วารสารวิชาการทางการพยาบาลและวิทยาศาสตร์สุขภาพ https://he04.tci-thaijo.org/index.php/AJNHS <p>1. เพื่อเผยแพร่และส่งเสริมความรู้เกี่ยวกับการพยาบาล การศึกษา การสาธารณสุข และความรู้จากศาสตร์อื่นๆ ที่เป็นประโยชน์ 2. เพื่อเผยแพร่ผลงานวิชาการ งานวิจัย บทความวิชาการ บทความพิเศษ ปกิณกะสาระความรู้ ด้านการพยาบาล การสาธารณสุข การศึกษา ให้แก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและผู้ที่ต้องการศึกษาค้นคว้า 3. เพื่อเสริมสร้างนักวิชาการทางการพยาบาล การศึกษา การสาธารณสุข และเผยแพร่ความรู้จากประสบการณ์และการศึกษา ค้นคว้าเพื่อนำไปสู่การสร้างองค์ความรู้ใหม่</p> วิทยาลัยพยาบาลศรีมหาสารคาม th-TH วารสารวิชาการทางการพยาบาลและวิทยาศาสตร์สุขภาพ บทบรรณาธิการ https://he04.tci-thaijo.org/index.php/AJNHS/article/view/963 ดร.ผดุงศิษฏ์ ชำนาญบริรักษ์ Copyright (c) 2024 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-03-29 2024-03-29 4 1 1 5 ความพึงพอใจของผู้รับบริการต่อการให้การบริการของแผนกผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลสุทธาเวช คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม https://he04.tci-thaijo.org/index.php/AJNHS/article/view/944 <p>การศึกษาความพึงพอใจของผู้รับบริการต่อการให้บริการของแผนกผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลสุทธาเวช คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความพึงพอใจของผู้รับบริการต่อการให้บริการของแผนกผู้ป่วยนอก เป็นการวิจัยเชิงพรรณนา (Descriptive Research) ศึกษาในผู้ป่วยนอกที่มาใช้บริการทางด้านการแพทย์ของโรงพยาบาลสุทธาเวช คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ในช่วงเดือนสิงหาคม – ตุลาคม 2566 ใช้วิธีการสุ่มอย่างง่าย (simple random sampling) จำนวน 391 คน เครื่องมือที่ใช้ ประกอบด้วย ส่วนที่ 1 แบบบันทึกข้อมูลส่วนบุคคล ได้แก่ ข้อมูลเพศ อายุ สถานภาพสมรส การศึกษาที่สำเร็จสูงสุด รายได้เฉลี่ยต่อเดือน และ ส่วนที่ 2 แบบสอบถามความพึงพอใจของผู้รับบริการต่อการให้บริการของแผนกผู้ป่วยนอก</p> <p>ผลการศึกษาพบว่าผู้รับบริการมีระดับความคิดเห็นต่อปัจจัยคุณภาพการบริการของ โรงพยาบาล โดยภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง และเมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านการให้ความเชื่อมั่นแก่ผู้มารับบริการ รองลงมาคือ ด้านความน่าเชื่อถือไว้วางใจได้ ด้านการตอบสนองความต้องการของผู้มารับบริการ และด้านความเข้าใจและเห็นอก เห็นใจผู้มารับบริการ ส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยลำดับสุดท้าย คือ ด้านความเป็นรูปธรรมของการบริการ และพบว่าผู้รับบริการมีระดับความพึงพอใจต่อการให้บริการของโรงพยาบาลสุทธาเวช คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคามโดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก และเมื่อพิจารณาเป็นรายข้อ พบว่า ข้อที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ มีความพึงพอใจต่อคุณภาพการบริการของโรงพยาบาลสุทธาเวช รองลงมาคือ รู้สึกมีความพึงพอใจต่อโรงพยาบาลสุทธาเวช</p> นภาพร บุตรมาตย์ Copyright (c) 2024 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-03-29 2024-03-29 4 1 7 17 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลหนองฮี อำเภอปลาปาก จังหวัดนครพนม https://he04.tci-thaijo.org/index.php/AJNHS/article/view/946 <p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวาง วัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพฤติกรรมการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 และปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ในเขตพื้นที่รับผิดชอบโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลหนองฮี&nbsp; อำเภอปลาปาก จังหวัดนครพนม &nbsp;&nbsp;กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยคือผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่อาศัยอยู่ในเขตพื้นที่รับผิดชอบของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลหนองฮี&nbsp; อำเภอปลาปาก จังหวัดนครพนม จำนวน 146 คน&nbsp; คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง (Purposive sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม เก็บรวบรวมข้อมูลระหว่างเดือน พฤศจิกายน-ธันวาคม 2566 วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณโดยใช้สถิติพรรณนา ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติเชิงอนุมานทดสอบความสัมพันธ์ใช้ ไคสแควร์ (Chi-square) และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน (Pearson’ s Correlation)&nbsp;</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า พฤติกรรมการรับประทานอาหาร การรับประทานยาและการตรวจตามนัด และการจัดการความเครียดอยู่ในระดับดี&nbsp; พฤติกรรมการออกกำลังกายอยู่ในระดับปานกลาง&nbsp; วิเคราะห์ความสัมพันธ์ปัจจัยส่วนบุคคล พบว่า สถานที่รับบริการคลินิกเบาหวานมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05&nbsp; แต่เพศ อายุ&nbsp; สถานภาพสมรส&nbsp; ระดับการศึกษา&nbsp; อาชีพ&nbsp; ดัชนีมวลกาย และระยะเวลาการเจ็บป่วย ไม่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ปัจจัยแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพ ได้แก่ การรับรู้โอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรค การรับรู้ความรุนแรงของการเกิดโรค การรับรู้ประโยชน์ของการปฏิบัติตน&nbsp; และการรับรู้อุปสรรคในการปฏิบัติตน&nbsp; ไม่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2</p> อภิชาติ ขันตี Copyright (c) 2024 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-03-29 2024-03-29 4 1 18 28 รูปแบบการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการควบคุมน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวาน ที่ผู้ป่วยเบาหวานมีระดับน้ำตาลสะสมสูงเกินเกณฑ์ของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านโคกก่อ อำเภอเมืองมหาสารคาม จังหวัดมหาสารคาม https://he04.tci-thaijo.org/index.php/AJNHS/article/view/947 <p><strong>วัตถุประสงค์ </strong><strong>: </strong>เพื่อศึกษาสถานการณ์ปัญหา และประเมินผลรูปแบบการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการควบคุมน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวานที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสะสมสูงเกินเกณฑ์</p> <p><strong>วิธีการศึกษา </strong><strong>: </strong>ใช้รูปแบบการวิจัยเชิงปฏิบัติการ ดำเนินการพัฒนาร่วมกับ พยาบาล อสม.หมอประจำครอบครัว ผู้ป่วยเบาหวาน ระยะเวลาการวิจัย 1 ตุลาคม 2564 - 30 เมษายน 2565 เครื่องมือการวิจัย ได้แก่ แบบสัมภาษณ์เกี่ยวกับการรับรู้ และการปฏิบัติตัวในโรคเบาหวาน แบบบันทึก การวิเคราะห์ข้อมูล ข้อมูลเชิงปริมาณ โดยหาค่าเฉลี่ย ร้อยละ ข้อมูลเชิงคุณภาพใช้วิธีวิเคราะห์เชิงเนื้อหา</p> <p><strong>ผลการศึกษา </strong>ผลการวิเคราะห์สถานการณ์ปัญหา พบว่า ผู้ป่วยเบาหวานควบคุมระกับน้ำตาลสะสม (HbA1C) ได้ตามเกณฑ์ ยังต่ำกว่าเกณฑ์เป้าหมาย สาเหตุจากการบริโภคอาหารประเภทแป้งและน้ำตาล ไม่ตระหนักถึงภาวะแทรกซ้อน ความรู้ความเข้าใจต่อการบริโภคอาหารยังไม่ครอบคลุม ขาดการออกกำลังกายที่เหมาะสม ยังไม่มีรูปแบบที่ชัดเจนในการปรับเปลี่ยนและติดตามผู้ป่วยที่น้ำตาลสูงเกินเกณฑ์ จึงได้นำปัญหามามาร่วมกันออกแบบการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม คือ โรงเรียนอ่อนหวาน 4 ครั้ง โดยใช้กระบวนการกลุ่มแลกเปลี่ยนประสบการณ์แล้วเติมความรู้มอบการบ้านบันทึกพฤติกรรม 3 อ.2 ส. การตั้งเป้าหมายด้วยตนเองและการติดตามเสริมพลังโดยทีมสหวิชาชีพและทีมหมอครอบครัว&nbsp; ประเมินผล พบว่า ผู้ป่วยที่เข้าร่วมพัฒนามีพฤติกรรมการบริโภคอาหารเพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดีขึ้น มีการออกกำลังเพิ่มขึ้น 3วัน/สัปดาห์ จัดการความเครียดแบบสมาธิบำบัด ร้อยละ 54&nbsp; หลังปรับเปลี่ยนพฤติกรรม 3 เดือน ผู้ป่วยมีผลน้ำตาลสะสมในเลือด ((HbA1c) ลดลง ร้อยละ 92.86และลดลงจนผ่านเกณฑ์ (HbA1c&lt;7%) ร้อยละ 33.33</p> <p><strong>สรุป </strong><strong>: </strong>การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมผู้ป่วยเบาหวานที่เกิดจากการเรียนรู้และตั้งเป้าหมายการปรับเปลี่ยนด้วยตนเองและวางแผนในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่ส่งผลต่อระดับน้ำตาลของตนเองพร้อมทั้งควบคุมกำกับตนเอง ร่วมกับการติดตามเยี่ยมเสริมพลังและติดตามอย่างต่อเนื่องโดยทีมหมอครอบครัวและเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ทำให้ผู้ป่วยปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตนเองอย่างสม่ำเสมอส่งผลต่อการควบคุมระดับน้ำตาลได้ดียิ่งขึ้น</p> อนงค์ลักษณ์ เคนสุโพธิ์ อรอนงค์ ดีแดง Copyright (c) 2024 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-03-29 2024-03-29 4 1 29 41 การพยาบาลผู้ป่วยเนื้องอกมดลูกที่ได้รับการผ่าตัดทางหน้าท้องที่มีภาวะโลหิตจาง : กรณีศึกษา 2 ราย https://he04.tci-thaijo.org/index.php/AJNHS/article/view/948 <p>เนื้องอกมดลูก เป็นภาวะที่พบได้ประมาณร้อยละ 20-25 ของสตรีที่มีอายุมากกว่า 25 ปี การรักษาที่ได้ผลและหายขาดคือการผ่าตัด การให้การพยาบาลผู้ป่วยผ่าตัด ที่ได้มาตรฐานและมีประสิทธิภาพ&nbsp; จะช่วยให้ผู้ป่วยได้รับความปลอดภัยและลดภาวะแทรกซ้อน กลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติ เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา คือ ข้อมูลจากเวชระเบียนผู้ป่วยใน การสัมภาษณ์ผู้ป่วยและครอบครัว การสังเกต การตรวจร่างกาย วิเคราะห์ข้อมูลพยาธิสภาพ อาการและอาการแสดง การรักษาและการประเมินสภาวะสุขภาพ 11&nbsp; แบบแผนของกอร์ดอน&nbsp; กำหนดข้อวินิจฉัย และให้การพยาบาล ประเมินผลลัพธ์การพยาบาล</p> <p>ผลการศึกษา พบว่ากรณีศึกษารายที่ 1 หญิงไทยคู่ 46 ปี&nbsp; ประจำเดือนออกมากผิดปกติ วิงเวียน อ่อนเพลีย ได้รับการวินิจฉัย Myoma Uteri with Anemia กรณีศึกษารายที่ 2 หญิงไทยคู่ 49 ปี ปวดท้องน้อย คันช่องคลอด ตกขาวมีกลิ่นเหม็น ได้รับการวินิจฉัย Myoma Uteri with Hyperlipidemia กรณีศึกษาทั้ง 2 ราย ได้รับการผ่าตัด TAH with BSO ให้การพยาบาลระยะก่อนผ่าตัด เพื่อลดความวิตกกังวล ป้องกันการผ่าตัด ผิดคน ผิดตำแหน่ง ผิดหัตถการ ป้องการติดเชื้อแผลผ่าตัด ใช้ Aseptic Technique ทุกขั้นตอน ระยะผ่าตัด ป้องกันการช็อคจากภาวะเสียเลือด กรณีศึกษาที่ 1 เสียเลือด 900 ml ให้เลือด 1 ยูนิต ไม่มีภาวะช็อค ป้องกันอุปกรณ์ตกค้างในแผลผ่าตัดระยะหลังผ่าตัด ผู้ป่วยปลอดภัยจากการเคลื่อนย้าย ป้องกันภาวะแทรกซ้อนหลังผ่าตัด ลดอาการปวดแผล ป้องกันการติดเชื้อแผลผ่าตัด และแนะนำการดูแผลเมื่อจำหน่ายกลับบ้านได้ สรุปกรณีศึกษา พยาบาลเป็นผู้มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการดูแลผู้ป่วยผ่าตัดเนื้องอกมดลูกทางหน้าท้องที่มีภาวะโลหิตจาง ในการให้การพยาบาลที่มีความยุ่งยากซับซ้อน โดยการประเมินสภาวะต่างๆ คาดการณ์ความเสี่ยงที่อาจเกิดความไม่ปลอดภัยกับผู้ป่วย และวางแผนแก้ปัญหาเมื่อผู้ป่วยมีอาการเปลี่ยนแปลง อย่างรวดเร็วทันเวลา ให้คำแนะนำการปฏิบัติตัวที่ถูกต้องเหมาะสม ให้ผู้ป่วยและญาติมีส่วนร่วมในการดูแล ตลอดจนมีการติดตามประเมินผลลัพธ์ การดูแลรายกรณีอย่างต่อเนื่อง จนมั่นใจว่าผู้ป่วยกลับสู่ภาวะปกติที่จะใช้ชีวิตประจำวันได้เหมือนเดิม</p> <p>&nbsp;</p> ระจิตร คำโฮงค์ Copyright (c) 2024 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-03-29 2024-03-29 4 1 42 53 การพัฒนารูปแบบการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงแบบมีส่วนร่วมในชุมชนเขตตำบลบรบือ อำเภอบรบือ จังหวัดมหาสารคาม https://he04.tci-thaijo.org/index.php/AJNHS/article/view/949 <p>การเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างประชากรของโลก ที่คนเกิดน้อยลงและอายุยืนมากขึ้น ทำให้ประชากรทั่วโลกจะมีอายุเฉลี่ยยืนยาวขึ้น การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงแบบมีส่วนร่วมและผลของการพัฒนารูปแบบการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงแบบมีส่วนร่วมในชุมชนเขตตำบลบรบือ อำเภอบรบือ จังหวัดมหาสารคาม ผู้มีส่วนร่วมที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่กลุ่มผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง จำนวน 86 คน และกลุ่มผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงโดยคัดเลือกแบบเจาะจง รวมจำนวน 65 คน แบ่งการวิจัยเป็น 4 ระยะ ได้แก่ 1) วางแผน 2) ปฏิบัติ 3) สังเกตการณ์ และ4)สะท้อนผล การวิเคราะห์ข้อมูลทั่วไปใช้สถิติเชิงพรรณนา วิเคราะห์เชิงคุณภาพโดยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา และใช้สถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ t- test</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า การพัฒนารูปแบบการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงแบบมีส่วนร่วมในชุมชนเขตตำบลบรบือ&nbsp; อำเภอบรบือ&nbsp; จังหวัดมหาสารคาม ประกอบด้วย การจัดทำแผนงานโครงการแก้ไขปัญหาร่วมกันโดยมีการใช้ทรัพยากรร่วมกันของหน่วยงานทุกภาคส่วนในพื้นที่ การสรุปประเด็นในการพัฒนาตามประเด็นปัญหาและบริบทของพื้นที่ การวางแผนในการแก้ไขปัญหา การสร้างเครือข่ายผู้ดูแลผู้สูงอายุ การอบรมให้ความรู้ผู้ดูแลผู้สูงอายุ ผู้ดูแลสูงอายุเขียนแผนการเยี่ยมและติดตามเยี่ยมผู้สูงอายุกลุ่มติดบ้านและติดเตียง การทบทวนการดำเนินงานการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง ทีมพี่เลี้ยงออกนิเทศติดตามประเมินผลการดำเนินงาน และการจัดเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้สรุปผลการดำเนินงานการถอดบทเรียนและการประเมินผลลัพธ์การเปรียบเทียบคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุพบว่าหลังดำเนินงานแตกต่างจากก่อนการดำเนินงานอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และการเปรียบเทียบการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องหลังการดำเนินการแตกต่างจากก่อนการดำเนินงานอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p> <p>สรุปผลรูปแบบที่ได้จาการศึกษาครั้งนี้ คือ มีการวางแผนงานโครงการร่วมกันตามบริบทของพื้นที่ มีการทบทวนบทบาทหน้าที่ การสร้างเครือข่ายการดูแลผู้สูงอายุ การอบรมพื้นความรู้ให้กับผู้ดูแลผู้สูงอายุ การติดตามเยี่ยมผู้สูงอายุกลุ่มติดบ้านติดเตียงและการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และสรุปผลร่วมกัน</p> ไกรศร สุขุนา Copyright (c) 2024 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-03-29 2024-03-29 4 1 54 65 การพัฒนารูปแบบบริการงานผู้ป่วยนอกด้วยกระบวนการ Smart Hospital โรงพยาบาลบรบือ จังหวัดมหาสารคาม https://he04.tci-thaijo.org/index.php/AJNHS/article/view/952 <div> <p class="Default"><span lang="TH">การศึกษาครั้งนี้ เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ (</span>Action Research<span lang="TH">) มีวัตถุประสงค์ เพื่อ<a name="_Hlk153716984"></a>ศึกษาสภาพปัญหา อุปสรรค และบริบทการให้บริการ เพื่อพัฒนารูปแบบบริการงานผู้ป่วยนอก ลดความแออัด ลดระยะเวลารอคอย เพื่อประเมินผลการพัฒนารูปแบบบริการงานผู้ป่วยนอกด้วยกระบวนการ </span>Smart Hospital <span lang="TH">ต่อการลดความแออัด ลดระยะเวลารอคอย ความพึงพอใจของผู้รับบริการและ เพื่อศึกษาปัจจัยแห่งความสำเร็จและปัญหาอุปสรรคโดยใช้</span>4 <span lang="TH">ขั้นตอนคือ ขั้นวางแผน (</span>Planning<span lang="TH">) ขั้นปฏิบัติตามแผน (</span>Action<span lang="TH">) ขั้นการตรวจสอบ (</span>Observation<span lang="TH">) และขั้นการสะท้อนผลการปฏิบัติ (</span>Reflection<span lang="TH">) &nbsp;กลุ่มตัวอย่างคือผู้มารับบริการงานผู้ป่วยนอกทั่วไป ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม </span>2566 <span lang="TH">โดยการสุ่มตัวอย่าง</span><span lang="TH">แบบอย่างง่าย จำนวน 235 คน </span><a name="_Hlk150541636"></a><span lang="TH">ผู้มีส่วนร่วมในการพัฒนารูปแบบฯ </span><span lang="TH">จำนวน </span>2<span lang="TH">8 คน<a name="_Hlk150605784"></a> </span><span lang="TH">เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยมี 3 ส่วน ดังนี้ 1. เชิงคุณภาพ ได้แก่ 1) แบบสังเกตการณ์ 2) แบบสนทนากลุ่ม 3) แบบสัมภาษณ์เชิงลึก </span><span lang="TH">2. เชิงปริมาณ ได้แก่ 1) แบบสอบถามความพึงพอใจของผู้มารับบริการ 2) แบบสอบถามความพึงพอใจของผู้มีส่วนร่วมในการพัฒนารูปแบบฯ 3. เครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ รายงานการประชุม&nbsp; ระยะเวลารอคอยของผู้รับบริการในระบบ </span>HosXP <span lang="TH">ตั้งแต่ทำบัตรจนถึงรับยา รายงานอุบัติการณ์ความเสี่ยง วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาได้แก่ จำนวน ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่ำต่ำสุด-ค่าสูงสุด และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา (</span>content analysis<span lang="TH">)</span><span lang="TH">ผลการดำเนินงาน</span><span lang="TH">พบว่าความพึงพอใจของ</span><span lang="TH">ผู้มีส่วนร่วมในการพัฒนารูปแบบ</span><span lang="TH">โดยรวมมีระดับความคิดเห็น</span><span lang="TH">อยู่ในระดับมาก </span><a name="_Hlk150542946"></a>( x̅ =4.<span lang="TH">22</span>, SD.=0.<span lang="TH">68</span>) <span lang="TH">ความพึงพอใจของผู้มารับบริการงานผู้ป่วยนอก โดยรวมมีระดับความคิดเห็นการให้บริการอยู่ในระดับมาก </span>( x̅<span lang="TH">= </span>4<span lang="TH">.65</span> , SD <span lang="TH">= </span>0<span lang="TH">.89) </span><span lang="TH">ขั้นตอนการบริการ จาก </span>7 <span lang="TH">ขั้นตอนในปี 256</span>4<span lang="TH"> ลดลงเหลือ 6 ขั้นตอนในปี 256</span>6<span lang="TH"> ระยะเวลารอคอยเฉลี่ยปี 2564-2566 ลดลงจาก 110.16 นาที 88 นาที และ </span>81.50 <span lang="TH">นาที </span><span lang="TH">การพัฒนารูปแบบบริการงานผู้ป่วยนอกด้วยกระบวนการ </span>Smart Hospital<span lang="TH">ใช้เวชระเบียนอิเล็กทรอนิกส์ ใบสั่งยาแบบไร้กระดาษ (</span>Paperless<span lang="TH">)ทำให้ระบบงานมีความสะดวกและรวดเร็วมากขึ้น บันทึกข้อมูลในระบบ</span>HosXP <span lang="TH">งดการปริ้นใบสั่งยา ทำให้ลดปริมาณกระดาษลง มีตู้คิวอัตโนมัติที่สามารถลงทะเบียนที่รวดเร็ว ในส่วนของระบบ</span>Queue Display<span lang="TH"> มีจอโทรทัศน์แสดงคิว พร้อมมีเสียงเรียกชื่อสกุลผู้มารับบริการที่ชัดเจน ลดความผิดพลาดในการระบุตัวบุคคลได้ ระบบบริการโดยใช้ </span>One Vital Sign connect to HIS <span lang="TH">สามารถส่งข้อมูลสัญญาณชีพที่วัดได้เข้าระบบ </span>Hos XP <span lang="TH">โดยอัตโนมัติทำให้ข้อมูลที่ได้มีความถูกต้องแม่นยำ และรวดเร็ว ลดระยะเวลารอคอยของผู้รับบริการและผู้รับบริการมีความพึงพอใจในระบบบริการ</span></p> </div> สุภาพร แสนจันศรี Copyright (c) 2024 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-03-29 2024-03-29 4 1 66 77 