วารสารสหเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา
https://he04.tci-thaijo.org/index.php/JAHS
<p style="text-align: justify;"> วารสารสหเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา ISSN (Online): 2730 – 1907ยินดีรับบทความวิจัยและวิชาการทางด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพ สาธารณสุข และสาขาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยบทความที่ส่งมาเพื่อพิจารณาตีพิมพ์จะต้องไม่เป็นผลงานวิจัย/วิชาการที่เคยได้รับการเผยแพร่ในวารสารใดมาก่อน หรือไม่อยู่ในระหว่างการพิจารณาตีพิมพ์ของวารสารอื่น การเขียนบทความต้นฉบับ ต้องตรงตามรูปแบบที่วารสารกำหนด บทความทุกบทความที่ตีพิมพ์ลงในวารสารฉบับนี้จะต้องผ่านการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 3 ท่าน ต่อหนึ่งบทความ (เกณฑ์ผ่านการพิจารณา 2 ใน 3) โดยวิธีการประเมินแบบ double – blinded กองบรรณาธิการขอสงวนสิทธิ์ในการแก้ไขต้นฉบับและการพิจารณาตีพิมพ์ตามลำดับก่อนหลัง</p> <p><em><strong>วัตถุประสงค์ของการจัดพิมพ์วารสาร</strong></em></p> <p> 1. เพื่อส่งเสริมและเผยแพร่ผลงานวิจัย และผลงานวิชาการทางด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพ สาธารณสุข และสาขาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง</p> <p> 2. เพื่อเป็นสื่อกลางในการนำเสนอและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นทางด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพ สาธารณสุข และสาขาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง</p> <p><em><strong>กำหนดการเผยแพร่</strong></em></p> <p style="text-align: justify;"> กำหนดการเผยแพร่ ปีละ 2 ฉบับ (ฉบับที่ 1 เดือนมกราคม – เดือนมิถุนายน, ฉบับที่ 2 เดือนกรกฎาคม – เดือนธันวาคม)</p>
th-TH
วารสารสหเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา
2539-6749
-
ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อพฤติกรรมการดูแลตนเองในการป้องกันภาวะคลอดก่อนกำหนดของหญิงตั้งครรภ์ในเขตตำบลโนนก่อ อำเภอสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี
https://he04.tci-thaijo.org/index.php/JAHS/article/view/744
<p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงพรรณนาภาคตัดขวาง เพื่อศึกษาพฤติกรรมการดูแลตนเองในการป้องกันภาวะคลอดก่อนกำหนด และปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการดูแลตนเองในการป้องกันภาวะคลอดก่อนกำหนดของหญิงตั้งครรภ์ในเขตตำบลโนนก่อ อำเภอสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี กลุ่มตัวอย่างจำนวน 32 คน และมีอายุครรภ์ตั้งแต่ 16-24 สัปดาห์ เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา และวิเคราะห์ความสัมพันธ์ด้วยสถิติสหสัมพันธ์สเปียร์แมน ผลจากการศึกษา พบว่า กลุ่มตัวอย่างมีอายุเฉลี่ย 26.75 ปี (S.D.