วารสารนวัตกรรมสุขภาพและความปลอดภัย
https://he04.tci-thaijo.org/index.php/JHIS
<p><strong>เกี่ยวกับวารสาร</strong><br />เป็นวารสารวิชาการ บริหารจัดการโดยกองบรรณาธิการรวารสารนวัตกรรมสุขภาพและความปลอดภัย เป็นแหล่งเผยแพร่ความรู้บทความจากงานวิจัยและบทความเชิงวิชาการทางด้านวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์สุขภาพ การสาธารณสุข นวัตกรรมสุขภาพ การแพทย์ การพยาบาล อาชีวอนามัยและความปลอดภัย สิ่งแวดล้อมและการจัดการสิ่งแวดล้อม นิเวศวิทยา และการศึกษาที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์สุขภาพ สิ่งแวดล้อม และความปลอดภัย บทความต่าง ๆ ที่ตีพิมพ์เผยแพร่ต้องผ่านการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิ (Peer Review)</p>
วารสารนวัตกรรมสุขภาพและความปลอดภัย
th-TH
วารสารนวัตกรรมสุขภาพและความปลอดภัย
3057-1111
<p>1. บทความหรือข้อคิดเห็นใด ๆ ที่ปรากฏในวารสารนวัตกรรมสุขภาพและความปลอดภัย ที่เป็นวรรณกรรมของผู้เขียน บรรณาธิการ ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย</p> <p>2. บทความที่ได้รับการตีพิมพ์ถือเป็นลิขสิทธิ์ของ วารสารนวัตกรรมสุขภาพและความปลอดภัย</p>
-
ผลของโปรแกรมส่งเสริมความรอบรู้ด้านอาหารต่อพฤติกรรมการบริโภคอาหาร ของกลุ่มเสี่ยงโรคความดันโลหิตสูง โรงพยาบาลกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม
https://he04.tci-thaijo.org/index.php/JHIS/article/view/2904
<p>การวิจัยกึ่งทดลองแบบกลุ่มเดียว วัดก่อน-หลังการทดลองครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาเปรียบเทียบคะแนนพฤติกรรมการบริโภคอาหารของกลุ่มเสี่ยงโรคความดันโลหิตสูงก่อนและหลังเข้าร่วมโปรแกรมการส่งเสริมความรอบรู้ด้านอาหาร กลุ่มตัวอย่างคือผู้ที่มีอายุระหว่าง 35-59 ปี และได้รับการคัดกรองว่าเป็นกลุ่มเสี่ยงต่อการเกิดโรคความดันโลหิตสูง จำนวน 30 คน ที่มารับบริการที่แผนกผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม โดยการคัดเลือกแบบเฉพาะเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการดำเนินการวิจัย คือโปรแกรมการส่งเสริมความรอบรู้ด้านอาหารซึ่งผู้วิจัยได้พัฒนามาจากแนวคิดความรอบรู้ด้านสุขภาพของ นัทบีม ร่วมกับแนวคิดความรอบรู้ด้านอาหารของ ฟิงแลนด์ และคณะ และเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือแบบสอบถามพฤติกรรมการบริโภคอาหาร มีค่าความเชื่อมั่นสัมประสิทธิ์แอลฟาครอนบาค เท่ากับ 0.87 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาและสถิติ Paired T-test</p> <p>ผลการวิจัยในส่วนข้อมูลของกลุ่มตัวอย่าง พบว่า หลังจากกลุ่มตัวอย่างเข้าร่วมโปรแกรมการส่งเสริมความรอบรู้ด้านอาหาร คะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมการบริโภคอาหารของกลุ่มตัวอย่าง (=3.49, SD=0.9) ดีขึ้นกว่าก่อนการใช้โปรแกรมการส่งเสริมความรอบรู้ด้านอาหาร (= 2.92, SD= 1.02) (<em>p-value <0.001</em>) งานวิจัยแสดงให้เห็นว่าโปรแกรมการส่งเสริมความรอบรู้ด้านอาหาร ส่งผลให้กลุ่มเสี่ยงโรคความดันโลหิตสูงเกิดทักษะและสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคอาหารที่ถูกต้องเหมาะสม จนนำไปสู่การมีภาวะสุขภาพที่ดี พยาบาลและบุคลากรสาธารณสุขอื่น ๆ สามารถนำโปรแกรมการส่งเสริมความรอบรู้ด้านอาหาร ไปปรับใช้ เพื่อป้องกันการเกิดโรคและลดอัตราป่วยโรคความดันโลหิตสูง ในกลุ่มเสี่ยงโรคความดันโลหิตสูงในพื้นที่อื่น ๆ ได้</p>
