วารสารเทคโนโลยีทางการแพทย์และสหเวชศาสตร์ https://he04.tci-thaijo.org/index.php/JMAS <p><strong><u>Scope</u></strong></p> <p>ภารกิจหลักของวารสารเทคโนโลยีทางการแพทย์และสหเวชศาสตร์ คือ การจัดให้มีแหล่งเผยแพร่ข้อมูลทางวิชาการสำหรับนักวิจัย เพื่อตีพิมพ์ผลงานในวารสารที่มี peer-reviewed จำนวน 2-3 ท่าน เป้าหมายที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือการจัดเตรียมเส้นทางที่ไม่ยุ่งยากสำหรับเจ้าหน้าที่วิจัยรุ่นใหม่และนักศึกษาในการได้รับการตีพิมพ์บทความชิ้นแรกก่อนที่จะก้าวไปสู่วารสารนานาชาติที่มีชื่อเสียงมากขึ้น ดังนั้นวารสารจึงยินดีรับบทความด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพ วิทยาศาสตร์เทคโนโลยี นวัตกรรมสุขภาพ การแพทย์และสาธารณสุข และสาขาที่เกี่ยวข้อง ด้วยการเน้นและให้ความสำคัญกับการวิจัยในประเทศไทย โดยคำนึงถึงการให้บริการทางวิชาการที่มีคุณค่าในการช่วยให้นักวิจัยได้ตีพิมพ์เผยแพร่ผลงาน วารสารนี้ได้รับทุนสนับสนุนจากวิทยาลัยเทคโนโลยีทางการแพทย์และสาธารณสุข กาญจนาภิเษก คณะสาธารณสุขศาสตร์และสหเวชศาสตร์ สถาบันพระบรมราชชนก กระทรวงสาธารณสุข</p> th-TH jmas@kmpht.ac.th (Dr. Wannisa Raksamat) sirorat.th@kmpht.ac.th (Dr. Sirorat Thongrod) Sun, 31 Aug 2025 23:47:04 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 บทบรรณาธิการ https://he04.tci-thaijo.org/index.php/JMAS/article/view/3578 Wannisa Raksamat ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วิทยาลัยเทคโนโลยีทางการแพทย์และสาธารณสุข กาญจนาภิเษก https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he04.tci-thaijo.org/index.php/JMAS/article/view/3578 Sun, 31 Aug 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาระบบการจัดการยาที่ได้รับคืนจากผู้ป่วย งานบริการจ่ายยาผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลหัวหิน https://he04.tci-thaijo.org/index.php/JMAS/article/view/3129 <p>ยาเหลือใช้ในผู้ป่วยโรคเรื้อรัง โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุที่ต้องใช้ยาหลายชนิดต่อเนื่องกันเป็นปัญหาที่พบบ่อยในระบบสาธารณสุขไทย สาเหตุหลักมาจากการสั่งจ่ายยาเกินความจำเป็น การปรับแผนการรักษา และการหยุดยาเองของผู้ป่วย ส่งผลให้เกิดความสูญเปล่าทางเศรษฐกิจ ความเสี่ยงในการใช้ยา และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โรงพยาบาลหัวหินเอง แม้ว่าจะมีผู้ป่วยส่วนหนึ่งนำยามาคืนที่ห้องจ่ายยาอย่างต่อเนื่อง แต่การขาดระบบจัดการที่เป็นระบบ ทำให้ไม่สามารถนำยาที่มีคุณภาพกลับมาใช้ใหม่ได้ ผู้วิจัยจึงมีแนวคิดในการพัฒนาระบบการจัดการยาคืน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารทรัพยากรยาให้ปลอดภัยและเกิดประโยชน์สูงสุด การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ แบ่งออกเป็น 4 ระยะ ได้แก่ การวิเคราะห์ปัญหา วางแผน ทดลองใช้ระบบ และประเมินผล โดยเก็บข้อมูลเป็นเวลา 5 เดือน ใช้สถิติเชิงพรรณนาในการวิเคราะห์ข้อมูล ผลการศึกษาพบว่า มีการพัฒนาแนวทางการจัดการยาที่ได้รับคืนอย่างเป็นระบบ ด้วยการใช้แบบฟอร์มรับคืนยาในการบันทึกข้อมูล มีแนวทางการคัดแยกยาที่สามารถนำกลับมาใช้ได้และไม่สามารถนำกลับมาใช้ได้ และเกณฑ์พิจารณาคุณภาพยา โดยมีจำนวนผู้มารับบริการนำยามาคืนจำนวนรวม 343 คน และสามารถนำยากลับมาใช้ประโยชน์ได้คิดเป็นมูลค่าสูงถึง 564,766.72 บาท โดยยาที่มีมูลค่านำกลับมาใช้ได้สูงสุด คือ Imatinib 400 มิลลิกรัม คิดเป็น 180,958.40 บาท (ร้อยละ 32.05) สาเหตุการคืนยาที่พบมากที่สุด คือ การที่แพทย์สั่งยาเกินวันนัด (ร้อยละ 45.19) รองลงมาคือไม่ทราบสาเหตุ (ร้อยละ 17.20) และการปรับเปลี่ยนวิธีใช้ยาโดยแพทย์ (ร้อยละ 9.33) กลุ่มยาที่มีมูลค่าการคืนยามากที่สุด ได้แก่ กลุ่มยาต้านมะเร็ง คิดเป็นมูลค่า 199,368.10 บาท และกลุ่มยาที่มีจำนวนรับคืนทั้งที่สามารถนำไปใช้ต่อได้และไม่สามารถนำไปใช้ต่อได้ ได้แก่ กลุ่มยาลดความดันโลหิต ระบบการจัดการยาคืนที่พัฒนาขึ้น สามารถลดความสูญเสียจากการใช้ยาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งเสริมการบริหารจัดการทรัพยากรยาในโรงพยาบาลได้อย่างเป็นระบบ และสามารถนำไปใช้เป็นต้นแบบการจัดการยาคืนในสถานพยาบาลอื่นได้</p> จุติรัตน์ วงศ์ศรีสกุล ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วิทยาลัยเทคโนโลยีทางการแพทย์และสาธารณสุข กาญจนาภิเษก https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he04.tci-thaijo.org/index.php/JMAS/article/view/3129 Sun, 31 Aug 2025 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการดูแลสุขภาพช่องปาก เด็กก่อนวัยเรียนของผู้ปกครองเด็ก ในอำเภอเมือง จังหวัดเพชรบูรณ์ https://he04.tci-thaijo.org/index.php/JMAS/article/view/3207 <p>การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงวิเคราะห์แบบภาคตัดขวาง (Analytical Cross-Sectional Study) มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยส่วนบุคคล ความรอบรู้ทางทันตสุขภาพ และพฤติกรรมการดูแลสุขภาพช่องปากเด็กก่อนวัยเรียนของผู้ปกครอง รวมถึงศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการดูแลสุขภาพช่องปากเด็กก่อนวัยเรียน กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ปกครองเด็กก่อนวัยเรียน จำนวน 355 คน ดำเนินการเก็บข้อมูลระหว่างเดือนเมษายนถึงพฤษภาคม พ.ศ. 2568 โดยใช้แบบสอบถามที่ผ่านการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหา และมีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.831 การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ สถิติ ไคสแควร์ และสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน โดยกำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 ผลการศึกษา พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีระดับความรอบรู้ทางทันตสุขภาพโดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง (Mean = 3.53, S.D. = 0.412) และมีพฤติกรรมการดูแลสุขภาพช่องปากเด็กก่อนวัยเรียนอยู่ในระดับปานกลางเช่นกัน (Mean = 3.68, S.D. = 0.412) ในขณะที่ปัจจัยส่วนบุคคล ได้แก่ ระดับการศึกษา การพาเด็กไปตรวจฟันและเคลือบฟลูออไรด์ รวมถึงการเข้ารับบริการทันตกรรมในโรงพยาบาลของรัฐ มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการดูแลสุขภาพช่องปากเด็กก่อนวัยเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ขณะเดียวกันความรอบรู้ทางทันตสุขภาพโดยรวมมีความสัมพันธ์ทางบวกในระดับปานกลาง (r = 0.460, <em>p</em> &lt; 0.001) กับพฤติกรรมการดูแลสุขภาพช่องปากเด็กก่อนวัยเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ผลการวิจัยสะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญขององค์ความรู้ ทักษะ และการเข้าถึงบริการทันตกรรม ในฐานะกลไกสำคัญที่ส่งเสริมพฤติกรรมสุขภาพที่เหมาะสม การส่งเสริมให้ผู้ปกครองมีศักยภาพในการดูแลสุขภาพช่องปากของเด็กอย่างถูกต้องและสอดคล้องกับบริบทของครอบครัว จึงเป็นแนวทางสำคัญในการยกระดับการดูแลสุขภาพช่องปากของเด็กก่อนวัยเรียนให้มีประสิทธิภาพและยั่งยืน</p> สุเมธ กองประดิษฐ, ถาวร มาต้น ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วิทยาลัยเทคโนโลยีทางการแพทย์และสาธารณสุข กาญจนาภิเษก https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he04.tci-thaijo.org/index.php/JMAS/article/view/3207 Sun, 31 Aug 2025 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับความพึงพอใจของผู้รับบริการผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชหล่มเก่า อำเภอหล่มเก่า จังหวัดเพชรบูรณ์ https://he04.tci-thaijo.org/index.php/JMAS/article/view/3266 <p>การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงพรรณนา มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับความพึงพอใจ<br />ของผู้รับบริการผู้ป่วยนอกโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชหล่มเก่า อำเภอหล่มเก่า จังหวัดเพชรบูรณ์ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ ประชาชนทั้งในพื้นที่และนอกพื้นที่ที่เคยมารับบริการงานผู้ป่วยนอก จำนวน 311 