=7.73) ระดับการศึกษาสูงสุดมัธยมศึกษา ร้อยละ 75.00 อาชีพรับจ้าง ร้อยละ 59.38 มัธยฐานเวลาทำงาน 4 ชั่วโมงต่อวัน ฐานของรายได้ 10,000 บาท รายได้พอใช้จ่ายในครอบครัว ร้อยละ 62.50 การอยู่อาศัยส่วนใหญ่อยู่กับสามีและสมาชิกครอบครัวของตนเอง ร้อยละ 37.50 กิจวัตรประจำวันลดลง ร้อยละ 50.00 และการทำงานเหมือนเดิมเทียบกับก่อนตั้งครรภ์ ร้อยละ 65.63 พฤติกรรมการดูแลตนเองส่วนใหญ่อยู่ในระดับดี ร้อยละ 62.50 นอกจากนี้ อายุ และการสนับสนุนทางสังคม มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการดูแลตนเองในการป้องกันภาวะคลอดก่อนกำหนดของหญิงตั้งครรภ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ดังนั้นจึงควรส่งเสริมนโยบายในการเตรียมความพร้อมในการมีบุตรเมื่อถึงวัยอันสมควร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรมีการสนับสนุน ส่งเสริมหญิงตั้งครรภ์ ในด้านต่าง ๆ อาทิ การฝากครรภ์อย่างมีคุณภาพ รวมถึงสนับสนุนปัจจัยในการดูแลสุขภาพครรภ์จนถึงการคลอดอย่างปลอดภัย</p>
นภาพร ห่วงสุขสกุล
วุฒิฌาน ห้วยทราย
จินดา คำแก้ว
สิริสุดา วงษ์ใหญ่
กิตติยา ศรีมาฤทธิ์
ปิยาอร จวนชัยภูมิ
อุทุมพร ลาธลี
Copyright (c) 2024 วารสารสหเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา
2024-06-28
2024-06-28
9 1
1
14
-
ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการตระหนักรู้ถึงความปลอดภัยทางถนน ของพนักงานขับรถพยาบาลในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
https://he04.tci-thaijo.org/index.php/JAHS/article/view/822
<p>การตระหนักรู้ถึงความปลอดภัยทางถนนเป็นส่วนหนึ่งของภาวะทางจิตใจที่เกี่ยวข้องกับความรู้สึก ผู้ขับรถต้องมีความรู้และประสบการณ์ นำมาซึ่งความต้องการให้เกิดความปลอดภัยทางถนนทั้งต่อตนเอง และผู้ร่วมใช้รถใช้ถนน รูปแบบการวิจัยเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวาง มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินระดับ การตระหนักรู้ถึงความปลอดภัยทางถนนของพนักงานขับรถพยาบาล และศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับระดับการตระหนักรู้ กลุ่มตัวอย่าง คือ พนักงานขับรถพยาบาล สังกัดกระทรวงสาธารณสุขในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา จำนวน 82 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลเชิงพรรณนา ด้วยค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน วิเคราะห์ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับระดับการตระหนักรู้ด้วยการทดสอบ Fisher’s exact ที่ระดับนัยสำคัญ .05 ผลการศึกษา พบว่า พนักงานขับรถพยาบาลทั้งหมดเป็นเพศชาย มีอายุเฉลี่ย 41 ปี มีการศึกษาอยู่ในระดับมัธยมศึกษา ผ่านการอบรมหลักสูตรพนักงานขับรถบริการการแพทย์ และเลือกใช้เส้นทางที่ใช้เวลาสั้นที่สุดในการนำส่งผู้ป่วย ระดับความรู้เกี่ยวกับการขับรถพยาบาลอย่างปลอดภัยอยู่ในระดับสูง (= 19.6, S.D. = 1.7) มีระดับความตระหนักรู้ถึงความปลอดภัยทางถนนอยู่ในระดับสูง (= 80.0, S.D. = 8.66) โดยพบว่า ระดับการศึกษา (<em>p</em> = 0.046) ระดับความรู้เกี่ยวกับการขับรถพยาบาลอย่างปลอดภัย (<em>p</em> = 0.000) การตรวจสอบสภาพความพร้อมใช้งานของรถพยาบาล (<em>p</em> = 