อังคณา แก้วมณี
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนวัตกรรมสุขภาพและความปลอดภัย
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-05-19
2025-05-19
2 2
2904
-
ผลของโปรแกรมส่งเสริมความเชื่อด้านสุขภาพต่อพฤติกรรมการป้องกันโรคหลอดเลือดสมอง ของกลุ่มเสี่ยงในชุมชน โรงพยาบาลเจ้าคุณไพบูลย์ พนมทวน
https://he04.tci-thaijo.org/index.php/JHIS/article/view/2928
<p>การวิจัยกึ่งทดลองแบบกลุ่มเดียววัดก่อนหลังการทดลองนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมการป้องกันโรคหลอดเลือดสมองของกลุ่มเสี่ยงในชุมชนก่อนและหลังการได้รับโปรแกรมส่งเสริมความเชื่อด้านสุขภาพ กลุ่มตัวอย่างคือผู้ที่มีอายุระหว่าง 35-59 ปี และได้รับการคัดกรองว่าเป็นกลุ่มเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง จำนวน 30 คน ที่มารับบริการและอาศัยอยู่ในเขตรับผิดชอบของโรงพยาบาลเจ้าคุณไพบูลย์ พนมทวน จังหวัดกาญจนบุรี โดยการคัดเลือกแบบเฉพาะเจาะจง ดำเนินการระหว่างวันที่ 20 ธันวาคม – 28 ธันวาคม 2567 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วยโปรแกรมส่งเสริมความเชื่อด้านสุขภาพซึ่งผู้วิจัยได้พัฒนามาจากแนวคิดแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพ (Health Belief Model) ของเบคเกอร์ และ ไมแมน และเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถามพฤติกรรมการป้องกันโรคหลอดเลือดสมอง มีค่าความเชื่อมั่นสัมประสิทธิ์แอลฟาครอนบาค เท่ากับ 0.85 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาและสถิติ Paired Sample T-test ผลการวิจัยพบว่า หลังจากกลุ่มตัวอย่างเข้าร่วมโปรแกรมส่งเสริมความเชื่อด้านสุขภาพ คะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมการป้องกันโรคหลอดเลือดสมองของกลุ่มตัวอย่าง (M =3.21, SD=0.96) สูงกว่าก่อนการใช้โปรแกรมส่งเสริมความเชื่อด้านสุขภาพ (M = 2.88, SD= 0.79) (<em>p-</em>value <0.001) งานวิจัยแสดงให้เห็นว่าโปรแกรมส่งเสริมความเชื่อด้านสุขภาพส่งผลให้กลุ่มเสี่ยงโรคหลอดเลือดสมองเกิดทักษะและสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดสมองได้ ซึ่งจะนำไปสู่แนวทางการส่งเสริมสุขภาพ การปฏิบัติตัวที่ถูกต้องเบื้องต้นและลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง</p>
กาญจนา ศรีวลีรัตน์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนวัตกรรมสุขภาพและความปลอดภัย
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-05-28
2025-05-28
2 2
2928
-
ผลของโปรแกรมการจัดบริการปฐมภูมิสู่วิถีใหม่โดยยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง (NCDx) ต่อการจัดการสุขภาพของตนเองของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 กลุ่มสีเหลืองและสีแดง
https://he04.tci-thaijo.org/index.php/JHIS/article/view/2716