การพัฒนาแนวทางการดูแลเพื่อบำบัดผู้ใช้สารเสพติดที่มีภาวะซึมเศร้า https://he04.tci-thaijo.org/index.php/AJNHS/article/view/953 <p>การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action research) มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสถานการณ์ของผู้ใช้สารเสพติดที่มีภาวะซึมเศร้า พัฒนาแนวทางการดูแลเพื่อบำบัดผู้ใช้สารเสพติดที่มีภาวะซึมเศร้า และประเมินผลแนวทางการดูแลเพื่อบำบัดผู้ใช้สารเสพติดที่มีภาวะซึมเศร้า ประชากร คือ ผู้ใช้สารเสพติดที่มีภาวะซึมเศร้าระดับเล็กน้อย-ระดับรุนแรง ทุกราย ที่อยู่ในพื้นที่ตำบลหัวขวาง อำเภอโกสุมพิสัย จังหวัดมหาสารคาม เครื่องมือที่ใช้คือ แนวทางการดูแลเพื่อบำบัดผู้ใช้สารเสพติดที่มีภาวะซึมเศร้า แบบคัดกรองโรคซึมเศร้าด้วย 2 คำถาม (2Q)&nbsp; แบบคัดกรองโรคซึมเศร้าด้วย 9 คำถาม (9Q)&nbsp; แบบประเมินการฆ่าตัวตาย 8 คำถาม (8Q) แบบประเมินความเครียด (ST-5) และแบบสอบถามการเห็นคุณค่าในตนเอง สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ย (Mean) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) Chi-Square Test และ Paired t-test</p> <p>ผลการวิจัย ได้รูปแบบการพัฒนาแนวทางการดูแลเพื่อบำบัดผู้ใช้สารเสพติดที่มีภาวะซึมเศร้า กิจกรรมทั้งหมด มี 8 กิจกรรม จัดลักษณะกิจกรรมกลุ่ม ใช้เวลาครั้งละ 90-120 นาที สัปดาห์ละ 1 ครั้ง รวม 8 สัปดาห์ &nbsp;จะมีการประเมินหลังการทำกิจกรรมและมีการบ้านทุกครั้งหลังการฝึก พบว่า การคัดกรองโรคซึมเศร้าด้วย 2 คำถาม (2Q) ของผู้ใช้สารเสพติดที่มีภาวะซึมเศร้าหลังเข้าร่วมโครงการพัฒนาแนวทางการดูแล ผู้มีผลบวกของการคัดกรองลดลงจาก 24 ราย ร้อยละ 100 เหลือ 11 ราย คิดเป็นร้อยละ 45.8 ผลเปรียบเทียบการคัดกรองโรคซึมเศร้าด้วย 9 คำถาม (9Q) ของผู้ใช้สารเสพติดที่มีภาวะซึมเศร้าก่อนและหลังเข้าร่วมโครงการพัฒนาแนวทางการดูแล พบว่ามีค่าเฉลี่ยคะแนนลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (Mean difference =6.92, 95%CI 5.77-8.06, <em>p</em>-value&lt;0.05) การคัดกรองด้วยแบบประเมินความเครียด (ST-5) หลังเข้าร่วมโครงการ มีค่าเฉลี่ยคะแนนลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (Mean difference=4.46, 95%CI 3.69-5.23, <em>p</em>-value&lt;0.05) การคัดกรองด้วยแบบสอบถามการเห็นคุณค่าในตนเองหลังเข้าร่วมโครงการ มีค่าเฉลี่ยคะแนนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (Mean difference=-0.78, 95%CI -0.99 ถึง -0.56, <em>p</em>-value &lt;0.05) แต่การคัดกรองด้วยแบบประเมินการฆ่าตัวตาย 8 คำถาม (8Q) ก่อนและหลังเข้าร่วมโครงการ มีค่าเฉลี่ยคะแนนไม่แตกต่างกัน</p> <p>&nbsp;จากการศึกษาพบว่า หลังผู้ใช้สารเสพติดที่มีภาวะซึมเศร้าเข้าร่วมโครงการพัฒนาแนวทางการดูแล มีการเห็นคุณค่าในตนเองเพิ่มขึ้น ผลการคัดกรองซึมเศร้าและความเครียดดีขึ้น จึงควรใช้แนวทางการดูแลนี้อย่างต่อเนื่อง และเผยแพร่ไปใช้กับโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลหรือโรงพยาบาลอื่นต่อไป</p> กุญฤดี โง้วศิริ ดาวเรือง จัตุชัย Copyright (c) 2024 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-03-29 2024-03-29 4 1 78 90 การพัฒนารูปแบบการดูแลผู้ป่วยติดเชื้อในกระแสเลือด งานพยาบาลผู้ป่วยในหญิง โรงพยาบาลบรบือ จังหวัดมหาสารคาม https://he04.tci-thaijo.org/index.php/AJNHS/article/view/955 <p>การวิจัยเชิงปฏิบัติการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาและประเมินผลรูปแบบการดูแลผู้ป่วยติดเชื้อในกระแสเลือด งานพยาบาลผู้ป่วยในหญิง โรงพยาบาลบรบือ จังหวัดมหาสารคาม&nbsp; ดำเนินการพัฒนาระบบบริการร่วมกันโดยทีมสหวิชาชีพที่เกี่ยวข้อง โดยใช้แนวคิด <strong>6 เสาหลักของระบบสุขภาพ</strong> ตามแนวทางขององค์การอนามัยโลก ระยะเวลาวิจัย เดือน ตุลาคม 2563-กันยายน 2565 วิเคราะห์ข้อมูลข้อมูลเชิงปริมาณโดยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ จำนวน ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ข้อมูลเชิงคุณภาพใช้วิธีวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการศึกษา รูปแบบการดูแลผู้ป่วยติดเชื้อในกระแสเลือด งานพยาบาลผู้ป่วยในหญิง โรงพยาบาลบรบือ จังหวัดมหาสารคาม&nbsp; ที่พัฒนาขึ้น ประกอบด้วย ด้านปัจจัยนำเข้า ได้แก่ การบริหารจัดการแบบมีส่วนร่วมโดยมีกลไกการขับเคลื่อนด้านนโยบายและการนำองค์กรของหน่วยงาน มีระบบการติดตามตัวชี้วัดและการประชุมอย่างต่อเนื่อง การจัดการด้านทรัพยากรบุคคลการพยาบาลและทีมสหวิชาชีพให้มีสมรรถนะมีการพัฒนาความรู้และทักษะทีมสหวิชาชีพ รวมทั้งการสนับสนุนยาเวชภัณฑ์มิใช่ยาและการตรวจทางห้องปฏิบัติการที่เพียงพอ พร้อมใช้ ด้านกระบวนการ ได้แก่ การสร้างกลไกในการค้นพบผู้ป่วยตั้งแต่ในระยะเริ่มต้น การรักษาการติดเชื้อและการฟื้นฟูระบบไหลเวียนอย่างรวดเร็ว พัฒนาระบบข้อมูล&nbsp; ระบบแพทย์พี่เลี้ยงให้คำปรึกษา จัดทำ CPG ต่างๆที่ใช้ร่วมกัน พัฒนาแนวปฏิบัติการรายงานแพทย์และสื่อสารในทีมสหวิชาชีพ รวมทั้งคู่มือแนวทางการนิเทศการจัดบริการพยาบาลและการพยาบาลระยะต่อเนื่องจนถึงการวางแผนจำหน่าย ด้านผลผลิตและผลลัพธ์ ได้แก่ &nbsp;พัฒนาแนวทางกำกับติดตามการดำเนินงานสะท้อนผลลัพธ์เป็นระยะเพื่อหาโอกาสพัฒนา จากการพัฒนาส่งผลให้เพิ่มขึ้น ทีมสหวิชาชีพมีความพึงพอใจต่อระบบริการในระดับมาก&nbsp; ผลลัพธ์ด้านการดูแล พบว่า ไม่มีผู้ป่วยเสียชีวิต&nbsp; เมื่อเปรียบเทียบกับเป้าหมายที่กำหนด จำนวน 6 ตัวชี้วัด พบว่า บรรลุตามเป้าหมายทุกตัวชี้วัด คิดเป็นร้อยละ 100 และไม่พบอุบัติการณ์ร้องเรียนของผู้ป่วย</p> <p>การพัฒนาระบบที่เกิดจากการจากการมีส่วนร่วมและนำ Six Building Blocks of A Health System สามารถทำให้เกิดการจัดบริการที่มีประสิทธิภาพตอบสนองต่อการดูแล รวมถึงการจัดสรรงบประมาณและทรัพยากรได้อย่างเพียงพอ ส่งผลให้ผู้ป่วยได้รับเข้าถึงบริการ ได้รับการประเมินที่รวดเร็ว การดูแลที่เหมาะสม ปลอดภัยมาตรฐาน</p> บุญมี จันทริมา Copyright (c) 2024 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-03-29 2024-03-29 4 1 91 103 การพัฒนาแนวปฏิบัติทางการพยาบาลเพื่อดูแลผู้ป่วยมีภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดโดยใช้หลัก3E ตึกผู้ป่วยใน โรงพยาบาลนาดูน จังหวัดมหาสารคาม https://he04.tci-thaijo.org/index.php/AJNHS/article/view/956 <p><strong>วัตถุประสงค์</strong> : เพื่อพัฒนาแนวปฏิบัติทางการพยาบาลในการดูแลผู้ป่วยติดเชื้อในกระแสเลือดโดยใช้หลัก3E ตึกผู้ป่วยใน &nbsp;</p> <p><strong>วิธีการวิจัย</strong> : เป็นการวิจัยและพัฒนา (research and development) กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ป่วยติดเชื้อในกระแสเลือด ช่วง 3 ธันวาคม 2565–30 กันยายน 2566 จำนวน 48 คน ขั้นตอนการวิจัยมี3ระยะ1)ระยะศึกษาสถานการณ์และสภาพปัญหา 2)ระยะการพัฒนารูปแบบและ3)ระยะประเมินผลการพัฒนา เครื่องมือคือแบบบันทึกข้อมูลการดูแลผู้ป่วย แบบบันทึกการสนทนากลุ่ม แบบบันทึกเวชระเบียน&nbsp; วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ โดยใช้ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ สถิติไคสแควร์ การทดสอบแมนวิทนี ยู วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ เชิงเนื้อหา ทดสอบผลของรูปแบบการดูแลผู้ป่วย</p> <p><strong>ผลการวิจัย</strong> : ระยะที่ 1.พบการคัดกรองผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงได้รับการวินิจฉัยและการรักษาล่าช้ากว่าเกณฑ์ที่กำหนด ระยะที่ 2.การใช้หลัก 3E ประกอบด้วย 1.การคัดกรองและการดักจับได้เร็ว(Early screening and detection) 2.การช่วยชีวิตได้เร็ว(Early resuscitation) 3.การส่งต่อได้เร็ว(Early referral) พบผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงยังไม่ครอบคลุม 3.หลังการพัฒนารูปแบบพบว่าระยะเวลาตั้งแต่เริ่มคัดกรองถึงวินิจฉัย ระยะเวลาเฉลี่ยลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .001 โดยพบว่าลดลงจาก 98.73 นาที เป็น 29.71 นาที จำนวนผู้ป่วยได้รับการวินิจฉัยและเข้าสู่กระบวนการรักษาก่อนเกิดภาวะช็อกได้ถูกต้องอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .000 จำนวนผู้ป่วยที่เกิดภาวะช็อกมีความถูกต้องมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .001</p> <p><strong>สรุปผล</strong> : พบว่าการใช้แนวปฏิบัติโดยใช้หลัก 3E สามารถช่วยลดระยะเวลาการคัดกรองถึงวินิจฉัยได้และมีความถูกต้องเพิ่มมากขึ้น</p> เดือนเพ็ญ ปะติกานัง ภัฏฏการก์ เถาว์กลาง Copyright (c) 2024 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-03-29 2024-03-29 4 1 104 116 รูปแบบการดูแลระยะยาวในผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงของโรงพยาบาลดอนจาน จังหวัดกาฬสินธุ์ https://he04.tci-thaijo.org/index.php/AJNHS/article/view/960 <p>การวิจัยเชิงปฏิบัติการโดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาสถานการณ์และการพัฒนารูปแบบการดูแลระยะยาวในผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงโรงพยาบาลดอนจาน กลุ่มเป้าหมายเป็นผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงจำนวน 45 รายโดยมีผู้ดูแลหลัก ทีมผู้ให้บริการเป็นทีมสหวิชาชีพรวม 30 คน เครื่องมือวิจัยได้แก่ แบบประเมินกิจวัตรประจำวันและแบบประเมินความพึงพอใจ ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟ่าของครอนบาค เท่ากับ 0.81 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการใช้สถิติพรรณนา ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ผลการศึกษาพบว่ารูปแบบการดูแลระยะยาวในผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงมี แบ่งเป็น 3 ระยะ ได้แก่ระยะเตรียมการ ดำเนินกิจกรรมและทบทวน ผลประเมินความพึงพอใจของทีมผู้ให้บริการ โดยรวมอยู่ที่ระดับมาก ( <img title="\overline{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\overline{x}">=3.98 ,SD =0.629) และความพึงพอใจของผู้รับบริการโดยรวมอยู่ในระดับมาก ( <img title="\overline{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\overline{x}">=3.94, SD =0.456)</p> <p>สรุป รูปแบบการดูแลระยะยาวในผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงของโรงพยาบาลดอนจาน โดยงานการพยาบาลผู้ป่วยนอก ดำเนินงานแบบบูรณาการร่วมกับสหสาขาวิชาชีพ</p> ปาริชาต แก้วคำ Copyright (c) 2024 วิทยาลัยพยาบาลศรีมหาสารคาม คณะพยาบาลศาสตร์ สถาบันพระบรมราชชนก https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-03-29 2024-03-29 4 1 117 127 การศึกษาการสูญเสียปีสุขภาวะจากสาเหตุการเสียชีวิตด้วยโรคหลอดเลือดสมองของประชากร จังหวัดกาฬสินธุ์ https://he04.tci-thaijo.org/index.php/AJNHS/article/view/1093 <p>การสูญเสียปีสุขภาวะ (Disability Adjusted Life Year: DALYs) เป็นเครื่องชี้วัดที่สามารถสะท้อน ปัญหาสุขภาพของประชากรได้ครอบคลุมทั้งการตาย ความเจ็บป่วย และความพิการ โดยวัดออกมาเป็นหน่วย วัดเดียวกัน การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อคาดประมาณภาระทางสุขภาพจากสาเหตุการเสียชีวิตด้วยโรคหลอดเลือดสมอง เพื่อที่จะกำหนดแนวทางการป้องกันและเฝ้าระวังการเกิดโรค หรือวางแผนนโยบายในการดูแลสุขภาพแก่ผู้บริหาร โดยศึกษาข้อมูลทุติยภูมิเพื่อคาดประมาณการสูญเสียปีสุขภาวะจากสาเหตุการเสียชีวิตด้วยโรคหลอดเลือดสมองของประชากรจังหวัดกาฬสินธุ์ ปี 2565 โดยศึกษาเชิงพรรณนาแบบตัดขวาง อาศัยข้อมูลการเจ็บป่วยจากฐานข้อมูลเวชระเบียนโรงพยาบาล ข้อมูลจำนวนประชากรจากฐานทะเบียนราษฎร์มหาดไทย และข้อมูลการเสียชีวิตจากฐานกองนโยบายและแผน กระทรวงสาธารณสุข</p> <p>ผลการศึกษา พบว่า อายุคาดเฉลี่ยเมื่อแรกเกิดของประชากรจังหวัดกาฬสินธุ์ ปี 2565 73.45 ปี อัตราการเสียชีวิตด้วยโรคหลอดเลือดสมองของประชากรจังหวัดกาฬสินธุ์ ชายมีอัตราตายมากกว่าหญิง 1.85 เท่า โดยมีอัตราตาย 89.57 และ 46.57 ต่อแสนประชากร ตามลำดับ อัตราการตาย อำเภอที่มีอัตราการตายด้วยโรคหลอดเลือดสมองสูงสุด คือ อำเภอกมลาไสย รองลงมา คือ อำเภอร่องคำและ อำเภอนาคู อัตราการตาย 110.89 90.95 และ 80.67 ตามลำดับ จำนวนปีสุขภาวะที่เสียไป (DALYs) จำนวน 19,651 ปี ชายสูญเสียมากกว่าหญิง 2.16 เท่า ชาย 13,436 ปี และหญิง 6,215 ปี จำนวนปีสุขภาวะที่เสียไปสูงสุด คือ ช่วงอายุ 60-69 ปี และช่วงอายุ 45-59 ปี ใกล้เคียงกัน 5,983 ปีและ 5,827 ปี อำเภอที่มีจำนวนปีสุขภาวะที่เสียไปสูงสุด คือ อำเภอเมืองกาฬสินธุ์ รองลงมา คือ อำเภอกมลาไสย และ อำเภอยางตลาด โดยมีจำนวนปีสุขภาวะที่เสียไป 3,271, 2,534 และ 2,097 ปี ควรร่วมกำหนดแนวทางมาตรการในการแก้ไขปัญหา ดังนี้ 1) คัดกรองค้นหากลุ่มเสี่ยงจากโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง 2) ประเมิน CVD Risk กรณีพบความเสี่ยง ≥ 20% ต้องได้รับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมแบบเข้มข้น เร่งด่วน 3) ผู้ป่วย STROKE ที่สูบบุหรี่สามารถเข้าสู่ระบบและติดตามการเลิกสำเร็จ 4) ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองที่มีอาการไม่เกิน 60 ชั่วโมง ได้รับการรักษาและส่งต่อเร่งด่วน</p> วิภาวี เหล่าจตุรพิศ Copyright (c) 2024 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-04-27 2024-04-27 4 1 128 137 การพยาบาลผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ร่วมกับโรคความดันโลหิตสูง ภาวะไขมันในเลือดสูงและมีภาวะแทรกซ้อนทางไต: กรณีศึกษา https://he04.tci-thaijo.org/index.php/AJNHS/article/view/1094 <p>การพยาบาลผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 &nbsp;ร่วมกับความดันโลหิตสูง ภาวะโรคไตจากเบาหวาน และภาวะไขมันในเลือดสูง&nbsp; มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมญาติในครอบครัวของผู้ป่วยเบาหวาน ในการสนับสนุนหรือช่วยเหลือผู้ป่วยเบาหวานในการปฏิบัติตัวได้อย่างเหมาะสม การคัดเลือกกรณีศึกษาผู้ศึกษาได้คัดเลือกผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ร่วมกับโรคความดันโลหิตสูง &nbsp;ซึ่งเลือกในกลุ่มสีแดง (ระดับความดันโลหิต180/110 มิลลิเมตรปรอท,HbA1C≥8) และมีภาวะโรคไตจากเบาหวาน และภาวะไขมันในเลือดสูง จำนวน 1 ราย ทำการศึกษาวางแผนการพยาบาลโดยยึดกระบวนการ พยาบาล 5 ขั้นตอน คือ 1.การประเมินภาวะสุขภาพ &nbsp;2.การวินิจฉัยทางการพยาบาล 3.วางแผนการพยาบาล 4. ปฏิบัติการพยาบาล 5.ติดตามและประเมินผล</p> <p>ผลการศึกษา ผู้ศึกษาขอเสนอรายกรณี เป็นผู้ป่วยหญิงไทยวัย 48 ปี ได้รับการวินิจฉัย Diabetes Mellitus Type II with Hypertension with Dyslipidemia with Diabetic nephropathy จากการซักประวัติ มาพบแพทย์และเจาะเลือดตามนัดมีอาการปวดศีรษะ มึนงงศีรษะ เป็นมา 1 วัน รับไว้ในความดูแล : ระหว่างวันที่ 14 กรกฎาคม 2566 – 26ตุลาคม 2566 ณ คลินิกเบาหวาน โรงพยาบาลชัยนาทนเรนทร รวมระยะเวลาในการเก็บรวบรวมข้อมูล104 วัน จากการประเมินข้อมูลของผู้ป่วยตามแบบประเมินสุขภาพแบบของกอร์ดอน ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาลดังนี้ &nbsp;1) เสี่ยงต่อการได้รับอันตรายจากภาวะความดันโลหิตสูง เนื่องจากขาดความรู้ในการจัดการกับ โรคความดันโลหิตสูง 2) มีภาวะน้ำตาลในเลือดสูงเนื่องจากการ ควบคุมระดับน้ำตาลไม่มีประสิทธิภาพ 3) เสี่ยงต่อการเกิดภาวะของเสียคั่งในร่างกายเนื่องจากประสิทธิภาพการทำงานของไตลดลง 4) เสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจขาดเลือด(กล้ามเนื้อหัวใจตาย) จากไขมันในเลือดสูง 5) เสี่ยงต่อการเกิดแผลที่เท้า เนื่องจากมีความเสื่อมของระบบประสาทส่วนปลาย จากพยาธิสภาพของโรคเบาหวาน 6) ผู้ป่วยและญาติมีความวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวการณ์เจ็บป่วย</p> รุ่งทิพย์ อรรถสุข Copyright (c) 2024 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-04-27 2024-04-27 4 1 138 151 การพยาบาลผู้ป่วยโรคตับแข็งที่มีภาวะแทรกซ้อนเลือดออกจากหลอดเลือดดำโป่งพอง บริเวณหลอดอาหาร : กรณีศึกษา https://he04.tci-thaijo.org/index.php/AJNHS/article/view/1095 <p>โรคตับแข็งเป็นโรคตับระยะสุดท้ายของโรคตับหลายชนิดโดยการดำเนินโรคเกิดจากการอักเสบเรื้อรังที่เรียกว่า โรคตับเรื้อรัง (Chronic live disease) เข้าสู่โรคตับแข็งในระยะเริ่มต้นจนถึงโรคตับแข็งระยะสุดท้าย &nbsp;(End–stage liver disease) โดยสาเหตุอาจเกิดจากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบแบบเรื้อรัง โรคตับคั่งไขมัน หรือกลุ่มโรคตับอักเสบจากภูมิต้านทานตัวเอง ทั้งนี้ลักษณะทางกายวิภาคที่จำเพาะในโรคตับแข็งได้แก่ การสร้างพังผืดในตับที่มากขึ้นจะส่งผลให้ผู้ป่วยมีการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาต่างๆตามมา ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มขึ้นของแรงดันเลือดในระบบหลอดเลือดดำพอร์ทัลจากการที่เลือดไหลเวียนเข้าตับลดลงหรือเกิดการทำงานที่ถดถอยลงของตับจนนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนต่างๆที่อาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต ได้แก่ ภาวะเลือดออกจากหลอดเลือดดำโป่งพองบริเวณหลอดอาหาร (Esophageal varices) โรคสมองที่มีเหตุจากโรคตับ ท้องมาน มะเร็งตับ เป็นต้น</p> <p>&nbsp;จากกรณีศึกษาพบว่าผู้ป่วยรายนี้มาโรงพยาบาลด้วยอาการสำคัญคือ อาเจียนเป็นเลือดสดและถ่ายอุจจาระสีแดงปนดำ ซึ่งผู้ป่วยรายนี้ไม่มีประวัติดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และไม่เคยมีประวัติเป็นตับแข็งมาก่อน ระยะแรกแพทย์รักษาแบบภาวะเลือดออกในทางเดินอาหารส่วนบน และให้รักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลเพื่อดูอาการ ผู้ป่วยมีการสูญเสียเลือดปริมาณมาก ตรวจค่าความเข้มข้นของเม็ดเลือดแดงทำให้รู้ว่าผู้ป่วยมีภาวะซีด Hemoglobin = 7.7 g/dl &nbsp;Hematocrit = 23.9 % &nbsp;&nbsp;&nbsp;แพทย์จึงให้การรักษาโดยการให้เลือด สารน้ำทำคลื่นไฟฟ้าหัวใจ เพื่อดูความผิดปกติของหัวใจ บันทึกปริมาณปัสสาวะหรือสารน้ำเข้าและออก&nbsp;เจาะค่าความเข้มข้นเลือดทุก 6 ชั่วโมง และปรึกษาแผนกศัลยกรรมเพื่อทำการส่องกล้องทางเดินอาหาร (EGD : Esophagogastroduodenoscopy) หลังทำการส่องกล้องพบว่าบริเวณหลอดอาหารมีจุดเลือดออกจำนวนมาก (Multiple esophageal varices with probable cherry red &nbsp;&nbsp;spot) จึงให้การวินิจฉัยว่าผู้ป่วยรายนี้มีภาวะแทรกซ้อนเลือดออกจากหลอดเลือดดำโป่งพองบริเวณหลอดอาหาร และให้การรักษาโดยการผูกหลอดเลือดขอดบริเวณหลอดอาหาร (EVL : Esophageal variceal band ligation)</p> <p>&nbsp;จากการรักษาพยาบาลที่ต่อเนื่องอย่างมีประสิทธิภาพทั้งด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์และสังคมทำให้ผู้ป่วยรายนี้กลับบ้านได้อย่างปลอดภัย และนัดมาตรวจติดตามอาการที่แผนกผู้ป่วยนอกเป็นระยะ พบว่าผู้ป่วยรายนี้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซี และได้นัดมารับยารักษาโรคไวรัสตับซี และต้องเฝ้าระวังการกลับเป็นซ้ำของภาวะเลือดออกจากหลอดเลือดดำโป่งพองที่หลอดอาหาร</p> <p><strong>&nbsp;</strong></p> ประทุม สัทธิง Copyright (c) 2024 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-04-27 2024-04-27 4 1 152 162 ประสิทธิผลของโปรแกรม Dungmun Stroke Model ต่อพฤติกรรมการป้องกันโรคหลอดเลือดสมอง โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลดงมัน https://he04.tci-thaijo.org/index.php/AJNHS/article/view/1096 <p>การวิจัยกึ่งการทดลองนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสิทธิผลโปรแกรม Dungmun Stroke Model ต่อพฤติกรรมการป้องกันโรคหลอดเลือดสมองโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลดงมัน กลุ่มตัวอย่างคือ&nbsp; กลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวาน จำนวน 54&nbsp; คน ผู้ป่วยความดันโลหิตสูง&nbsp; จำนวน 23&nbsp; คน รวม 77 คน และร่วมกับมีภาวะดังต่อไปนี้อย่างน้อย 1 อย่าง คือ รอบเอวเกิน สูบบุหรี่ Cholesterol&nbsp; ในเลือดมากกว่า 240 mg/dl ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เลือกแบบเจาะจง&nbsp; (Purposive)&nbsp; เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่&nbsp; แบบบันทึกข้อมูลส่วนบุคคล&nbsp; แบบประเมินความรู้เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพตนเอง&nbsp; แบบประเมินเกี่ยวกับการดูแลตนเอง ดำเนินการวิจัยระหว่าง1 ต.