0.043) เป็นปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ ต่อระดับการตระหนักรู้ถึงความปลอดภัยทางถนนของพนักงานขับรถพยาบาล ข้อมูลที่ได้จากงานวิจัยครั้งนี้ จะเป็นประโยชน์ ในการนำไปใช้ออกแบบแผนการให้ความรู้ และส่งเสริมทักษะต่าง ๆ รวมถึงแนวปฏิบัติ เพื่อความปลอดภัยทางถนน ที่เหมาะสมกับพนักงานขับรถพยาบาล ซึ่งเป็นอีกช่องทางในการสร้างความตระหนักรู้ถึงความปลอดภัยทางถนน ที่สามารถช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุทางถนนได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p>
ธัญลักษณ์ พลสงฆ์
ลักษณา เหล่าเกียรติ
Copyright (c) 2024 วารสารสหเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา
2024-06-28
2024-06-28
9 1
15
30
-
ประสิทธิผลของน้ำมันเหลืองวิสาหกิจชุมชนธำรงกาญจน์ นวดบรรเทาอาการปวดกล้ามเนื้อคอ บ่า ไหล่
https://he04.tci-thaijo.org/index.php/JAHS/article/view/745
<p>การวิจัยนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง เพื่อศึกษาประสิทธิผลของน้ำมันเหลืองวิสาหกิจชุมชนธำรงกาญจน์ บรรเทาอาการปวดกล้ามเนื้อคอ บ่า ไหล่ คำนวณขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้หลัก Power Analysis เลือกกลุ่มตัวอย่างแบบจำเพาะเจาะจง ตามเกณฑ์การคัดเข้า-การคัดออกที่กำหนด กลุ่มตัวอย่างคืออาสาสมัคร ในเขตตำบลหัวสำโรง อำเภอแปลงยาว จังหวัดฉะเชิงเทรา จำนวน 150 คน แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ๆ ละ 50 คน เท่า ๆ กัน ได้แก่ กลุ่มการนวดไทย กลุ่มนวดน้ำมันเหลืองวิสาหกิจชุมชนธำรงกาญจน์ และกลุ่มนวดน้ำมันเหลืองวิสาหกิจชุมชนธำรงค์กาญจน์ร่วมกับการนวดไทย วิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน) วิเคราะห์เปรียบเทียบความสัมพันธ์ด้วยค่า Paired – Samples t tests<sup> </sup>และสถิติ One way ANOVA ผลการวิจัยพบว่าระดับความรู้สึกปวดกล้ามเนื้อคอ บ่า ไหล่ ของอาสาสมัครก่อนและหลังได้รับการบำบัด มีดังนี้ ค่าเฉลี่ยระดับความรู้สึกปวดของกลุ่มการนวดไทย ลดลงจาก 5.84±1.67 เป็น 2.34±1.62 กลุ่มการนวดน้ำมันเหลือง ลดลงจาก 5.86±1.44 เป็น 4.36±2.00 และกลุ่มการนวดน้ำมันเหลืองร่วมกับการนวดไทย ลดลงจาก 5.76±1.73 เป็น 1.86±1.44 ซึ่งในแต่ละกลุ่มก่อนและหลังได้รับการบำบัด มีค่าเฉลี่ยระดับความรู้สึกปวดแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 และเมื่อเปรียบเทียบระหว่างกลุ่มพบว่าการนวดน้ำมันเหลืองร่วมกับการนวดไทย มีค่าเฉลี่ยระดับความรู้สึกปวดลดลงมากที่สุด ( = 1.86) รองลงมาคือ การนวดไทย ( = 2.34) และการนวดน้ำมันเหลือง ( = 4.36) ตามลำดับ นอกจากนี้เมื่อประเมินจากการคลำกล้ามเนื้อบริเวณจุดเจ็บ บริเวณคอ บ่า ไหล่ ในแต่ละกลุ่มหลังจากการบำบัด พบว่ากล้ามเนื้อคลายตัว คิดเป็นร้อยละ 100 โดยที่ผลการวิจัยสามารถนำการนวดน้ำมันเหลือง การนวดไทยหรือการนวดน้ำมันเหลืองร่วมกับการนวดไทย เป็นทางเลือกในการบำบัดอาการปวดกล้ามเนื้อคอ บ่า ไหล่ ให้กับประชาชนในชุมชน</p>
ณัฐวรรณ วรพิสุทธิวงศ์
ณัฐสรัลพร ศิริสกุลสังขกร
ธนวัฒน์ สังข์นุ้ย
สุริยทิพย์ ประยูรพัฒน์
