (DMETHOD KH<sup>2</sup>) 4) ระบบส่งต่อไร้รอยต่อ และ 5) ระบบติดตามผู้ป่วยหลังรักษา</li> <li>ประเมินผล พบว่า ผู้ป่วย HCV รายใหม่ 42 คน มีคะแนนความรู้และพฤติกรรมการดูแลตนเองเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P < 0.001) อัตราการขาดนัดลดลงเหลือร้อยละ 0 อัตราการขาดยาลดลงเหลือร้อยละ 2.38 ระยะเวลารอรับยาสั้นลง ระบบบริการมีประสิทธิภาพสูงขึ้น อัตราการรักษาหายขาดร้อยละ 100 ทีมสหวิชาชีพและผู้ป่วยมีความพึงพอใจต่อแนวทางในระดับมากที่สุด</li> </ol> <p>สรุปว่า แนวทางทางการพยาบาลผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบซี คลีนิคโรคตับ ที่พัฒนาขึ้นช่วยเพิ่มการเข้าถึงบริการ ส่งเสริมการดูแลตนเอง ลดอุปสรรคในการรักษา และยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย HCV ได้อย่างมีประสิทธิผล</p>
2025-07-06T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://he04.tci-thaijo.org/index.php/AJNHS/article/view/3459
การพยาบาลผู้ป่วยหลังผ่าตัดต่อมไทรอยด์: กรณีศึกษาเปรียบเทียบวิธี TOETVA กับการผ่าตัดแบบเปิด
2025-08-15T22:04:14+07:00
สุภาพร วัณณสุทธางกูร
journal_smnc@smnc.ac.th
<div> <p><span lang="TH">การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบผลลัพธ์ทางการพยาบาลในผู้ป่วยหลังผ่าตัดต่อมไทรอยด์ระหว่างวิธีผ่าตัดแบบเปิด (</span>Open Thyroidectomy) <span lang="TH">กับวิธีการผ่าตัดผ่านกล้องทางช่องปาก (</span>Transoral Endoscopic Thyroidectomy Vestibular Approach: TOETVA) <span lang="TH">โดยใช้รูปแบบการวิจัยเชิงคุณภาพแบบกรณีศึกษา (</span>Comparative Case Study) <span lang="TH">ในผู้ป่วยหญิง </span>2 <span lang="TH">ราย ที่เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลมหาสารคาม ระหว่างเดือนกรกฎาคม </span>2567 <span lang="TH">- มกราคม </span>2568 <span lang="TH">เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบประเมินสุขภาพตามแนวคิดของกอร์ดอน (</span>Gordon’s Functional Health Patterns) <span lang="TH">และกรอบทฤษฎีการปรับตัวของรอย (</span>Roy’s Adaptation Model) <span lang="TH">เพื่อประเมินผลลัพธ์ด้านต่าง ๆ เช่น ระดับความปวด ภาวะแทรกซ้อนหลังผ่าตัด ระยะเวลาการนอนโรงพยาบาล และความพึงพอใจของผู้ป่วย</span></p> </div> <div> <p><span lang="TH">ผลการศึกษา พบว่า ผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดแบบ </span>TOETVA <span lang="TH">มีระดับความปวดน้อยกว่า ไม่มีแผลผ่าตัดภายนอก ระยะเวลาฟื้นตัวสั้นลง และมีความพึงพอใจในภาพลักษณ์สูงกว่ากลุ่มผ่าตัดแบบเปิด อย่างไรก็ตาม กลุ่ม </span>TOETVA <span lang="TH">มีความเสี่ยงเฉพาะ เช่น ภาวะปวดแผลบริเวณภายในช่องปาก และภาวะบวมหลังผ่าตัดในระยะแรก