ค.65-10 มิ.ย.2566 วิเคราะห์ข้อมูล โดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และใช้สถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ Paired t-test</p> <p>&nbsp;ผลการศึกษาพบว่ากลุ่มเสี่ยงโรคหลอดเลือดสมอง ก่อนเข้าร่วมโปรแกรมมีพฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเองในการป้องกันโรคหลอดเลือดสมองค่าเฉลี่ย 89.31 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 1.10 หลังจากเข้าร่วมโปรแกรมมีพฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเองในการป้องกันโรคหลอดเลือดสมองค่าเฉลี่ย 94.77 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 1.30 เมื่อทดสอบความแตกต่างทางสถิติพบว่าพฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเองในการป้องกันโรคหลอดเลือดสมองหลังเข้าร่วมโปรแกรม Dungmun Stroke Model มีค่าเพิ่มขึ้นโดยมีการเปลี่ยนแปลงของระดับความเสี่ยงโรคหลอดเลือดสมองที่ลดลง&nbsp; อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P&lt;0.001)</p> วันดี สาทถาพร Copyright (c) 2024 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-04-27 2024-04-27 4 1 163 172 ผลของการใช้โปรแกรม Hypertensive Clinical Pathway Model ในการให้บริการผู้ป่วย โรคความดันโลหิตสูง กรณีศึกษา อำเภอสหัสขันธ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ https://he04.tci-thaijo.org/index.php/AJNHS/article/view/1097 <p>การวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการใช้โปรแกรม Hypertensive Clinical Pathway model ในการให้บริการผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงกรณีศึกษาอำเภอสหัสขันธ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ แบ่งเป็น 4 ขั้นตอน คือ การวางแผน การปฏิบัติการ การสังเกตการณ์ และสะท้อนผลการปฏิบัติ ผู้มีส่วนร่วมในการศึกษาประกอบด้วย แพทย์ พยาบาล วิชาชีพเภสัช นักโภชนากร นักกายภาพบำบัด ผู้ป่วยเบาหวาน โดยเลือกแบบจำเพาะเจาะจง เครื่องมือในการวิจัย ได้แก่ แบบประเมินพฤติกรรมในการดูแลตนเองของผู้ป่วยความดันโลหิต แบบประเมินความรู้ของผู้ป่วยโรคความดัน การสัมภาษณ์เชิงลึก การสนทนากลุ่ม การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ ใช้สถิติ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และเปรียบเทียบโดยใช้สถิติที วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพโดยใช้การวิเคราะห์เชิงเนื้อหา ผลจากการวิจัย พบว่า กระบวนการทำงานในการดูแลผู้ป่วยความดันโลหิตสูงไม่ชัดเจน การประเมินผู้ป่วยไม่ครบถ้วน การวินิจฉัยโรคคลาดเคลื่อน การวางแผนการรักษาไม่ครอบคลุม การดูแลรักษาไม่ได้ตามเป้าหมายที่กำหนดขาดการประสานงานของทีมสหวิชาชีพ ตลอดจนถึงขาดการพัฒนาทักษะความรู้ในการดูแลผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงอย่างต่อเนื่อง และประชาชนยังขาดความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับโรคความดันโลหิตสูง ส่วนรูปแบบการดูแลผู้ป่วยความดันโลหิตสูงในคลินิกโรคเรื้อรัง ประกอบด้วย มีคณะกรรมการดำเนินงาน มีการพัฒนาแนวทางการดูแลผู้ป่วยความดันโลหิตสูงแบบสหวิชาชีพ Hypertensive clinical pathway model และการพัฒนาศักยภาพของทีมสหวิชาชีพทุกระดับทั้งในโรงพยาบาลทั่วไป โรงพยาบาลชุมชน และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ตลอดจน อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน ให้มีความเข้าใจในการเป็นผู้จัดการในการดูแลผู้ป่วย นำมาสู่การเพิ่มคุณภาพการดูแลต่อเนื่อง การติดตามผู้ป่วยขาดนัดโดย 3 หมอ การติดตามผู้ป่วยผ่านโทรศัพท์ COC ระดับอำเภอ&nbsp; ตำบล หมู่บ้าน</p> เพชรลัดดา วังภูสิทธิ์ Copyright (c) 2024 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-04-27 2024-04-27 4 1 173 184 แนวทางการดูแลผู้ป่วยจิตเวชฉุกเฉินที่มีความเสี่ยงสูงต่อการก่อความรุนแรงโดยการมีส่วนร่วม ของทีมสหวิชาชีพและภาคีเครือข่ายชุมชน อำเภอกุดรัง จังหวัดมหาสารคาม https://he04.tci-thaijo.org/index.php/AJNHS/article/view/1098 <p>การวิจัยและพัฒนานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาและประเมินผลแนวทางการดูแลผู้ป่วยจิตเวชฉุกเฉินที่มีความเสี่ยงสูงต่อการก่อความรุนแรงโดยการมีส่วนร่วมของทีมสหวิชาชีพและภาคีเครือข่ายชุมชน อำเภอกุดรัง จังหวัดมหาสารคาม ดำเนินการพัฒนาแนวทางการดูแลร่วมกับทีมสหวิชาชีพและภาคีเครือข่ายชุมชนที่เกี่ยวข้อง ตามแนวทาง <strong>6 เสาหลักของระบบสุขภาพ</strong>ขององค์การอนามัยโลก ระยะเวลาวิจัย เดือน เดือน สิงหาคม 2565 - กันยายน 2566 เครื่องมือในการวิจัย แนวคำถามการสัมภาษณ์เชิงลึก&nbsp; สนทนากลุ่ม แบบบันทึกข้อมูลส่วนบุคคล แบบประเมินพฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรง แบบประเมินความพึงพอใจ วิเคราะห์ข้อมูลข้อมูลเชิงปริมาณโดยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ จำนวน ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ข้อมูลเชิงคุณภาพใช้วิธีวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า แนวทางการดูแลผู้ป่วยจิตเวชฉุกเฉินที่มีความเสี่ยงสูงต่อการก่อความรุนแรงโดยการมีส่วนร่วมของทีมสหวิชาชีพและภาคีเครือข่ายชุมชน อำเภอกุดรัง จังหวัดมหาสารคาม ประกอบด้วย 1) การจัดระบบสนับสนุนการจัดบริการดูแลโดยขับเคลื่อนการดำเนินงานผ่านคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอำเภอ มีการสนับสนุนการดำเนินงานจากทุกภาคส่วน จัดระบบสนับสนุนยา อุปกรณ์ที่จำเป็น การสื่อสารผ่านช่องทาง line group&nbsp;&nbsp; 2) การจัดการระบบจัดบริการดูแลรักษาที่มีประสิทธิภาพโดยมีการคัดกรองประเมินเพื่อจัดระดับความรุนแรงดูแลเร่งด่วน จัดทำ CPG การดูแลขณะเกิดเหตุในชุมชน&nbsp; ขณะอยู่โรงพยาบาล ขณะส่งต่อผู้ป่วยและการเตรียมจำหน่ายสู่ชุมชน 3) การพัฒนาศักยภาพบุคลากรโรงพยาบาล โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลและภาคีเครือข่ายชุมชนในการดูแลผู้ป่วยจิตเวชฉุกเฉิน 4) การกำหนดบทบาทหน้าที่ทีมสหวิชาชีพและภาคีเครือข่ายชุมชนในการดูแลผู้ป่วยจิตเวชฉุกเฉิน ประเมินผลพบว่า บุคลากรที่เกี่ยวข้องมีการปฏิบัติตามแนวทางดูแลภายหลังดำเนินการเพิ่มขึ้นทุกด้าน ทีมสหวิชาชีพและภาคีเครือข่ายชุมชน มีความพึงพอใจต่อแนวทางการดูแลในภาพรวมอยู่ในระดับมาก ผู้ป่วยจิตเวชฉุกเฉินได้รับการประเมินพฤติกรรมก้าวร้าวและจัดการดูแลตามความเร่งด่วน&nbsp; ได้รับการรักษาครบถ้วนตามแผนการรักษา เพื่อการรักษาต่อเนื่อง/ส่งต่อ ร้อยละ 100 และไม่พบอุบัติการณ์ทำร้ายตนเองหรือผู้อื่น</p> ปิยวัฒน์ ผิวเรืองนนท์ สกุลรัตน์ ทองจันทร์ Copyright (c) 2024 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-04-27 2024-04-27 4 1 185 198 การพัฒนาระบบการดูแลรักษาผู้ป่วยวัณโรค จังหวัดมหาสารคาม https://he04.tci-thaijo.org/index.php/AJNHS/article/view/1099 <p>วัตถุประสงค์ของการวิจัยครั้งนี้ เพื่อพัฒนาระบบการดูแลรักษาผู้ป่วยวัณโรค จังหวัดมหาสารคาม เป็นวิจัยเชิงปฏิบัติการ แบ่งเป็น 4 ขั้นตอน คือ วางแผน ปฏิบัติการ สังเกตการณ์ และสะท้อนผลการปฏิบัติ ระยะเวลาดำเนินการ ตุลาคม 2564 – กันยายน 2565 <strong>&nbsp;</strong>ผู้มีส่วนร่วมในการศึกษา ประกอบด้วย แพทย์ เภสัชกร พยาบาลวิชาชีพ นักวิชาการสาธารณสุข &nbsp;รวม 68 คน โดยเลือกแบบจำเพาะเจาะจง เครื่องมือในการวิจัย ได้แก่ การสนทนากลุ่ม การสัมภาษณ์เชิงลึก แบบสังเกต แบบสอบถามความพึงพอใจ การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณใช้สถิติ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพโดยใช้การวิเคราะห์เชิงเนื้อหา ผลจากการวิจัย พบว่า</p> <ol> <li class="show">จากการวิเคราะห์ปัญหาที่เกิดขึ้น พบว่า ในแต่ละหน่วยงานขาดการประสานในการทำงานและไม่ต่อเนื่อง การคัดกรองผู้ป่วยวัณโรครายใหม่ไม่ครอบคลุม บุคลากรขาดประสบการณ์การดูแลผู้ป่วย แนวปฏิบัติการดำเนินงานไม่ชัดเจน ขาดการประชาสัมพันธ์ความรู้เกี่ยวกับโรค ผู้ป่วยรับประทานยาไม่ต่อเนื่อง ขาดแคลนงบประมาณ การติดตามดูแลผู้ป่วยไม่ต่อเนื่อง</li> <li class="show">การพัฒนาระบบการดูแลรักษาผู้ป่วยวัณโรค จังหวัดมหาสารคาม ประกอบด้วย 1) การพัฒนาศักยภาพของผู้ดูแล 2) การสร้างแนวทางและแนวปฏิบัติในการดูแลผู้ป่วย 3) ดำเนินการคัดกรองผู้ป่วย และผู้สัมผัสโรค 4) การพัฒนาศักยภาพเจ้าหน้าที่ในการดูแลผู้ป่วย 5) รณรงค์ประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับวัณโรคอย่างต่อเนื่อง 6) การจัดห้องแยกตรวจเฉพาะโรค 7) มีการสร้างเครือข่ายในการดูแลผู้ป่วยวัณโรค 8) การติดตามประเมินผลผู้ป่วยอย่างต่อเนื่อง</li> <li class="show">การประเมินผล พบว่า ระบบการดูแลรักษาผู้ป่วยวัณโรค จังหวัดมหาสารคาม ที่พัฒนาขึ้นมามีความชัดเจนสามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้ จากการประเมินมาตรฐานโรงพยาบาลคุณภาพการดูแลรักษาวัณโรค (QTB ) ผ่านเกณฑ์ประเมิน ร้อยละ 90 และความพึงพอใจผู้ป่วยวัณโรค ต่อการดูแลรักษา มีความพึงพอใจ อยู่ในระดับมากที่สุด ( <img title="\overline{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\overline{x}">= 4.80, SD = 0.41)</li> </ol> สายพิน ทองคำ ภิรญา พินิจกลาง กาญจนา จันทะนุย Copyright (c) 2024 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-04-27 2024-04-27 4 1 199 209 ระบบบริการดูแลผู้ป่วยโรคโควิด-19 โรงพยาบาลสนามอำเภอยางสีสุราช จังหวัดมหาสารคาม https://he04.tci-thaijo.org/index.php/AJNHS/article/view/1100 <p>การวิจัยเชิงปฏิบัติการนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาและประเมินผลระบบบริการดูแลผู้ป่วยโรคโควิด-19 โรงพยาบาลสนามอำเภอยางสีสุราช จังหวัดมหาสารคาม ดำเนินการพัฒนาระบบบริการร่วมกันโดยทีมสหวิชาชีพที่เกี่ยวข้อง ตามแนวคิด 6 เสาหลักด้านสุขภาพขององค์การอนามัยโลก ระยะเวลาวิจัย เดือน มิถุนายน 2564 – พฤษภาคม 2565 เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ประกอบด้วย แนวคำถามการสัมภาษณ์เชิงลึก&nbsp; การสนทนากลุ่ม แบบประเมินการเตรียมความพร้อมของโรงพยาบาลสนาม แบบประเมินความพึงพอใจ โปรแกรมรายงานอุบัติการณ์ความเสี่ยง ประเมินผลการพัฒนาระบบจากผลลัพธ์การดูแลผู้ป่วยที่รักษาใน รพ.สนาม จำนวน 660 ราย วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณโดยสถิติเชิงพรรณนา ข้อมูลเชิงคุณภาพใช้วิธีวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>&nbsp;ผลการศึกษา พบว่า การพัฒนาระบบบริการที่พัฒนาขึ้นฯ ประกอบด้วย 1) การจัดระบบสนับสนุนการจัดบริการดูแลรักษาโดยขับเคลื่อนการดำเนินงานผ่านคณะกรรมการบูรณาการร่วมระหว่างรพ.และภาคีเครือข่ายชุมชน มีการบริหารจัดการสถานที่ตามมาตรฐานและหลักควบคุมป้องกันการติดเชื้อ จัดระบบสนับสนุนทรัพยากรและวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์ จัดทำคู่มือการปฺฏิบัติงานของบุคลากรโรงพยาบาลสนาม 2) การจัดการระบบการดูแลรักษาที่มีประสิทธิภาพ โดยมี Case Management และ Project Manager การจัดทำ CPG ตามระดับความรุนแรง จัดระบบการดูแลตั้งแต่รับผู้ป่วย,การรักษา ติดตามผู้ป่วย การส่งต่อผู้ป่วย พร้อมทั้งนำสื่อเทคโนโลยีมาสนับสนุนการประเมิน ติดตามอาการและการจัดการตนเองของผู้ป่วย 3) การบริหารอัตรากำลังร่วมกันระหว่างพยาบาลวิชาชีพและทีมสหวิชาชีพมีการกำหนดบทบาทที่ชัดเจน รวมถึงพัฒนาทรัพยากรบุคคลตามสมรรถนะแต่ละวิชาชีพและการปฏิบัติตัวเพื่อป้องกันการติดเชื้อมีการหมุนเวียนปฏิบัติงาน ประเมินผล พบว่าผู้ป่วยได้รับการรักษาภายใน 24 ชม.ทุกราย ได้รับการจำหน่ายตามแผนการรักษาบรรลุตามเกณฑ์เป้าหมาย ร้อยละ 95.81&nbsp; ผู้ป่วยที่มีอาการเปลี่ยนแปลงได้รับการดูแลที่เหมาะสม เช่น ส่งต่อโรงพยาบาลแม่ข่ายร้อยละ 100 ไม่พบผู้ป่วยเสียชีวิตขณะรักษา ทีมสหวิชาชีพมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก</p> พีร์ วัชรวงษ์ไพบูลย์ กาญจนา จันทะนุย Copyright (c) 2024 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-04-27 2024-04-27 4 1 210 222