Copyright (c) 2024 วารสารสหเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา
2024-06-28
2024-06-28
9 1
31
48
-
พฤกษเคมีวิเคราะห์และฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสารสกัดเมทานอลจากใบส่องฟ้า
https://he04.tci-thaijo.org/index.php/JAHS/article/view/807
<p>ส่องฟ้า (<em>Clausena harmandiana</em>) เป็นพืชที่พบกระจายในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงประเทศไทย สรรพคุณทางแพทย์แผนไทยนำมาใช้ในการรักษาโรคทางเดินอาหาร อาการปวดตา อาการปวดศีรษะ และบำรุงสุขภาพ ฤทธิ์ดังกล่าวเกี่ยวเนื่องกับชนิดและปริมาณของสารพฤกษเคมีที่พบในต้นส่องฟ้า ดังนั้นงานวิจัยครั้งนี้จึงทำการวิเคราะห์ชนิดและปริมาณของสารพฤกษเคมีด้วยเทคนิค HPLC และ GC-MS รวมถึงวิเคราะห์ปริมาณฟีนอลิกรวม (TPC) และฟลาโวนอยด์รวม (TFC) ต่อการออกฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ โดยใช้อนุมูลอิสระชนิด DPPH และ ABTS ร่วมกับการทดสอบความสามารถในการรีดิวซ์ Ferric ion ด้วยวิธี FRAP จากผลการวิเคราะห์เป็นที่น่าสนใจว่าใบส่องฟ้าพบปริมาณของ TPC (196.29±3.64 mg GAE/g extract) และ TFC (129.93±1.92 mg QE/g extract) ในปริมาณสูง เมื่อวิเคราะห์ชนิดและปริมาณของสารฟีนอลิกและฟลาโวนอยด์ จำนวน 12 ชนิดด้วยเทคนิค HPLC พบปริมาณสารตั้งแต่ 62.49 ถึง 1202.99 µg/g extract โดยมีปริมาณของสาร Protocatechuic acid สูงที่สุด อย่างมีนัยสำคัญ (<em>P</em><0.05) และผลการวิเคราะห์ด้วยเทคนิค GC-MS พบสารที่สามารถระบุชนิดได้ทั้งหมด 31 สาร และไม่สามารถระบุได้ 5 สาร โดยมีร้อยละของพื้นที่พีค (% peak area) รวมเท่ากับ 96.17 เมื่อทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH และ ABTS พบว่าสารสกัดเมทานอลใบส่องฟ้ามีค่า IC<strong><sub>50</sub> </strong>เท่ากับ 490.52±2.62 และ 162.00±1.40 µg/mL ตามลำดับ และเมื่อเทียบกับ Trolox พบว่าสารสกัดเมทานอลใบส่องฟ้ามีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระต่ำกว่า Trolox อย่างมีนัยสำคัญ (<em>P</em><0.05) เช่นเดียวกับผลการรีดิวซ์ Ferric ion โดยค่า FRAP เท่ากับ 88.36±4.30 mmole Fe<sup>2+</sup>/100 g extract ซึ่งต่ำกว่า Trolox (3005.16±211.88 Fe<sup>2+</sup>/100 g extract) อย่างมีนัยสำคัญ (<em>P</em><0.05) แต่อย่างไรก็ตามผลจากการวิเคราะห์ชนิดและปริมาณสารพฤกษเคมีด้วยวิธี HPLC และ GC-MS พบสารหลายชนิดที่มีรายงาน<br />ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ดังนั้นสารสกัดเมทานอลใบส่องฟ้าน่าจะเป็นอีกทางเลือกจากธรรมชาติที่มีศักยภาพในการออกฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระหรือฤทธิ์ทางชีวภาพอื่น ๆ</p>
ชวลิต โยงรัมย์
รัชยาพร อโนราช
ปัญญดา ปัญญาทิพย์
สุธิดา ดาถ่ำ
พิมลวรรณ ศิริปรุ
เบญจมาศ บั้งทอง
จุฑามาศ รถา
เพลินทิพย์ ภูทองกิ่ง
Copyright (c) 2024 วารสารสหเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา
2024-06-28
2024-06-28
9 1
49
69
-