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม ประกอบด้วย ปัจจัยส่วนบุคคล ปัจจัยคุณภาพการให้บริการ และความพึงพอใจของผู้รับบริการผู้ป่วยนอก ได้ค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.98 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และหาค่าความสัมพันธ์ โดยใช้สถิติสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน โดยกำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 ผลการศึกษา พบว่า ปัจจัยคุณภาพการให้บริการภาพรวมมีความสัมพันธ์กับระดับความพึงพอใจของผู้รับบริการผู้ป่วยนอก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 (r = 0.871) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ด้านความเป็นรูปธรรมของการบริการ มีความสัมพันธ์กับระดับความพึงพอใจของผู้รับบริการผู้ป่วยนอก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 (r = 0.667) ด้านการตอบสนองความต้องการการบริการ มีความสัมพันธ์กับระดับความพึงพอใจของผู้รับบริการผู้ป่วยนอก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 (r = 0.828) ด้านความน่าเชื่อถือในการให้บริการ มีความสัมพันธ์กับระดับความพึงพอใจของผู้รับบริการผู้ป่วยนอก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 (r = 0.801) ด้านการสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้มาใช้บริการ มีความสัมพันธ์กับระดับความพึงพอใจของผู้รับบริการผู้ป่วยนอก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 (r = 0.788) และด้านความเห็นอกเห็นใจ มีความสัมพันธ์กับระดับความพึงพอใจของผู้รับบริการผู้ป่วยนอก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 (r = 0.862)</p> พรฤทัย บุญพรม, สุรเดช สาราญจิตต์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วิทยาลัยเทคโนโลยีทางการแพทย์และสาธารณสุข กาญจนาภิเษก https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he04.tci-thaijo.org/index.php/JMAS/article/view/3266 Sun, 31 Aug 2025 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับความต้องการเรียนรู้ตลอดชีวิตของผู้สูงอายุในโรงเรียนผู้สูงอายุ ตำบลดงมูลเหล็ก อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบูรณ์ https://he04.tci-thaijo.org/index.php/JMAS/article/view/3269 <p>การศึกษาวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงพรรณนา มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับปัจจัยนำ ปัจจัยเอื้อ ปัจจัยเสริม และความต้องการเรียนรู้ตลอดชีวิตของผู้สูงอายุ ในโรงเรียนผู้สูงอายุตำบลดงมูลเหล็ก อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบูรณ์ 2) ศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับความต้องการเรียนรู้ตลอดชีวิตของผู้สูงอายุในโรงเรียนผู้สูงอายุ ตำบลดงมูลเหล็ก อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบูรณ์ จำนวน 313 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เป็นแบบสอบถาม ประกอบด้วย ปัจจัยส่วนบุคคล ปัจจัยนํา ปัจจัยเอื้อ ปัจจัยเสริม และความต้องการเรียนรู้ตลอดชีวิตของผู้สูงอายุในโรงเรียนผู้สูงอายุ ได้ค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.97 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และหาค่าความสัมพันธ์ โดยใช้สถิติสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน โดยกําหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 ผลการวิจัย พบว่า ปัจจัยนำ (การรับรู้ภาวะสุขภาพของตนเอง) โดยภาพรวมอยู่ในระดับสูง (Mean = 4.33, S.D. = 0.29) ปัจจัยเอื้อ (ประสบการณ์การเข้าร่วมกิจกรรมของผู้สูงอายุ) โดยภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง (Mean = 2.65, S.D. = 1.53) ปัจจัยเสริม (การสนับสนุนทางสังคม) โดยภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง (Mean = 2.81, S.D. = 1.34) และความต้องการเรียนตลอดชีวิตของผู้สูงอายุในโรงเรียนผู้สูงอายุโดยภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง (Mean = 2.98, S.D. = 