ขณะที่ผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดแบบเปิด มีการควบคุมภาวะแทรกซ้อนได้ดี ไม่มีเสียงแหบหรือปัญหาการกลืน แต่มีแผลเป็นที่ลำคอและระยะเวลาฟื้นตัวที่นานกว่า</span></p> </div> <div> <p><span lang="TH"> ข้อค้นพบจากการศึกษานี้สามารถนำไปใช้ในการพัฒนาแนวทางการพยาบาลเฉพาะรายตามลักษณะของวิธีการผ่าตัด ส่งเสริมคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย และเพิ่มประสิทธิภาพของการดูแลหลังผ่าตัดต่อมไทรอยด์ในบริบทของโรงพยาบาลระดับภูมิภาคและอื่น ๆ ได้อย่างเหมาะสม</span></p> </div>
2025-08-01T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://he04.tci-thaijo.org/index.php/AJNHS/article/view/3462
การพัฒนาระบบบริการศูนย์ชีวาภิบาลโรงพยาบาลสู่ชุมชนสำหรับการดูแลผู้ป่วยระยะท้าย จังหวัดมหาสารคาม
2025-08-15T22:27:22+07:00
ชมพูนุช พายุหะ
journal_smnc@smnc.ac.th
สิริมาพร นาศพัฒน์
journal_smnc@smnc.ac.th
เพราพนิต สอนสิทธิ์
journal_smnc@smnc.ac.th
กาญจนา จันทะนุย
journal_smnc@smnc.ac.th
<p style="font-weight: 400;">การวิจัยเชิงปฏิบัติการนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาระบบบริการและประเมินผลระบบบริการศูนย์ชีวาภิบาลโรงพยาบาลสู่ชุมชนสำหรับการดูแลผู้ป่วยระยะท้าย จังหวัดมหาสารคาม ดำเนินการพัฒนาระบบริการ ตามแนวทาง <strong>Six Building Blocks of A Health System </strong>ระยะเวลาวิจัย เดือน ธันวาคม 2566 - มีนาคม 2568 ประเมินผลการพัฒนาระบบจากผลลัพธ์การดูแลผู้ป่วยระยะท้าย รวม 2,186 ราย วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณโดยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ จำนวน ร้อยละ ข้อมูลเชิงคุณภาพใช้วิธีวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p style="font-weight: 400;"> ผลการศึกษา พบว่า มีการพัฒนาระบบบริการศูนย์ชีวาภิบาลโรงพยาบาลสู่ชุมชนสำหรับการดูแลผู้ป่วยระยะท้าย จังหวัดมหาสารคาม ประกอบด้วย 1) การจัดระบบสนับสนุนการจัดบริการดูแลรักษาโดยขับเคลื่อนการดำเนินงานผ่านคณะกรรมการระดับจังหวัด ระดับอำเภอ การบริหารจัดการศูนย์ชีวาภิบาลตามมาตรฐาน จัดระบบสนับสนุนทรัพยากรและวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์ 2) การจัดการระบบการดูแลที่มีประสิทธิภาพ โดยมี Project Manager และ Case Manager เพื่อประสานงาน พัฒนาและเชื่อมโยงทั้งระบบ จัดทำแนวทางการดูแล แนวปฏิบัติทางคลินิก ไลน์กลุ่ม ระบบการให้คำปรึกษา,ระบบส่งต่อ ,ระบบข้อมูลพร้อมทั้งนำสื่อเทคโนโลยีมาสนับสนุนการดูแล 3) พัฒนาทรัพยากรบุคคลตามสมรรถนะแต่ละวิชาชีพทั้งในโรงพยาบาลและพยาบาลวิชาชีพใน โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล รวมทั้งพัฒนาอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน, ผู้ดูแลในครอบครัว