วารสารสหเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา https://he04.tci-thaijo.org/index.php/JAHS <p style="text-align: justify;"> วารสารสหเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา ISSN (Online): 2730 – 1907ยินดีรับบทความวิจัยและวิชาการทางด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพ สาธารณสุข และสาขาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยบทความที่ส่งมาเพื่อพิจารณาตีพิมพ์จะต้องไม่เป็นผลงานวิจัย/วิชาการที่เคยได้รับการเผยแพร่ในวารสารใดมาก่อน หรือไม่อยู่ในระหว่างการพิจารณาตีพิมพ์ของวารสารอื่น การเขียนบทความต้นฉบับ ต้องตรงตามรูปแบบที่วารสารกำหนด บทความทุกบทความที่ตีพิมพ์ลงในวารสารฉบับนี้จะต้องผ่านการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 3 ท่าน จากหลากหลายสถาบัน ต่อหนึ่งบทความ (เกณฑ์ผ่านการพิจารณา 2 ใน 3) โดยวิธีการประเมินแบบ double – blinded กองบรรณาธิการขอสงวนสิทธิ์ในการแก้ไขต้นฉบับและการพิจารณาตีพิมพ์ตามลำดับก่อนหลัง</p> <p><em><strong>วัตถุประสงค์ของการจัดพิมพ์วารสาร</strong></em></p> <p> 1. เพื่อส่งเสริมและเผยแพร่ผลงานวิจัย และผลงานวิชาการทางด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพ สาธารณสุข และสาขาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง</p> <p> 2. เพื่อเป็นสื่อกลางในการนำเสนอและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นทางด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพ สาธารณสุข และสาขาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง</p> <p><em><strong>กำหนดการเผยแพร่</strong></em></p> <p style="text-align: justify;"> กำหนดการเผยแพร่ ปีละ 2 ฉบับ (ฉบับที่ 1 เดือนมกราคม – เดือนมิถุนายน, ฉบับที่ 2 เดือนกรกฎาคม – เดือนธันวาคม)</p> th-TH ahs.ssru.journal@gmail.com (รศ.ดร.สมเดช รุ่งศรีสวัสดิ์ (บรรณาธิการ)) lanita.pa@ssru.ac.th (นางสาวลนิตา ภาวนานนท์) Wed, 18 Jun 2025 16:17:02 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 ปัจจัยจากการทำงานที่สัมพันธ์กับการเกิดโรคกระดูกและกล้ามเนื้อในกลุ่มผู้สูงอายุ เขตพื้นที่เทศบาลตำบลปากน้ำ อำเภอบางคล้า จังหวัดฉะเชิงเทรา https://he04.tci-thaijo.org/index.php/JAHS/article/view/2133 <p>โรคกระดูกและกล้ามเนื้อในผู้สูงอายุมีสาเหตุหลักมาจากการใช้งานร่างกายอย่างหนักและการทำงานที่ผิดวิธีมาตั้งแต่ในช่วงวัยทำงาน การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อหาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยจากการทำงานและการเกิดโรคกระดูกและกล้ามเนื้อเรื้อรังในผู้สูงอายุ โดยทำการสุ่มผู้สูงอายุที่มีปัญหาด้านกระดูกและกล้ามเนื้อเข้าโครงการตามความสมัครใจจำนวน 50 คน ในเขตพื้นที่เทศบาลตำบลปากน้ำ อำเภอบางคล้า จังหวัดฉะเชิงเทรา ผลการศึกษาพบว่าผู้สูงอายุส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ร้อยละ 74 และเพศชาย ร้อยละ 26 