การพัฒนาเครือข่ายและสร้างการมีส่วนร่วมภาคประชาชนในการช่วยลด ละ เลิกบุหรี่กลุ่มผู้สูบบุหรี่ และศึกษาประสิทธิผลของการนวดไทยในการลดความเครียดของผู้เลิกบุหรี่ที่มารับบริการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านชวน อำเภอบำเหน็จณรงค์ จังหวัดชัยภูมิ
https://he04.tci-thaijo.org/index.php/JAHS/article/view/1134
<p>การวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi-Experimental Designs) นี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการพัฒนาเครือข่ายและสร้างการมีส่วนร่วมภาคประชาชนในการช่วยลด ละ เลิกบุหรี่กลุ่มผู้สูบบุหรี่ และ ศึกษาประสิทธิผลของ<br />การนวดไทยในการลดความเครียดของผู้ที่มารับบริการคลินิกอดบุหรี่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านชวน อำเภอบำเหน็จณรงค์ จังหวัดชัยภูมิ ที่มีอายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป และมีคุณสมบัติผ่านตามเกณฑ์ที่กำหนด จำนวน 60 คน แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มทดลอง จำนวน 30 คน และกลุ่มควบคุม จำนวน 30 คน การสุ่มเข้ากลุ่มใช้วิธีการสุ่มแบบง่ายโดยการจับฉลาก (Simple Random Sampling) กลุ่มทดลองจะได้รับโปรแกรมการเลิกบุหรี่ร่วมกับการนวดแผนไทย กลุ่มควบคุมจะได้รับโปรแกรมเลิกบุหรี่ ประเมินผลความแปรปรวนอัตราการเต้นของหัวใจด้วยเครื่อง Heart Rate Variability (HRV) ทั้งก่อนและหลังการทดลองในทั้งสองกลุ่มเพื่อนำมาเปรียบเทียบผล 4 สัปดาห์ จากผลการศึกษาพบว่า อาสาสมัครเป็นเพศชายทั้งหมด คิดเป็นร้อยละ 100 แรงจูงใจที่ทำให้ตัดสินใจเลิกบุหรี่ส่วนใหญ่จากการได้รับข้อมูลข่าวสารการจัดบริการคลินิกเลิกบุหรี่ของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านชวน คิดเป็นร้อยละ 60 และผลการศึกษาแสดงการเปรียบเทียบค่าเฉลี่ย Heart rate variability โดยศึกษา Time Domain Analysis คือ SDNN, RMS-SD โดยการเปรียบเทียบภายในกลุ่มของกลุ่มทดลอง และกลุ่มควบคุม การวัดก่อนและหลังทดลองในสัปดาห์ที่ 4 พบว่า ค่า SDNN และ RMS-SD ในกลุ่มทดลอง มีค่าเพิ่มขึ้นแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<.05) และเมื่อเปรียบเทียบระหว่างกลุ่ม พบว่า ค่า SDNN และ RMS-SD มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<.05) ทำให้การทำงานของระบบประสาทพาราซิมพาเธติกเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ผู้ที่มีภาวะความเครียดมีความเครียดลดลงได้ และทำให้ตัวแปรที่สัมพันธ์กับภาวะความเครียดลดลง มีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นในผู้ที่เลิกบุหรี่ในคลินิกอดบุหรี่</p>
ชุติมา เลิศอาวุธ
พงศ์มาดา ดามาพงษ์
พีรดา ดามาพงษ์
จุฑารัตน์ เสรีวัตร
เยาวนา วงษ์ไทยเจริญ
Copyright (c) 2024 Journal of Allied Health Sciences Suan Sunandha Rajabhat University
2024-06-28
2024-06-28
9 1
70
80
-
โปรแกรมการพัฒนาการเกษตรครัวเรือนและชุมชนเพื่อสร้างเสริมสุขภาวะ และพฤติกรรมการบริโภคผักปลอดสารพิษในครัวเรือน ตำบลน้ำคำ อำเภอเมืองศรีสะเกษ จังหวัดศรีสะเกษ
https://he04.tci-thaijo.org/index.php/JAHS/article/view/990