ให้มีศักยภาพในการดูแลต่อเนื่องที่บ้าน ผลการประเมิน พบว่า จังหวัดมหาสารคามได้ดำเนินการจัดตั้งและเปิดศูนย์ชีวาภิบาลโรงพยาบาลชุมชนผ่านเกณฑ์มาตรฐานคลุมทุกอำเภอ 12 แห่ง บุคลากรทีมสหวิชาชีพได้รับการพัฒนาสมรรถนะ ร้อยละ 100 มีการประชุมครอบครัวในการดูแลผู้ป่วยระยะท้าย ร้อยละ 96.75 การดูแลตามแผนการดูแลล่วงหน้าในผู้ป่วยระยะท้าย อย่างมีคุณภาพ ร้อยละ 89.20 ผู้ป่วยเสียชีวิตอย่างสงบ ร้อยละ 93.45</p> <p style="font-weight: 400;">สรุปได้ว่า การพัฒนาระบบบริการศูนย์ชีวาภิบาลโรงพยาบาลสู่ชุมชนสำหรับการดูแลผู้ป่วยระยะท้าย ที่พัฒนาขึ้นจากการจากการมีส่วนร่วมและนำ <strong>Six Building Blocks of A Health System มาเป็นแนวทางดำเนินงาน สามารถทำให้เกิดการจัดบริการที่มีประสิทธิภาพตอบสนองต่อความจำเป็นในการดูแลผู้ป่วยระยะท้าย รวมถึงการจัดสรรสนับสนุนทรัพยากรได้อย่างเพียงพอ </strong>ส่งผลให้ผู้ป่วยได้รับเข้าถึงบริการได้รับการดูแลที่ครอบคลุมทั้งร่างกาย จิตใจ จิตวิญญาณที่เหมาะสมจนถึงวาระท้ายของชีวิต</p> <p style="font-weight: 400;"> </p>
2025-06-01T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://he04.tci-thaijo.org/index.php/AJNHS/article/view/3464
การประยุกต์ใช้แนวคิดการส่งเสริมการจัดการตนเองในการพยาบาลผู้ป่วยวัยรุ่นโรคเบาหวานชนิดที่ 1 กรณีศึกษา
2025-08-15T22:51:55+07:00
ประกายแก้ว ศิริพูล
journal_smnc@smnc.ac.th
กนกวรรณ จำวัน
journal_smnc@smnc.ac.th
<p>โรคเบาหวานเป็นโรคไม่ติดต่อเรื้อรังที่พบบ่อยและเป็นปัญหาสุขภาพที่สำคัญทางสาธารณสุขทั่วโลก มีแนวโน้มของผู้ป่วยเพิ่มขึ้น โดยพบสถิติของการเกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 1 ในเด็กและวัยรุ่นเพิ่มขึ้น ช่วงอายุที่ได้รับการวินิจฉัยครั้งแรกพบได้มากที่สุดในเด็กอายุน้อยกว่า 15 ปี ซึ่งส่งผลกระทบต่อผู้ป่วยเด็กและวัยรุ่นทั้งด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ และสังคม การไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม ทำให้เกิดผลกระทบทั้งแบบเฉียบพลันและเรื้อรัง และภาวะแทรกซ้อนต่อระบบอื่นๆ รวมทั้งส่งผลกระทบต่อครอบครัวของเด็ก เนื่องจากมีการดูแลที่ต่อเนื่อง มีค่าใช้จ่ายทางการแพทย์และการดูแลเด็กที่เพิ่มขึ้น ดังนั้นผู้ป่วยเด็กและวัยรุ่นจึงควรได้รับความรู้และการสนับสนุนการดูแลตนเองเพื่อนำไปสู่การปรับพฤติกรรมให้เหมาะสม ทั้งในเรื่องการควบคุมอาหาร การใช้ยาอินซูลิน การออกกำลังกาย การจัดการความเครียด จะช่วยชะลอการเกิดภาวะแทรกซ้อนในระยะยาวได้</p> <p>บทความนี้ได้นำเสนอแนวทางการส่งเสริมการจัดการตนเองโดยศึกษาผ่านกรณีศึกษาผู้ป่วยเด็กวัยรุ่น โรคเบาหวานชนิดที่ 1 แนวคิดการจัดการตนเอง และแนวคิดของ Creer โดยส่งเสริมให้ผู้ป่วยมีส่วนร่วมในการตั้งเป้าหมายการดูแลตนเอง การเก็บรวบรวมข้อมูล การประมวลและประเมินข้อมูล การตัดสินใจ การลงมือปฏิบัติ และการสะท้อนตนเอง ซึ่งจะช่วยให้ผู้ป่วยมีความรู้ความเข้าใจ สามารถปรับเปลี่ยนการดำเนินชีวิตประจำวันให้เหมาะสม เพื่อให้สามารถควบคุมโรคด้วยตนเองได้อย่างต่อเนื่อง</p>