1.66) เมื่อศึกษาความสัมพันธ์ พบว่า โดยรวมปัจจัยนํา ปัจจัยเอื้อ และปัจจัยเสริมมีความสัมพันธ์กับความต้องการเรียนรู้ตลอดชีวิตของผู้สูงอายุในโรงเรียนผู้สูงอายุอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 (r = 0.938) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ปัจจัยนำ มีความสัมพันธ์กับความต้องการเรียนรู้ตลอดชีวิตของผู้สูงอายุในโรงเรียนผู้สูงอายุอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 (r = 0.646) ปัจจัยเอื้อมีความสัมพันธ์กับความต้องการเรียนรู้ตลอดชีวิตของผู้สูงอายุในโรงเรียนผู้สูงอายุ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 (r = 0.916) และปัจจัยเสริมมีความสัมพันธ์กับความสัมพันธ์กับความต้องการเรียนรู้ตลอดชีวิตของผู้สูงอายุในโรงเรียนผู้สูงอายุ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 (r = 0.907)</p> <p> </p> พัชรินทร์ สุวรรณศิริ, สุรเดช สำราญจิตต์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วิทยาลัยเทคโนโลยีทางการแพทย์และสาธารณสุข กาญจนาภิเษก https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he04.tci-thaijo.org/index.php/JMAS/article/view/3269 Sun, 31 Aug 2025 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเองของผู้สูงอายุ ตำบลนางั่ว อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบูรณ์ https://he04.tci-thaijo.org/index.php/JMAS/article/view/3270 <p>การศึกษาครั้งนี้เป็นการศึกษาเชิงปริมาณ (Quantitative Study) ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงพรรณนา (Descriptive Research) ประเภทการศึกษาแบบภาคตัดขวาง (Cross-Sectional Study) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ปัจจัยนำ ปัจจัยเอื้อ ปัจจัยเสริม และพฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเองของผู้สูงอายุ ตำบลนางั่ว อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบูรณ์ 2) ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเองของผู้สูงอายุ ตำบลนางั่ว อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบูรณ์ กลุ่มตัวอย่างในการศึกษา จำนวน 142 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม ประกอบด้วย ปัจจัยส่วนบุคคล ปัจจัยนำ ปัจจัยเอื้อ ปัจจัยเสริมและพฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเองของผู้สูงอายุ ได้ค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.96 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าสูงสุด ค่าต่ำสุด ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และหาค่าความสัมพันธ์ โดยใช้สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน โดยกำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 ผลการศึกษาพบว่า ปัจจัยนำ (การรับรู้ในเรื่องของการดูแลสุขภาพตนเองของผู้สูงอายุ) อยู่ในระดับสูง คิดเป็นร้อยละ 94.40 (Mean ปัจจัยเอื้อ (การเข้าถึงระบบบริการสุขภาพ และสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเองของผู้สูงอายุ) อยู่ในระดับสูง คิดเป็นร้อยละ 88.70 (Mean = 4.49, S.D. = 0.57), ปัจจัยเสริม (แรงสนับสนุนจากบุคคลในครอบครัว และการรับรู้ข้อมูลข่าวสารด้านสุขภาพของผู้สูงอายุ) อยู่ในระดับสูง คิดเป็นร้อยละ 93.00 (Mean = 4.61, S.D. = 0.43) ปัจจัยนำ ปัจจัยเอื้อ และปัจจัยเสริม มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเองของผู้สูงอายุในภาพรวม (ด้านการบริโภคอาหาร ด้านการออกกำลังกาย ด้านการจัดการความเครียด ด้านการจัดการอนามัยสิ่งแวดล้อม และด้านการดูแลตนเองในภาวะเจ็บป่วยของผู้สูงอายุ) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 (r = 0.666, r = 0.636 และ r = 0.692 ตามลำดับ)</p> สิริประภา พลคำ, สุรเดช สำราญจิตต์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วิทยาลัยเทคโนโลยีทางการแพทย์และสาธารณสุข กาญจนาภิเษก https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he04.tci-thaijo.org/index.php/JMAS/article/view/3270 Sun, 31 Aug 2025 00:00:00 +0700