https://he04.tci-thaijo.org/index.php/JAHS/issue/feed วารสารสหเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา 2025-12-02T18:07:43+07:00 รศ.ดร.สมเดช รุ่งศรีสวัสดิ์ (บรรณาธิการ) ahs.ssru.journal@gmail.com Open Journal Systems <p style="text-align: justify;"> วารสารสหเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา ISSN (Online): 2730 – 1907ยินดีรับบทความวิจัยและวิชาการทางด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพ สาธารณสุข และสาขาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยบทความที่ส่งมาเพื่อพิจารณาตีพิมพ์จะต้องไม่เป็นผลงานวิจัย/วิชาการที่เคยได้รับการเผยแพร่ในวารสารใดมาก่อน หรือไม่อยู่ในระหว่างการพิจารณาตีพิมพ์ของวารสารอื่น การเขียนบทความต้นฉบับ ต้องตรงตามรูปแบบที่วารสารกำหนด บทความทุกบทความที่ตีพิมพ์ลงในวารสารฉบับนี้จะต้องผ่านการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 3 ท่าน จากหลากหลายสถาบัน ต่อหนึ่งบทความ (เกณฑ์ผ่านการพิจารณา 2 ใน 3) โดยวิธีการประเมินแบบ double – blinded กองบรรณาธิการขอสงวนสิทธิ์ในการแก้ไขต้นฉบับและการพิจารณาตีพิมพ์ตามลำดับก่อนหลัง</p> <p><em><strong>วัตถุประสงค์ของการจัดพิมพ์วารสาร</strong></em></p> <p> 1. เพื่อส่งเสริมและเผยแพร่ผลงานวิจัย และผลงานวิชาการทางด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพ สาธารณสุข และสาขาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง</p> <p> 2. เพื่อเป็นสื่อกลางในการนำเสนอและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นทางด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพ สาธารณสุข และสาขาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง</p> <p><em><strong>กำหนดการเผยแพร่</strong></em></p> <p style="text-align: justify;"> กำหนดการเผยแพร่ ปีละ 2 ฉบับ (ฉบับที่ 1 เดือนมกราคม – เดือนมิถุนายน, ฉบับที่ 2 เดือนกรกฎาคม – เดือนธันวาคม)</p> https://he04.tci-thaijo.org/index.php/JAHS/article/view/3283 ประสิทธิผลโปรแกรมส่งเสริมการจัดการความเครียดโดยประยุกต์ทฤษฎีการรับรู้ความสามารถของตนเองในนักศึกษาหลักสูตรสาธารณสุขศาสตรบัณฑิต ชั้นปีที่ 1 วิทยาลัยสหเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา 2025-07-15T17:11:18+07:00 เยาวนา วงษ์ไทยเจริญ year.mahidol@gmail.com ศรัณญา เบญจกุล sarunya.ben@mahidol.ac.th ศิริพร แสนตรี siriporn.sar@mahidol.ac.th <p>การวิจัยกึ่งทดลองนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสิทธิผลของโปรแกรมส่งเสริมการจัดการความเครียดโดยประยุกต์ทฤษฎีการรับรู้ความสามารถของตนเอง โดยมีตัวอย่างเป็นนักศึกษาหลักสูตรสาธารณสุขศาสตรบัณฑิต ชั้นปีที่ 1 วิทยาลัยสหเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา จำนวน 66 คน แบ่งเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มทดลอง