2025-06-01T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://he04.tci-thaijo.org/index.php/AJNHS/article/view/3466
การพัฒนาแนวปฏิบัติการพยาบาลในการดูแลทารกเกิดก่อนกำหนดที่มีภาวะหายใจลำบาก โรงพยาบาลมหาสารคาม
2025-08-15T23:09:01+07:00
รสสุคนธ์ ปริพล
journal_smnc@smnc.ac.th
จีระวรรณ ศรีจันทร์ไชย
journal_smnc@smnc.ac.th
อังคนา จันคามิ
journal_smnc@smnc.ac.th
<p style="font-weight: 400;">การศึกษานี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาและศึกษาประสิทธิผลของแนวปฏิบัติการพยาบาลในการดูแลทารกเกิดก่อนกำหนดที่มีภาวะหายใจลำบาก โรงพยาบาลมหาสารคาม ดำเนินการระหว่างเดือนธันวาคม 2567 ถึงมิถุนายน 2568 โดยใช้กรอบแนวคิด Evidence-Based Practice Model ของ Soukup (2000) ซึ่งประกอบด้วย 4 ระยะ ได้แก่ 1) การค้นหาปัญหาทางคลินิก 2) การสืบค้นหลักฐานเชิงประจักษ์ 3) การพัฒนาแนวปฏิบัติและทดลองใช้ และ 4) การนำแนวปฏิบัติไปใช้จริงในหน่วยงาน กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ 1) พยาบาลวิชาชีพ 30 คน 2) ทารกเกิดก่อนกำหนด 30 ราย และ 3) ผู้ดูแลหลัก 30 ราย โดยใช้การเลือกแบบเฉพาะเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูล ได้แก่ การสนทนากลุ่ม แบบประเมินสมรรถนะ แบบสอบถามความพึงพอใจ และแบบทดสอบความรู้ผู้ดูแลหลัก เครื่องมือวิจัย ได้แก่ แนวปฏิบัติการพยาบาล และแบบประเมิน Respiratory Distress Score (RD Score) วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา ร้อยละ และ T-test</p> <p style="font-weight: 400;">ผลการวิจัยพบว่า แนวปฏิบัติการพยาบาลที่พัฒนาขึ้นประกอบด้วย 4 ด้าน ได้แก่ 1) แนวทางการดูแลทารกเกิดก่อนกำหนด 2) สมรรถนะของพยาบาล 3) ทักษะและความรู้ของผู้ดูแลหลัก และ 4) การนิเทศทางคลินิก หลังการพัฒนาพยาบาลสามารถใช้แบบประเมิน RD Score ได้อย่างถูกต้องเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 90 อัตราอุบัติการณ์ทารกทรุดลงโดยไม่คาดหมายและการย้ายเข้าหอผู้ป่วยทารกวิกฤตโดยไม่ได้วางแผนลดลง ร้อยละ 6.66 สมรรถนะพยาบาลเพิ่มขึ้นในทุกด้านอย่างมีนัยสำคัญ (P < .05) และความรู้ของผู้ดูแลหลักเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ (P < .001) อัตราการปฏิบัติตามแนวทางเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 98.28 และความพึงพอใจต่อแนวปฏิบัติอยู่ในระดับมากร้อยละ 95.28 </p> <p style="font-weight: 400;"> </p>
2025-06-01T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025