<p>การวิจัยกึ่งทดลองวัดกลุ่มเดียวก่อนหลังในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาเปรียบเทียบการรับรู้ความรุนแรง การรับรู้โอกาสเสี่ยง ค่าดัชนีมวลกาย และค่าระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 กลุ่ม<br />สีเหลืองและสีแดง ประชากรที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ คือ ผู้ป่วยเบาหวานอายุ 30- 65 ปี ที่มารับบริการ<br />ณ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านสันมะนะ ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ 2567 – กรกฎาคม 2567 คำนวณกลุ่มตัวอย่างได้ 30 คน เลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้มี 2 ส่วน คือ แบบสอบถามและโปรแกรมการจัดบริการปฐมภูมิโดยยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง ตรวจสอบเครื่องมือด้วยผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่าน มีค่า IOC ระหว่าง 0.67 – 1.00 ได้ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟ่าของครอนบาช เท่ากับ 0.80 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และสถิติ Wilcoxon Signed Ranks Test ผลการวิจัยพบว่า หลังการทดลองโปรแกรมการจัดบริการปฐมภูมิสู่วิถีใหม่โดยยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง (NCDx) กลุ่มทดลองมีคะแนนการรับรู้ความรุนแรง และการรับรู้โอกาสเสี่ยงการเกิดโรคเบาหวานสูงกว่าก่อนทดลอง (p-value < 0.001) ค่าระดับน้ำตาลในเลือดลดลงกว่าก่อนทดลอง (p-value < 0.001) สำหรับค่าดัชนีมวลกายไม่มีความแตกต่างกัน (p-value = 0.066) ดังนั้น ทีมสหวิชาชีพควรนำหลักการจัดบริการปฐมภูมิสู่วิถีใหม่โดยยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง<br />โดยการประยุกต์การจัดการตนเองมาใช้เพื่อเป็นแนวทางในการจัดกิจกรรม</p>
อนงค์ ยอดยิ่ง
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนวัตกรรมสุขภาพและความปลอดภัย
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-10
2025-06-10
2 2
2716
-
การพัฒนารูปแบบการคัดกรองเพื่อป้องกันการเข้าสู่ภาวะพึ่งพิงของผู้สูงอายุ โดยประยุกต์ใช้ ปิงปองจราจร 7 สี โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ ศูนย์อนามัยที่ 5 ราชบุรี
https://he04.tci-thaijo.org/index.php/JHIS/article/view/3343
<p>การศึกษารูปแบบการวิจัยและพัฒนา (The Research and Development : R&D) ครั้งนี้<br />มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบัน ปัญหาและความต้องการรูปแบบการคัดกรองเพื่อป้องกันการเข้าสู่ภาวะพึ่งพิงของผู้สูงอายุ อำเภอเมือง จังหวัดราชบุรี การพัฒนารูปแบบการคัดกรองเพื่อป้องกันการเข้าสู่ภาวะพึ่งพิงของผู้สูงอายุโดยประยุกต์ใช้ ปิงปองจราจร 7 สี อำเภอเมือง จังหวัดราชบุรี และประเมินการรับรู้เกี่ยวกับรูปแบบการคัดกรองและรับรู้ตนเองเกี่ยวกับดูแลสุขภาพ เพื่อป้องกันการเข้าสู่ภาวะพึ่งพิงของผู้สูงอายุ<br />โดยประยุกต์ใช้ ปิงปองจราจร 7 สี อำเภอเมือง จังหวัดราชบุรี เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลประกอบด้วย แนวทางการสนทนากลุ่ม แนวทางการสัมภาษณ์เชิงลึก และรูปแบบการคัดกรองเพื่อป้องกัน<br />การเข้าสู่ภาวะพึ่งพิงของผู้สูงอายุ วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหา การหาค่า Paired simple t-test และการหาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างมีเห็นว่ารูปแบบการคัดกรองสุขภาพแบบเดิมมีลักษณะเป็นเพียง<br />การสอบถามแล้วนำมาประมวลผลเป็นตัวเลข ซึ่งยากต่อการสื่อสารและทำความเข้าใจในกลุ่มผู้สูงอายุ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องอธิบายผลการคัดกรองให้ผู้สูงอายุเข้าใจ จึงเสนอให้มีการพัฒนารูปแบบการคัดกรองให้มีลักษณะที่เข้าใจง่าย ชัดเจน และสะดวกต่อการสื่อสาร จากการเปรียบเทียบผลระหว่างรูปแบบการคัดกรองแบบเดิมกับรูปแบบการคัดกรองที่พัฒนาขึ้นโดยประยุกต์ใช้ ปิงปองจราจร 7 สี พบว่าค่าเฉลี่ยของการรับรู้<br />รูปแบบเดิม M = 3.93 ขณะที่ค่าเฉลี่ยหลังการใช้รูปแบบใหม่ M =4.56 ซึ่งแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญในระดับ 0.05 แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพของรูปแบบใหม่ในการส่งเสริมความเข้าใจเกี่ยวกับการคัดกรองสุขภาพ<br />ในกลุ่มผู้สูงอายุ นอกจากนี้ ผลการประเมินความพึงพอใจของเจ้าหน้าที่และผู้สูงอายุต่อรูปแบบการคัดกรอง<br />ที่พัฒนาขึ้นอยู่ในระดับมาก และผลการประเมินการรับรู้ตนเองในการดูแลสุขภาพของผู้สูงอายุพบว่าอยู่ในระดับสูง (M = 2.85 SD.=.45) เมื่อพิจารณารายข้อ พบว่าการรับรู้ตนเองเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพส่วนใหญ่<br />อยู่ในระดับสูงมาก</p>
ชฎารัตน์ เหลืองอร่าม
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนวัตกรรมสุขภาพและความปลอดภัย
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-10
2025-08-10
2 2
3343
-
ปัจจัยที่มีผลต่อการเข้ารับการรักษาล่าช้าของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง โรงพยาบาลสิงหนคร
https://he04.tci-thaijo.org/index.php/JHIS/article/view/2229
<p>การศึกษาเชิงวิเคราะห์ภาคตัดขวางครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการเข้ารับการรักษาล่าช้าของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง โรงพยาบาลสิงหนคร จำนวน 154 คน ใช้วิธีสุ่มแบบชั้นภูมิ เครื่องมือวิจัยที่ใช้วิจัยคือแบบสอบถามปัจจัยส่วนบุคคล วิธีการมาโรงพยาบาล อาการเตือนของโรค ได้ค่าความสอดคล้องระหว่างข้อคำถามกับวัตถุประสงค์ระหว่าง .67 – 1.00 และค่าเชื่อมั่นสัมประสิทธิ์แอลฟ่าของครอนบาค เท่ากับ .909, .803, และ .903, ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และสถิติถดถอยพหุคูณโลจิสติก ผลการวิจัยพบว่า</p> <p>ไม่มีตัวแปรใดมีผลต่อการเข้ารับการรักษาล่าช้าของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองโรงพยาบาลสิงหนคร แต่เมื่อพิจารณาโดยใช้ค่าร้อยละพบว่าผู้ป่วยที่มารับบริการในเวลาราชการมีร้อยละของการล่าช้ามากว่ากลุ่มที่มารับนอกเวลาราชการและการมารับการรักษาด้วยระบบการแพทย์ฉุกเฉิน</p> <p>ดังนั้นโรงพยาบาลสิงหนคร ควรปรับรูปแบบและขั้นตอนการบริการในเวลาราชการให้มีความรวดเร็ว เพื่อลดระยะเวลาการรอคอยและเพิ่มการเข้าถึงบริการของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง</p>
จรีรัตน์ ทรงเดชะ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนวัตกรรมสุขภาพและความปลอดภัย
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-20
2025-08-20
2 2
2229