มีอายุเฉลี่ย 70.8 ปี ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม ร้อยละ 50 และมีอาการปวดเมื่อยทางกระดูกและกล้ามเนื้อส่วนมากอยู่ในช่วง 4-6 วัน/สัปดาห์ โดยตำแหน่งที่มีอาการปวดพบบ่อยที่สุด ได้แก่ บริเวณข้อเข่าและหลังส่วนล่าง จากการสอบถามข้อมูลการทำงานในอดีต พบว่า ร้อยละ 54 ของกลุ่มตัวอย่างประกอบอาชีพเกษตรกรรม ระยะเวลาในการทำงานเฉลี่ย 7 วันต่อสัปดาห์ ชั่วโมงในการทำงานเฉลี่ย 8 ชั่วโมงต่อวัน โดยจากการวิเคราะห์ปัจจัยจากลักษณะการทำงานในอดีตพบว่า การปวดบริเวณข้อเข่ามีความสัมพันธ์กับการนั่งยอง ๆ หรือมีท่าที่ต้องนั่งยอง ๆ ในการทำงาน (r = 0.400, <em>p</em> &lt; 0.01) ส่วนอาการปวดหลังส่วนล่างสัมพันธ์กับลักษณะการยืนทำงานที่มีการยืนมากกว่าครึ่งหนึ่งของการยืนทำงานทั้งหมด (r = 0.338, <em>p</em> &lt; 0.05) สัมพันธ์กับการทำงานที่มีการลงน้ำหนักตัวไปข้างใดข้างหนึ่ง (r = 0.528, <em>p </em>&lt; 0.01) และสัมพันธ์กับการทำงานที่มีการยก<br />ของหนัก (r = 0.329, <em>p </em>&lt;0.05) ถึงแม้อาการทางด้านกระดูกและกล้ามเนื้อ ในผู้สูงอายุอาจเกิดจากหลายปัจจัย แต่จะเห็นได้ว่าลักษณะงานในอดีตก็มีส่วนสัมพันธ์กับการเกิดอาการทางด้านกระดูกและกล้ามเนื้อในกลุ่มผู้สูงอายุด้วยเช่นกัน</p> พรรัมภา กาญจนสิงห์, ชาญชัย สุขคุ้ม, รังสรรค์ ม่วงโสรส, ศักดิ์ชัย หงษ์ทอง, ทิตยา งามแสง Copyright (c) 2024 วารสารสหเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา https://he04.tci-thaijo.org/index.php/JAHS/article/view/2133 Wed, 18 Jun 2025 00:00:00 +0700 การศึกษารูปแบบการให้บริการการปรุงยาเฉพาะรายในตำรับ ยาแผนไทยที่มีกัญชาปรุงผสมในคลินิกกัญชาทางการแพทย์แผนไทย https://he04.tci-thaijo.org/index.php/JAHS/article/view/2413 <p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสถานการณ์การให้บริการการปรุงยาเฉพาะรายในตำรับยาแผนไทยที่มีส่วนผสมของกัญชาในคลินิกกัญชาทางการแพทย์แผนไทย โดยมีการรวบรวมข้อมูล ค้นคว้าเอกสาร ตำรา บทความทางวิชาการ งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การสังเกตการให้บริการ (observation) และการสัมภาษณ์แบบเชิงลึก (in-depth interview) จากบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับคลินิกกัญชาทางการแพทย์แผนไทยทั้งภาครัฐและเอกชน จำนวน 16 คน เพื่อเก็บรวบรวมข้อมูล โดยการนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า การให้บริการการปรุงยาเฉพาะรายในตำรับยาแผนไทยที่มีส่วนผสมของกัญชาในหน่วยบริการภาครัฐ ขึ้นอยู่กับนโยบายของผู้บริหารแต่ละหน่วยบริการ และความพร้อมในด้านสถานที่ ด้านบุคลากร ด้านวัสดุอุปกรณ์ และด้านงบประมาณ ส่วนการให้บริการปรุงยาเฉพาะรายในตำรับยาแผนไทยที่มีส่วนผสมของกัญชาในหน่วยบริการภาคเอกชน ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ของบุคลากรในการจัดยาปรุงเฉพาะราย จากการให้บริการการปรุงยาเฉพาะรายที่ผ่านมา หน่วยบริการทั้งภาครัฐและเอกชน มักพบปัญหาเดียวกัน คือ การจัดหาวัตถุดิบสมุนไพรและการจัดเก็บวัตถุดิบสมุนไพร จากข้อมูลการให้บริการการปรุงยาเฉพาะรายในตำรับยาแผนไทยที่มีส่วนผสมของกัญชามีทั้งชนิดยารับประทานและยาใช้ภายนอก พบว่ามีการให้บริการ 2 รูปแบบ ได้แก่ <br />1) การให้บริการแบบจัดยาสมุนไพรแยกเป็นรายตัวเพื่อให้แพทย์สั่งจ่ายเฉพาะราย และ <br />2) การให้บริการแบบผลิตเป็นตำรับยากลางโดยแบ่งตามกลุ่มอาการ/โรค เพื่อแพทย์สามารถปรับสัดส่วน ปรับรูปแบบ และปรับขนาดของยา ตามอาการผู้ป่วยจากการตรวจวินิจฉัยในแต่ละรายได้</p> ภาวิณี อ่อนมุข Copyright (c) 2025 วารสารสหเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา https://he04.tci-thaijo.org/index.php/JAHS/article/view/2413 Wed, 18 Jun 2025 00:00:00 +0700 การลดระยะเวลารอคอยรับยางานเภสัชกรรมผู้ป่วยนอกโรงพยาบาลหนองคาย https://he04.tci-thaijo.org/index.php/JAHS/article/view/3016 <p>งานเภสัชกรรมผู้ป่วยนอกประกอบด้วยหลายขั้นตอนเพื่อให้การจ่ายยาเป็นไปอย่างถูกต้องและปลอดภัย อย่างไรก็ตาม ความซับซ้อนของกระบวนการทำให้เกิดปัญหาเรื่องระยะเวลารอคอยรับยาที่ล่าช้า จนนำไปสู่ข้อร้องเรียนจากผู้ป่วย การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาระบบงานเภสัชกรรมผู้ป่วยนอก เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้ข้อมูลการจ่ายยาในขั้นตอนต่าง ๆ จากระบบคอมพิวเตอร์และรายงานการประชุม จำนวน 21,607 ราย วิเคราะห์ข้อมูลเปรียบเทียบระยะเวลารอคอยรับยาก่อนและหลังการพัฒนางานเภสัชกรรมผู้ป่วยนอก โดยใช้ Mann-Whitney U test และ Chi-square test ผลการศึกษาพบว่าการพัฒนาระบบงานเภสัชกรรมผู้ป่วยนอก ประกอบด้วย การพัฒนาทั้งหมด 4 ด้าน คือ <br />(1) ด้านการบริหารอัตรากำลังให้เหมาะสมกับปริมาณผู้ป่วย<br />(2) ด้านการจัดการกระบวนทำงาน ได้แก่ การทำระบบคิวด่วน การหมุนเวียนอัตรากำลังจุดคีย์ใบสั่งยาและจัดยา การทบทวนและปรับปรุงบ้านเลขที่ยา การปรับปรุงตารางการคำนวณยา <br />(3) ด้านวัสดุและอุปกรณ์โดยการสำรองยาให้เพียงพอพร้อมใช้ และ <br />(4) ด้านสถานที่โดยการเพิ่มช่องจ่ายยา หลังการพัฒนา พบว่า ระยะเวลารอคอยรับยาผู้ป่วยนอกลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ จากเฉลี่ย 63.90 นาที (SD = 42.63) เหลือ 48.06 นาที <br />(SD = 31.74) ลดลงเฉลี่ย 15.84 นาที (<em>p</em> &lt; 0.001) ผู้ป่วยที่ได้รับยาในเวลาไม่เกิน 20 นาทีเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 10.21 เป็นร้อยละ 18.70 (<em>p</em> &lt; 0.001) และผู้ป่วยที่รอเกิน 60 นาทีลดลงจากร้อยละ 42.30 เป็นร้อยละ 29.40 (<em>p</em> &lt; 0.001) ดังนั้นการจัดการปัจจัยด้านบุคคล ด้านกระบวนการทำงาน ด้านวัสดุและอุปกรณ์ และด้านสถานที่ ส่งผลให้ระยะเวลารอคอยรับยาของผู้ป่วยนอกลดลงอย่างมีนัยสำคัญ</p> กมลรัตน์ ณ หนองคาย Copyright (c) 2025 วารสารสหเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา https://he04.tci-thaijo.org/index.php/JAHS/article/view/3016 Wed, 18 Jun 2025 00:00:00 +0700 ผลของสารสกัดใบหนามพุงดอในการทำสบู่ต่อฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ และองค์ประกอบทางเคมี https://he04.tci-thaijo.org/index.php/JAHS/article/view/3006 <p>สบู่เป็นผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหนัง โดยสามารถขจัดสิ่งสกปรกและลดการสะสมของเชื้อโรค ปัจจุบันนิยมใช้สมุนไพรมาเป็นส่วนผสมเพิ่มเติมเพื่อให้มีสรรพคุณตามต้องการ หนามพุงดอเป็นพืชสมุนไพรที่มีสรรพคุณต้านอนุมูลอิสระและต้านการอักเสบ ดังนั้นงานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและองค์ประกอบทางเคมีของสบู่จากสารสกัดใบหนามพุงดอ ผลการทดลองพบว่าองค์ประกอบทางเคมีของหนามพุงดอ (<em>Azima sarmentosa</em>) และฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสบู่หนามพุงดอทั้ง 3 สูตร (L1.0, L2.5 และ L5.0) มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระที่ดี และมีปริมาณสารสำคัญสูงเมื่อเปรียบเทียบกับสบู่สูตรควบคุม นอกจากนี้แล้วยังพบว่าสบู่ทั้ง 3 สูตรมีคุณสมบัติทางกายภาพต่าง ๆ ที่ดี อีกทั้งปริมาณของสารสำคัญและฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระในสบู่ทั้ง 3 สูตร เพิ่มมากขึ้นตามความเข้มข้น ดังนั้นจากผลการทดลองของเราเปิดเผยให้เห็นว่าใบหนามพุงดอมีศักยภาพในการผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ทางสุขภาพ เช่น สบู่ และครีมอาบน้ำ หรือผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการทำความสะอาดได้</p> ชวลิต โยงรัมย์, รัมภ์รดา มีบุญญา, ภาณุพันธ์ ศรีพันธุ์, ประดับเพชร ครุธชั่งทอง, ศศิเพ็ญ ครุธชั่งทอง Copyright (c) 2025 วารสารสหเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา https://he04.tci-thaijo.org/index.php/JAHS/article/view/3006 Wed, 18 Jun 2025 00:00:00 +0700 ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ปริมาณฟีนอลิกทั้งหมด และฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา ของสารสกัดเยื่อหุ้มเมล็ดฟักข้าว https://he04.tci-thaijo.org/index.php/JAHS/article/view/2909 <p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินฤทธิ์ทางชีวภาพของสารสกัดจากเยื่อหุ้มเมล็ดฟักข้าว (<em>Momordica cochinchinensis</em>) โดยทำการวิเคราะห์ปริมาณสารฟีนอลิกทั้งหมด ทดสอบฤทธิ์การยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนสและอีลาสเทส และประเมินความเป็นพิษต่อเซลล์ผิวหนังมนุษย์ ตัวอย่างวัตถุดิบเยื่อหุ้มเมล็ดฟักข้าวได้รับการคัดเลือกก่อนเข้าสู่กระบวนการเตรียมสารสกัด ซึ่งใช้สำหรับการวิเคราะห์ปริมาณฟีนอลิกทั้งหมดผลการทดลองพบว่าสารสกัดเยื่อหุ้มเมล็ดฟักข้าวมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ จากการทดสอบด้วยวิธี DPPH เท่ากับ 1.51 ± 0.05 mg/mL เมื่อเปรียบเทียบกับวิตามินซีเป็นสารมาตรฐาน และมีปริมาณสารฟีนอลิกทั้งหมด 13.18 ± 0.18 mg GAE/100 g DW (มิลลิกรัมสมมูลของกรดแกลลิกต่อ 100 กรัมของตัวอย่างแห้ง) สำหรับการทดสอบความเป็นพิษในช่วงความเข้มข้น 0.0001–1 mg/mLพบว่าสารสกัดไม่มีความเป็นพิษต่อเซลล์ผิวหนัง โดยที่ความเข้มข้นสูงสุด (1 mg/mL) ให้เปอร์เซ็นต์การรอดชีวิตของเซลล์เท่ากับ 95.35 ± 1.86 ทั้งนี้ สารสกัดไม่มีฤทธิ์ในการยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนสและอีลาสเทสอย่างมีนัยสำคัญ ผลการศึกษานี้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของสารสกัดเยื่อหุ้มเมล็ดฟักข้าวในฐานะสารต้านอนุมูลอิสระที่ปลอดภัยต่อเซลล์ผิวหนังมนุษย์ ซึ่งอาจนำไปพัฒนาต่อยอดเป็นส่วนประกอบในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางหรือเวชสำอางในอนาคต</p> นรินทร์ กากะทุม, วรรณี พรมด้าว Copyright (c) 2025 วารสารสหเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา https://he04.tci-thaijo.org/index.php/JAHS/article/view/2909 Wed, 18 Jun 2025 00:00:00 +0700 ความรอบรู้ด้านความรุนแรงและการถูกทำร้าย https://he04.tci-thaijo.org/index.php/JAHS/article/view/1023 <p>ความรอบรู้ด้านความรุนแรงและการถูกทำร้าย เป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลกระทบต่อสุขภาพของบุคคลและความเป็นอยู่ที่ดี หรือการมีสุขภาวะที่ดีของแต่ละคน บทความฉบับนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อทบทวนวรรณกรรมเกี่ยวกับความรอบรู้ด้านความรุนแรงและการถูกทำร้าย เนื่องจากการส่งเสริมความรอบรู้ด้านความรุนแรงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยสร้างความตระหนักในการป้องกันความรุนแรงและช่วยเหลือเกื้อกูลเหยื่อที่ได้รับความรุนแรง ส่วนการป้องกันการถูกทำร้ายเป็นส่วนหนึ่งของการส่งเสริมความปลอดภัยที่จะช่วยลดความรุนแรงที่อาจจะเกิดขึ้นกับเหยื่อ ยังรวมถึงการตอบโต้ที่เหมาะสม การประเมินสถานการณ์ความรุนแรง ความรู้ ขอบเขตความเป็นส่วนตัว การยินยอม ปัจจัยเสี่ยงต่อการถูกทำร้าย และหน่วยงานที่ให้ความช่วยเหลือ ในทางกลับกันประสบการณ์การเคยเป็นเหยื่อความรุนแรงยังส่งผลต่อความรอบรู้ของบุคคลนั้น ๆ ได้ด้วย นอกจากนี้ความรอบรู้ยังเป็นส่วนหนึ่งของการวัดผลลัพธ์ของการส่งเสริมสุขภาพ ได้แก่ ความรู้ด้านสุขภาพที่ถูกต้อง รวมทั้งทัศนคติ แรงจูงใจ พฤติกรรมที่มีแนวโน้มจะปฏิบัติ ทักษะส่วนบุคคล และ ความเชื่อในความสามารถของตนเองอีกด้วย แม้ว่าบทความนี้จะแสดงให้เห็นภาพรวมของความสัมพันธ์ระหว่างความรอบรู้ด้านความรุนแรงและการถูกทำร้าย แต่ประเด็นต่าง ๆ ยังเป็นสิ่งที่ต้องมีการศึกษาเพิ่มเติม โดยเฉพาะงานวิจัยพื้นฐานที่จะทำให้เข้าใจความซับซ้อนระหว่าง 2 ปัจจัยนี้มากขึ้น งานวิจัยในอนาคตควรจะมีการสำรวจความรอบรู้ด้านความรุนแรงและการถูกทำร้ายในเยาวชนไทย เนื่องจากเป็นกลุ่มเสี่ยงที่เกิดอุบัติการณ์การรุนแรงและถูกทำร้ายมากที่สุด</p> สุรางค์ ชัชวาลา, ศิริลักษณ์ จิตต์ระเบียบ, กาญจนา ศรีสวัสดิ์ Copyright (c) 2025 วารสารสหเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา https://he04.tci-thaijo.org/index.php/JAHS/article/view/1023 Wed, 18 Jun 2025 00:00:00 +0700