<p>การวิจัยในครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบกึ่งทดลอง (Quasi experimental Research) วัตถุประสงค์ในการวิจัยเพื่อศึกษาสภาพปัญหาการใช้สารเคมีในการเกษตรครัวเรือนและชุมชน และสถานการณ์ในด้านพฤติกรรม<br />การบริโภคผักในครัวเรือน และศึกษาโปรแกรมการพัฒนาการเกษตรครัวเรือนและชุมชนเพื่อสร้างเสริมสุขภาวะและพฤติกรรมการบริโภคผักปลอดสารพิษในครัวเรือน ตำบลน้ำคำ อำเภอเมือง จังหวัดศรีสะเกษ โดยการเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive Sampling) จำนวน 84 คนโดยการคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างตามเกณฑ์คัดเข้าและตามเกณฑ์คัดออก ซึ่งใช้แบบแผนการวิจัยทำการศึกษาแบบเปรียบเทียบภายในกลุ่มก่อนทดลองและหลังการทดลอง (One Group Pretest Posttest Design) โดยมีระยะเวลาศึกษา 3 เดือน (12 สัปดาห์) 5 กิจกรรมเก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามและกิจกรรมประกอบด้วยอบรมให้ความรู้ ทัศนคติ และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการบริโภค และฝึกทักษะการปลูกผักปลอดสารพิษ และผักอินทรีย์ในครัวเรือนสำหรับการบริโภคจัดตั้งแกนนำเครือข่ายเกษตรปลอดภัยในครัวเรือนการสร้างการมีส่วนร่วมในชุมชนในการพัฒนาการเกษตรครัวเรือน ใช้สถิติพรรณนานำเสนอในรูปของตารางแจกแจงความถี่ ข้อมูลแจกแจงเป็นปกติ นำเสนอด้วยค่าสถิติความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และแปลผลเป็นค่าคะแนน การเปรียบค่าคะแนนเฉลี่ยความแตกต่าง<br />ก่อนการทดลองและหลังการทดลองภายในกลุ่มทดลอง โดยใช้สถิติ Paired Samples t-Test กำหนดนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.5 และค่าความเชื่อมั่นที่ 95% ผลการวิจัย พบว่าหลังการพัฒนาการทดลองใช้โปรแกรม<br />การพัฒนาการเกษตรครัวเรือนและชุมชนเพื่อสร้างเสริมสุขภาวะและพฤติกรรมการบริโภคผักปลอดสารพิษในครัวเรือน ตำบลน้ำคำ อำเภอเมืองจังหวัดศรีสะเกษความรู้ทัศนคติ และพฤติกรรมการมีส่วนร่วมในการดำเนินการพัฒนาศักยภาพครัวเรือนในการทำเกษตรปลอดสารพิษในครัวเรือน ดีกว่าก่อนการพัฒนาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p <0.05) สรุปผลการศึกษาของ พบว่า โปรแกรมการพัฒนาเป็นปัจจัยสำเร็จในการพัฒนาการเกษตรครัวเรือนและชุมชนเพื่อสร้างเสริมสุขภาวะและพฤติกรรมการบริโภคผักปลอดสารพิษในครัวเรือน เพื่อก่อให้เกิดการดำเนินการอย่างมีประสิทธิผล และประสิทธิภาพ และพัฒนาเป็นต้นแบบครัวเรือน ปลูกผักปลอดสารพิษ รวมถึงการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคผัก และฝึกทักษะการปลูกผักปลอดสารพิษ และผักอินทรีย์<br />ในครัวเรือนสำหรับการบริโภค สร้างการมีส่วนร่วมของครัวเรือนในชุมชน นำไปสู่การพัฒนาศักยภาพแกนนำครัวเรือน เกิดกลไกลสนับสนุนการบริโภคผักปลอดสารพิษและปลูกผักปลอดสารพิษ และให้คำแนะนำระดับชุมชนแบบมีส่วนร่วมและยั่งยืน</p>
ธนะพัฒน์ ทักษิณทร์
ณัฏฐิยา เกื้อทาน
วิพา ชุปวา
สุรชาติ กองสังข์
สุรีย์วรรณ สีลาดเลา
Copyright (c) 2024 วารสารสหเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา
2024-06-28
2024-06-28
9 1
81
95