และกลุ่มเปรียบเทียบ กลุ่มละ 33 คน กลุ่มทดลองได้รับโปรแกรมผสมผสานด้วยกิจกรรมในห้องเรียนและผ่านสื่อสังคมออนไลน์ เป็นระยะเวลา 8 สัปดาห์ ส่วนกลุ่มเปรียบเทียบได้รับการเรียนการสอนตามปกติ เก็บข้อมูลก่อน - หลังการทดลองในสัปดาห์ที่ 8 โดยใช้แบบสอบถามออนไลน์แบบกรอกด้วยตนเอง วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติ เชิงพรรณนา และสถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ Chi-square, Fisher's exact test, independent t-test, paired t-test, Wilcoxon signed ranks test และ Mann-Whitney U test ผลการศึกษาพบว่า ภายหลังจากการทดลอง กลุ่มทดลองมีความรู้เกี่ยวกับการจัดการความเครียด และพฤติกรรมการจัดการความเครียดแตกต่างจากก่อน การทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>p </em>&lt; 0.001 และ <em>p </em>= 0.050 ตามลำดับ) เมื่อเปรียบเทียบระหว่างกลุ่ม พบว่า ทั้ง 2 กลุ่ม มีความรู้เกี่ยวกับการจัดการความเครียดแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>p </em>= 0.013) รวมถึงมีคะแนนเฉลี่ยของการรับรู้ความสามารถของตนเองในการจัดการความเครียด ความคาดหวังในผลลัพธ์ของการจัดการความเครียด และความเครียด เปลี่ยนแปลงในทิศทางที่ดีขึ้นกว่าก่อนการทดลองในกลุ่มทดลอง และดีกว่ากลุ่มเปรียบเทียบ แต่ยังไม่พบความแตกต่างอย่างชัดเจนเมื่อทดสอบทางสถิติ (<em>p</em> &gt; 0.05) ดังนั้น โปรแกรมส่งเสริมการจัดการความเครียดนี้ จึงสามารถประยุกต์กับกลุ่มเป้าหมายที่มีบริบทคล้ายกับการวิจัยครั้งนี้ได้ โดยเฉพาะการจัดกิจกรรมให้ความรู้เกี่ยวกับการจัดการความเครียด และปรับเพิ่มความเข้มข้นของการจัดกิจกรรมเพิ่มการรับรู้ความสามารถตนเอง และความคาดหวังในผลลัพธ์ต่อการจัดการความเครียด</p> 2025-12-02T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา https://he04.tci-thaijo.org/index.php/JAHS/article/view/3298 การศึกษาแนวทางการเสริมสร้างสมาธิในเด็กสมาธิสั้น ด้วยกรรมวิธีการแพทย์แผนไทย 2025-07-15T17:12:49+07:00 จินตนา นันต๊ะ jintana.nan@crru.ac.th กนกวรรณ วงศ์แก้ว kanokwan.wongk@crru.ac.th วรรณพร สุริยะคุปต์ wannaporn.sur@crru.ac.th ชุนห์พิมาณ ณิชาเกษม chunpimarn.nich@crru.ac.th ศิริวรรณ เกตุเพชร ketpet63@gmail.com <p>การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยเอกสาร มีวัตถุประสงค์ คือ 1) เพื่อศึกษากรรมวิธีการแพทย์แผนไทยและการแพทย์พื้นบ้านล้านนาสำหรับการดูแลเด็กสมาธิสั้น และ 2) เพื่อพัฒนาแนวทางการดูแลเด็กที่เป็นโรคสมาธิสั้นด้วยกรรมวิธีการแพทย์แผนไทย โดยศึกษาจากเอกสารตำรา และงานวิจัยด้านการแพทย์แผนไทยและการแพทย์พื้นบ้านล้านนาที่เผยแพร่ในปัจจุบัน ผลการศึกษาพบว่าปัจจุบันยังไม่พบเอกสารตำราการแพทย์แผนไทยหรือคู่มือกรรมวิธีการแพทย์แผนไทยในการดูแลเด็กสมาธิสั้น พบเพียงการประยุกต์ใช้กรรมวิธีการแพทย์แผนไทย ประกอบไปด้วย กรรมวิธีการนวดไทย กรรมวิธีเภสัชกรรมไทย และกรรมวิธีการแพทย์พื้นบ้านล้านนาที่นำมาใช้มี 2 รูปแบบคือ กิจกรรมบำบัด และสมาธิบำบัด สำหรับการพัฒนาแนวทางการดูแลเด็กสมาธิสั้นด้วยกรรมวิธีการแพทย์แผนไทยโดยบูรณาการเทคนิควิธีการต่าง ๆ ได้แก่ กรรมวิธีหัตถเวช กรรมวิธีเภสัชเวช กรรมวิธีจิตเวช และกรรมวิธีโภชนเวช เข้ามาช่วยดูแล เยียวยา และประคับประคอง ดังนั้นจากแนวทางการศึกษานี้จะเห็นได้ว่าแพทย์แผนไทยสามารถพัฒนาองค์ความรู้และนำไปเป็นแนวทางในการปฏิบัติเพื่อดูแลเด็กสมาธิสั้นได้ทั้งในปัจจุบันและสามารถพัฒนาต่อยอดองค์ความรู้ต่อไปในอนาคตได้</p> 2025-12-02T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา https://he04.tci-thaijo.org/index.php/JAHS/article/view/3727 การพัฒนารูปแบบการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุระยะยาวโดยการมีส่วนร่วมของชุมชนเพื่อสุขภาวะที่ยั่งยืน: กรณีศึกษาจังหวัดสมุทรสงคราม 2025-10-02T16:47:40+07:00 อุทิศ ดวงผาสุข julonut@yahoo.com อำนาจ ทวีชื่น amnattha99@gmail.com จิรัฐติกาล สุตวณิชย์ jsuttawanit001@gmail.com สฤษฏ์ขัย ปรีดาวัลย์ saritchai@scphc.ac.th <p>วิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาสถานการณ์และความต้องการด้านสุขภาพของผู้สูงอายุในจังหวัดสมุทรสงคราม (2) ศึกษาความพร้อมของชุมชนในการรองรับสังคมผู้สูงอายุ (3) วิเคราะห์รูปแบบการดูแลสุขภาพที่มีอยู่ (4) พัฒนารูปแบบการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุโดยใช้ฐานชุมชน และ (5) ประเมินความเป็นไปได้ในการนำไปปฏิบัติจริง การวิจัยใช้ระเบียบวิธีแบบผสมผสาน (mixed methods research) แบ่งเป็น 3 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 ศึกษาสถานการณ์และข้อมูลพื้นฐานจากผู้สูงอายุ 397 คน และผู้เกี่ยวข้อง 110 คน ระยะที่ 2 พัฒนารูปแบบด้วยเทคนิคเดลฟาย (Delphi) จากผู้เชี่ยวชาญ 17 คน และระยะที่ 3 ประเมินความเป็นไปได้จากผู้บริหารท้องถิ่น ผู้นำชุมชน และเจ้าหน้าที่สาธารณสุข 110 คน ผลการวิจัยพบว่า ผู้สูงอายุในจังหวัดสมุทรสงครามมีสัดส่วนร้อยละ 27.3 สูงกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศ แม้ส่วนใหญ่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ แต่ยังประสบปัญหาความเหงา การเข้าถึงบริการสุขภาพ และภาวะทางจิตใจ ขณะเดียวกัน ชุมชนมีศักยภาพด้านการส่งเสริมสุขภาพและความสัมพันธ์ทางสังคม แต่ยังมีข้อจำกัดด้านสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และเทคโนโลยี การสังเคราะห์ข้อมูลและความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญนำไปสู่การพัฒนารูปแบบ “การดูแลสุขภาพผู้สูงอายุโดยการมีส่วนร่วมของชุมชน” ซึ่งประกอบด้วย 5 องค์ประกอบ ได้แก่ (1) กลไกการบริหารจัดการ (2) ระบบบริการตามกลุ่มศักยภาพ (3) การพัฒนาศักยภาพและเครือข่าย (4) การปรับสภาพแวดล้อม และ (5) ระบบสารสนเทศและการสื่อสาร ผลการประเมินพบว่าผู้เชี่ยวชาญมีความเห็นพ้องอยู่ในระดับสูงมาก (ค่าเฉลี่ย 4.40-4.64) และความเป็นไปได้ในการปฏิบัติอยู่ในระดับปานกลางถึงสูง (ค่าเฉลี่ย 3.66-4.06) แสดงให้เห็นว่ารูปแบบดังกล่าวมีความเหมาะสมและสามารถนำไปใช้ได้จริง โดยเน้นความร่วมมือทุกภาคส่วนเพื่อสร้างระบบการดูแลผู้สูงอายุที่ยั่งยืน</p> 2025-12-02T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา https://he04.tci-thaijo.org/index.php/JAHS/article/view/3622 ประสิทธิผลของการ์ดเกม “สูงวัยคิดคล่อง” ต่อพุทธิปัญญาของผู้สูงอายุ 2025-10-01T13:50:10+07:00 วัลลภา วาสนาสมปอง wallapa.w.1988@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสิทธิผลของการ์ดเกม “สูงวัยคิดคล่อง” ต่อพุทธิปัญญาของผู้สูงอายุ โดยใช้รูปแบบการทดลองแบบกลุ่มเดียววัดก่อนและหลังการทดลอง (one-group pretest-posttest design) กลุ่มตัวอย่างคือผู้สูงอายุ จำนวน 20 คน จากชมรมผู้สูงอายุตำบลบางนกแขวก จังหวัดสมุทรสงคราม ที่คัดเลือกด้วยวิธีการสุ่มแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูล คือแบบประเมินพุทธิปัญญา Montreal Cognitive Assessment (MoCA) และแบบประเมินความพึงพอใจ จัดกิจกรรมการเล่นการ์ดเกมสัปดาห์ละ 2 ครั้ง นาน 6 สัปดาห์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และใช้สถิติเชิงอนุมาน ได้แก่การทดสอบแบบไม่ใช้พารามิเตอร์ (Wilcoxon signed-rank test) ผลการวิจัยพบว่า ค่าเฉลี่ยคะแนนพุทธิปัญญาหลังทดลองใช้การ์ดเกม (ค่าเฉลี่ย = 26.55, SD = 2.417) สูงกว่าก่อนทดลองใช้การ์ดเกม (ค่าเฉลี่ย = 23.05, SD = 1.849) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ <em>p</em> &lt;.01 นอกจากนี้ผู้เข้าร่วมมีระดับความพึงพอใจต่อกิจกรรมอยู่ในระดับมาก (ค่าเฉลี่ย = 4.91) สะท้อนให้เห็นว่าการ์ดเกม “สูงวัยคิดคล่อง” มีประสิทธิผลในการส่งเสริมพุทธิปัญญา ช่วยสร้างความสนุกสนาน และสนับสนุนการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมระหว่างผู้สูงอายุและบุคคลรอบข้างได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p> 2025-12-02T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา https://he04.tci-thaijo.org/index.php/JAHS/article/view/3858 การศึกษาความรู้และพฤติกรรมการบริโภคอาหารดิบของประชาชนใน ตำบลบางจะเกร็ง จังหวัดสมุทรสงคราม 2025-10-27T16:23:32+07:00 รังสฤษฎ์ สุนัน prisna.pi@ssru.ac.th ดรุณี รอดมา prisna.pi@ssru.ac.th เบญจรัตน์ พึ่งธรรมจิตต์ prisna.pi@ssru.ac.th วิภารัตน์ ก้านสันเทียะ prisna.pi@ssru.ac.th พิจิตรา พิมพ์น้อย prisna.pi@ssru.ac.th วชิรญา พรรุ่งเรืองศรี prisna.pi@ssru.ac.th ปริศนา เพียรจริง prisna.pi@ssru.ac.th วิจิตรา ประสาทแก้ว wijittra.pr@ssru.ac.th <p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับความรู้และพฤติกรรมการบริโภคอาหารดิบของประชาชนในตำบลบางจะเกร็ง อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสงคราม เป็นการวิจัยเชิงพรรณนา (descriptive research) แบบภาคตัดขวาง กลุ่มตัวอย่างคือประชาชนอายุ 18 ปีขึ้นไป โดยสุ่มตัวอย่างด้วยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้นเป็นสัดส่วน โดยจำนวนกลุ่มตัวอย่าง 350 คน ที่อาศัยอยู่ในตำบลบางจะเกร็ง เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามเกี่ยวกับข้อมูลทั่วไป ความรู้ และพฤติกรรมการบริโภคอาหารดิบ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ การทดสอบความแตกต่าง (t-test และ ANOVA) ผลการศึกษาพบว่า ประชาชนส่วนใหญ่มีความรู้เกี่ยวกับการบริโภคอาหารดิบอยู่ในระดับต่ำโดยมีค่าคะแนนความรู้เฉลี่ย 8.44 ± 1.25 จากคะแนนเต็ม 15 คะแนน โดยข้อคำถามความรู้ที่ผู้ตอบแบบสอบถามผิดมากที่สุด ร้อยละ 77.71 คือ ข้อคำถาม การติดพยาธิตัวตืดและสามารถรักษาให้หายได้ รองลงมา คือ ข้อคำถามพยาธิใบไม้ในตับเกิดจากการบริโภคปลาซิว และปลาตะเพียนดิบ ตอบผิดร้อยละ 67.71 ผู้ตอบแบบสอบถามโดยส่วนใหญ่ยังขาดความเข้าใจในเรื่องของการบริโภคปลาน้ำจืดดิบ ซึ่งจะทำให้เสี่ยงต่อการติดพยาธิใบไม้ในตับ เมื่อศึกษาระดับพฤติกรรมการบริโภคอาหารดิบ พบว่าประชาชนร้อยละ 59.14 เคยบริโภคอาหารดิบ และเหตุผลที่ยังคงบริโภคดิบพบว่า ติดใจในรสชาติที่อร่อย (ร้อยละ 44.93) รองลงมา คือ การรับประทานตามสังคม/ครอบครัว เพื่อนฝูง (ร้อยละ 32.86) ตามสื่อสังคมออนไลน์ (ร้อยละ 14.00) และเหตุผลที่พบน้อยที่สุดคือการรับประทานเพราะความเคยชิน (ร้อยละ 8.21) พฤติกรรมการบริโภคอาหารดิบแยกตามวัตถุดิบอาหารพบว่า ผู้ที่ตอบแบบสอบถามไม่บริโภคเนื้อหมู/เนื้อวัวดิบ มีค่าระหว่างร้อยละ 85.99-90.82 โดยกลุ่มที่บริโภคร้อยละ 7.73-11.59 มีความถี่ในการบริโภค ปีละ 1-2 ครั้ง และน้อยที่สุดคือ ร้อยละ 0.48 ที่ตอบว่าบริโภคทุกวัน พฤติกรรมการบริโภคสัตว์น้ำจืดดิบ เช่น ปลา กุ้ง หอย และปู โดยส่วนใหญ่ร้อยละ 89.86 ไม่บริโภค และกลุ่มที่บริโภคสัตว์น้ำจืดดิบที่มีความถี่มากที่สุด คือ การบริโภคกุ้งเต้น โดยร้อยละ 19.32 บริโภค 1-2 ครั้ง/ปี ในขณะที่การบริโภคสัตว์น้ำจืดดิบมีความถี่ต่ำที่สุด คือ พฤติกรรมการบริโภคทุกวัน พฤติกรรมการบริโภคอาหารทะเลดิบ เช่น หอยดอง กุ้งทะเลดิบ หอยนางรม มีกลุ่มที่ไม่เคยบริโภคร้อยละ 72.46 โดยพบว่าร้อยละ 28.99 ของผู้ตอบแบบสอบถาม บริโภคหอยแมลงภู่ดองในความถี่ 1-2 ครั้ง/ปี ผลการวิจัยนี้แสดงให้เห็นว่า การบริโภคอาหารทะเลดิบ เช่น กุ้งทะเลดอง ปูทะเลดองและหอยดอง พบความถี่ในการบริโภคมากกว่าเนื้อดิบ และสัตว์น้ำจืดดิบ ผลการเปรียบเทียบปัจจัยด้านประชากรศาสตร์ต่อความรู้ในการบริโภคพบว่า เพศ อายุ ระดับการศึกษา อาชีพ และศาสนา ที่แตกต่างกัน มีผลต่อความรู้ที่แตกต่างกัน ผลการศึกษานี้แสดงให้เห็นถึงความจำเป็นในการให้ความรู้และรณรงค์ลดการบริโภคอาหารดิบในชุมชน เพื่อป้องกันโรคติดเชื้อจากอาหาร เช่น โรคหูดับ โรคพยาธิใบไม้ในตับ และโรคทางเดินอาหารอื่น ๆ</p> 2025-12-02T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา https://he04.tci-thaijo.org/index.php/JAHS/article/view/3575 ผลของรังสีก่อไอออนต่อการทำงานของเซลล์ 2025-10-01T13:41:48+07:00 ชวลิต โยงรัมย์ chawalit.y@oap.go.th ณัฎฐกานต์ ชาราชิต nattakan.c@rumail.ru.ac.th ฐิติทิพย์ ทิพยมนตรี Thititip.t@chula.ac.th เฉลิมสิน เพิ่มเติมสิน chalermsin.p@oap.go.th <p>รังสีก่อไอออน (ionizing radiation) เป็นพลังงานในรูปแบบของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าหรืออนุภาคที่มีความสามารถในการทำให้ตัวกลางที่เคลื่อนที่ผ่านเกิดการแตกตัวออกเป็นไอออน ซึ่งประกอบด้วย รังสีเอกซ์ <br />(X-rays) รังสีแกมมา (gamma rays) และอนุภาคต่าง ๆ เช่น อนุภาคบีตา (beta particle) และ อนุภาคแอลฟา (alpha particle) โดยบุคคลสามารถได้รับรังสีจากธรรมชาติ รังสีจากการทำงาน และรังสีจากการวินิจฉัย หรือรักษาทางการแพทย์ ซึ่งรังสีเหล่านี้สามารถทำให้สายดีเอ็นเอ (DNA) เกิดการแตกหักได้ทั้งทางตรงและทางอ้อม การที่รังสีก่อไอออนสามารถทำลายดีเอ็นเอได้ ส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อโครงสร้างของดีเอ็นเอ เช่น การแตกหักของดีเอ็นเอสายคู่ (DNA double-strand breaks) ซึ่งเป็นความเสียหายรุนแรงที่สุดและอาจนำไปสู่ความผิดปกติของจีโนม เช่น การกลายพันธุ์ ความผิดปกติของโครโมโซม และการเกิดความผิดปกติของเซลล์ ซึ่งถ้าหากดีเอ็นเอไม่ได้รับการซ่อมแซมหรือซ่อมแซมผิดพลาดอาจเป็นสาเหตุของโรคมะเร็งในระยะยาว นอกจากนี้ รังสีก่อไอออนยังส่งผลต่อโครงสร้างและหน้าที่ของออร์แกเนลล์ภายในเซลล์ เช่น เยื่อหุ้มเซลล์ ไมโทคอนเดรีย กอลจิคอมเพลกซ์ เอนโดพลาสมิกเรติคูลัม ไลโซโซม และนิวเคลียส ซึ่งอาจทำให้กระบวนการทำงานของเซลล์ผิดปกติ ส่งผลต่อระบบต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น ระบบทางเดินหายใจ ระบบประสาท ระบบสร้างเม็ดเลือด ระบบทางเดินอาหาร และผิวหนัง เป็นต้น การได้รับรังสีในปริมาณสูงหรือเป็นเวลานานสามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง รวมทั้งลดความสามารถในการตอบสนองต่อภาวะเครียดของร่างกาย และอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพในระยะยาวที่อาจยังไม่มีอาการชัดเจนในช่วงแรก แต่จะปรากฏขึ้นเมื่อเวลาผ่านไปหลายปีหลังจากการได้รับรังสี ดังนั้นการป้องกันอันตรายจากรังสีของผู้ที่ทำงานในสภาพแวดล้อมที่มีความเสี่ยงควรปฏิบัติตามหลักความปลอดภัยของการใช้รังสี โดยเป็นไปตามข้อกำหนดของคณะกรรมาธิการระหว่างประเทศว่าด้วยการป้องกันรังสี (International Commission on Radiological Protection: ICRP) และแนวทาง As Low As Reasonably Achievable (ALARA) ซึ่งเน้นให้ลดการได้รับรังสีให้อยู่ในระดับต่ำที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ โดยไม่กระทบต่อภารกิจหรือภาระงาน เพื่อความปลอดภัยและสุขภาพของผู้ปฏิบัติงานและประชาชนที่อาศัยอยู่ในบริเวณใกล้เคียง</p> 2025-12-02T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา