วารสารป้องกันควบคุมโรคและศาสตร์สุขภาพบูรณาการ https://he04.tci-thaijo.org/index.php/JODPCIH <p><strong>วารสารป้องกันควบคุมโรคและศาสตร์สุขภาพบูรณาการ</strong> <strong>ตีพิมพ์เผยแพร่บทความทางด้านการป้องกันควบคุมโรคและภัยสุขภาพ ทางการแพทย์และสาธารณสุข รับบทความเป็นภาษาไทยและเป็นภาษาอังกฤษ จัดพิมพ์ปีละ 3</strong><strong> ฉบับ</strong></p> <p><strong>ฉบับที่ </strong><strong>1</strong><strong> :</strong><strong> มกราคม</strong><strong> – </strong><strong>เมษายน </strong></p> <p><strong>ฉบับที่ </strong><strong>2</strong><strong> :</strong> <strong>พฤษภาคม</strong><strong> – </strong><strong>สิงหาคม </strong></p> <p><strong>ฉบับที่ </strong><strong>3 :</strong> <strong>กันยายน</strong><strong> – </strong><strong>ธันวาคม </strong></p> th-TH <p>บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 11 จังหวัดนครศรีธรรมราช (Office of Disease Prevention and Control Region 11 Nakhon Sri Thammarat)</p> <p>ข้อความที่ปรากฏในบทความแต่ละเรื่องในวารสารวิชาการเล่มนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนแต่ละท่านไม่เกี่ยวข้องกับสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 11 จังหวัดนครศรีธรรมราช และ บุคคลากรท่านอื่น ๆในสำนักงานฯ แต่อย่างใด ความรับผิดชอบองค์ประกอบทั้งหมดของบทความแต่ละเรื่องเป็นของผู้เขียนแต่ละท่าน หากมีความผิดพลาดใดๆ ผู้เขียนแต่ละท่านจะรับผิดชอบบทความของตนเองแต่ผู้เดียว</p> <p><span class="fontstyle0">ห้ามนำข้อความทั้งหมด หรือบางส่วนไปพิมพ์ซ้ำ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากกองบรรณาธิการวารสาร</span></p> Researchkmodpc11@gmail.com (ดร. สุรชาติ โกยดุลย์) Researchkmodpc11@gmail.com (ดร.สุรชาติ โกยดุลย์) Sun, 31 Aug 2025 14:51:49 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการปฏิบัติด้านความปลอดภัยในการป้องกันการสัมผัสตะกั่วในเด็กของผู้ทำมาดอวน จังหวัดสุราษฎร์ธานี https://he04.tci-thaijo.org/index.php/JODPCIH/article/view/3379 <p>การวิจัยเชิงพรรณนาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาปัจจัยส่วนบุคคล ความรู้ และพฤติกรรมปฏิบัติด้านความปลอดภัยในการป้องกันการสัมผัสตะกั่วในเด็ก และ 2) วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยส่วนบุคคล ความรู้และพฤติกรรมปฏิบัติด้านความปลอดภัยในการป้องกันการสัมผัสตะกั่วในเด็กของผู้ทำมาดอวน จังหวัด สุราษฎร์ธานี กลุ่มตัวอย่างที่ศึกษาจำนวนทั้งหมด 145 คน เป็นผู้ปกครองที่ทำมาดอวนและมีสมาชิกในครัวเรือนเป็นเด็กแรกเกิด ถึง 5 ปี ในจังหวัดสุราษฎร์ธานี เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามซึ่งผ่านการตรวจสอบความตรงด้วยผู้ทรงคุณวุฒิ 3 คน มีค่าดัชนีความสอดคล้อง IOC ของแบบสอบถามงานวิจัยนี้เท่ากับ 0.98 ตรวจสอบความเที่ยงด้วยค่าสัมประสิทธิ์ Cronbach alpha แบบสอบถามเกี่ยวกับความรู้เท่ากับ 0.841 และแบบสอบถามเกี่ยวกับพฤติกรรมเท่ากับ 0.740 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนา สถิติไคสแควร์ และสถิติสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์ ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีความรู้ด้านความปลอดภัยต่อการรับสัมผัสตะกั่วในเด็กของผู้ที่ทำมาดอวนระดับต่ำ (ร้อยละ 37.9) และมีพฤติกรรมการปฏิบัติด้านความปลอดภัยในการป้องกันการสัมผัสตะกั่วในเด็กอยู่ในระดับปานกลาง (ร้อยละ 35.2) ผลการวิเคราะห์ความสัมพันธ์พบว่า พฤติกรรมการปฏิบัติด้านความปลอดภัยในการป้องกันการสัมผัสตะกั่วในเด็กมีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ กับรายได้ของครอบครัว (<em>p</em>-value=0.031) และความรู้ด้านความปลอดภัยในการป้องกันการสัมผัสตะกั่วในเด็ก (<em>p</em>-value&lt; 0.01) การวิจัยครั้งนี้เสนอแนะการส่งเสริมและให้ความรู้ด้านความปลอดภัยต่อการรับสัมผัสตะกั่วในเด็กของผู้ที่ทำอาชีพมาดอวนที่ถูกต้องแก่ผู้ที่ทำมาดอวนหรือต้องสัมผัสตะกั่วที่มีเด็กแรกเกิดถึง 5 ปีอาศัยอยู่ในบ้าน และเน้นย้ำเรื่องการปฏิบัติเพื่อลดการสัมผัสตะกั่วในเด็กแรกเกิดถึง 5 ปี</p> ศุทธินี ประทานทรง , บุณยานุช ทองคำดี ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 11 จังหวัดนครศรีธรรมราช https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he04.tci-thaijo.org/index.php/JODPCIH/article/view/3379 Sun, 31 Aug 2025 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับภาวะซึมเศร้าของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช https://he04.tci-thaijo.org/index.php/JODPCIH/article/view/3353 <p>การศึกษาเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวางครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่สัมพันธ์กับภาวะซึมเศร้าของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายในเขตอำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช กลุ่มตัวอย่างที่ศึกษาจำนวนทั้งหมด 240 คน เลือกโดยวิธีการสุ่มแบบชั้นภูมิ เครื่องมือในการวิจัยคือแบบสอบถามซึ่งประกอบด้วย 8 ส่วน ได้แก่ 1) ข้อมูลส่วนบุคคล 2) ความผูกพันในครอบครัว 3) ความผูกพันกับเพื่อน 4) การกลั่นแกล้ง 5) การติดสื่อสังคมออนไลน์ 6) พลังใจหรือความเข้มแข็งทางใจ 7) การเห็นคุณค่าในตนเอง และ 8) แบบสอบถามคัดกรองภาวะซึมเศร้า (The Thai version of the Patient Health Questionnaire for Adolescents: PHQ-A) การวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนา ได้แก่ จำนวน ร้อยละ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ สถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ ไคว์ สแควร์ และการถดถอยโลจิสติกส์แบบไบนารี่ ผลการวิจัยเปิดเผยว่ากลุ่มตัวอย่างมีภาวะซึมเศร้าจำนวนทั้งหมด 87 คน (ร้อยละ 36.25) กลุ่มตัวอย่างที่มีภาวะซึมเศร้าพบว่ามีโอกาสจะฆ่าตัวตายจำนวน 84 คน (ร้อยละ 35) โดยเป็นกลุ่มเสี่ยงสูง 23 คน (ร้อยละ9.58) กลุ่มที่มีภาวะซึมเศร้ามีโอกาสจะฆ่าตัวตายสูงถึง 11.94 เท่าเมื่อเทียบกับกลุ่มไม่มีภาวะซึมเศร้า ผลการวิเคราะห์ปัจจัยร่วมที่สัมพันธ์กับภาวะซึมเศร้า พบตัวแปรที่สำคัญ 4 ตัวแปร ได้แก่ การมีความผูกพันในครอบครัวระดับต่ำมีโอกาสเกิดภาวะซึมเศร้า 5.17 เท่า เมื่อเทียบกับกลุ่มที่มีความผูกพันในครอบครัวสูง (95% CI: 1.459-18.32, <em>p</em>-value &lt; 0.01) การถูกกลั่นแกล้งในโรงเรียนมีโอกาสเกิดภาวะซึมเศร้า 2.43 เท่า เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ไม่ถูกกลั่นแกล้ง (95% CI: 1.151-5.118, <em>p</em>-value = 0.02) การมีพลังใจต่ำมีโอกาสเกิดภาวะซึมเศร้า 4.60 เท่าเมื่อเทียบกับกลุ่มที่มีพลังใจสูง (95% CI: 1.066-19.842, <em>p</em>-value = 0.041) การมองเห็นคุณค่าในตนเองระดับต่ำ มีโอกาสเกิดภาวะซึมเศร้าได้ 11.90 เท่า เมื่อเทียบกับกลุ่มที่มองเห็นคุณค่าในตนเองสูง (95% CI: 2.132-66.382, <em>p</em>-value&lt;0.01)</p> <p> </p> <p><strong> </strong></p> สมเกียรติ วรยุทธการ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 11 จังหวัดนครศรีธรรมราช https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he04.tci-thaijo.org/index.php/JODPCIH/article/view/3353 Sun, 31 Aug 2025 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับกับสภาวะสุขภาพช่องปาก และการเกิดฟันผุของฟันกรามซี่ที่ 1 ที่ได้รับการเคลือบหลุมร่องฟัน อำเภอตะกั่วทุ่ง จังหวัดพังงา https://he04.tci-thaijo.org/index.php/JODPCIH/article/view/3312 <p>โรคฟันผุเป็นโรคที่สามารถป้องกันได้แต่ยังคงพบมากในนักเรียนประถมศึกษาตอนต้น การวิจัยแบบภาคตัดขวางครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาวะสุขภาพช่องปาก พฤติกรรมทันตสุขภาพ การยึดติดของสารเคลือบหลุมร่องฟัน และปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับสภาวะสุขภาพช่องปากและการเกิดฟันผุของฟันกรามซี่ที่ 1 ที่ได้รับการเคลือบหลุมร่องฟัน อำเภอตะกั่วทุ่ง จังหวัดพังงา กลุ่มตัวอย่างที่ศึกษาจำนวนทั้งหมด 245 คน เป็นเด็กนักเรียนชั้นประถมศึกษาที่เคยได้รับการเคลือบหลุมร่องฟันกรามแท้ซี่ที่ 1 เมื่อปีการศึกษา 2566 การเก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้ด้วยแบบบันทึกข้อมูลส่วนบุคคลและการตรวจประเมินการยึดติดของสารเคลือบหลุมร่องฟัน ประเมินคราบจุลินทรีย์ และประเมินสภาวะฟันผุในฟันกรามแท้ซี่ที่ 1 เครื่องมือวิจัยได้ผ่านการตรวจสอบความถูกต้องด้วยการปรับมาตรฐานและหาความเที่ยง ผลการศึกษาพบว่ากลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศชาย (ร้อยละ 55.5) มีฟันผุ (ร้อยละ 46.9) ฟันมีคราบจุลินทรีย์ปานกลางถึงมาก (ร้อยละ 60.4) และพบฟันที่มีคราบจุลินทรีย์ผุ (ร้อยละ 22.6) ในด้านพฤติกรรมสุขภาพช่องปากพบว่ากลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ดื่มน้ำหวาน 4-7 วัน/สัปดาห์ (ร้อยละ 44.1) รองลงมาพฤติกรรมกินและเคี้ยวลูกอมอาหารแข็งเหนียวทุกมื้อ หรือ 4-7 ครั้ง/สัปดาห์ (ร้อยละ 41.2) การยึดติดของสารเคลือบหลุมร่องฟันบนซี่ที่ 1 ที่แตกต่างกันทำให้มีสภาวะสุขภาพฟันแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ การยึดติดของสารเคลือบหลุมร่องฟันแบบยึดติดสมบูรณ์มีสภาวะสุขภาพฟันแตกต่างจากการยึดติดสารเคลือบหลุมร่องฟันหลุดหมดอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ผลการวิเคราะห์ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ พบว่า เพศชาย (aOR = 4.63, 95% CI: 2.32-9.24, <em>p</em>-value &lt; 0.01) คราบจุลินทรีย์ (aOR = 3.56, 95% CI: 1.72-7.37<em> p</em>-value &lt; 0.01) กินอาหารระหว่างมื้อ (aOR = 7.43, 95% CI: 3.43-16.08, <em>p</em>-value &lt; 0.01) กินขนม 4-7 วัน/สัปดาห์ (aOR = 3.72, 95% CI: 1.77-7.84<em> p</em>-value &lt; 0.01) และกินลูกอม (aOR = 2.97, 95% CI: 1.59-5.55<em> p</em>-value &lt; 0.01) มีความสัมพันธ์กับสภาวะสุขภาพช่องปากและการเกิดฟันผุของฟันกรามซี่ที่ 1 ที่ได้รับการเคลือบหลุมร่องฟันที่ระยะเวลา 12 เดือน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ</p> หทัยรัตน์ เพิงรัตน์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 11 จังหวัดนครศรีธรรมราช https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he04.tci-thaijo.org/index.php/JODPCIH/article/view/3312 Sun, 31 Aug 2025 00:00:00 +0700 ความสำเร็จการพัฒนาห้องปฏิบัติการอณูชีววิทยาทางการแพทย์ โรงพยาบาลท่าศาลา https://he04.tci-thaijo.org/index.php/JODPCIH/article/view/2870 <p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ความสำเร็จของการพัฒนาห้องปฏิบัติการอณูชีววิทยาทางการแพทย์ในการจัดตั้งห้องปฏิบัติการและการประเมินผลการพัฒนาระบบคุณภาพห้องปฏิบัติการอณูชีววิทยาทางการแพทย์ กลุ่มงานเทคนิคการแพทย์และพยาธิวิทยาคลินิก โรงพยาบาลท่าศาลา การขอรับรองความสามารถห้องปฏิบัติการเครือข่ายตรวจโควิด 19 และและคัดกรองมะเร็งปากมดลูกด้วยวิธี HPV DNA ดำเนินการใช้รูปแบบการประเมินของสตัฟเฟิลบีม หรือ ซิปโมเดล ผลการศึกษาการจัดตั้งห้องปฏิบัติการผ่านการรับรองความสามารถห้องปฏิบัติการเครือข่ายกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์สำหรับการตรวจวิเคราะห์การติดเชื้อ SARS-CoV-2 ด้วยวิธี RT-qPCR และตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกด้วยวิธี HPV DNA testing ด้วยชุดน้ำยาฮิวแมนแพพพิลโลมาไวรัส เสี่ยงสูง 14 สายพันธุ์ และผลการวิเคราะห์ปัจจัยความสำเร็จ สรุปได้ว่า ปัจจัยสำคัญ 4 ด้านของห้องปฏิบัติการ คือ ด้านบริบท ด้านปัจจัยนำเข้าของการพัฒนา ด้านกระบวนการพัฒนา และด้านผลผลิตของการพัฒนา ปัจจัยเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญต่อการให้บริการแก่เครือข่ายโรงพยาบาลชุมชนในจังหวัดนครศรีธรรมราช จำนวน 5 แห่ง ผลการตรวจวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการที่ถูกต้อง รวดเร็ว และแม่นยำก่อให้เกิดความมั่นใจแก่ผู้รับบริการซึ่งเป็นความสำเร็จด้านบริหารจัดการที่ส่งผลต่อกำลังใจและภาคภูมิใจของผู้บริหารและผู้ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องทุกคน</p> ทวีศักดิ์ สายอ๋อง ; ลักขณากร ดุจวรรณ , กาญจนา แถลงดี ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 11 จังหวัดนครศรีธรรมราช https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he04.tci-thaijo.org/index.php/JODPCIH/article/view/2870 Sun, 31 Aug 2025 00:00:00 +0700 สหวิทยาการสำหรับการป้องกันควบคุมโรคติดต่อ https://he04.tci-thaijo.org/index.php/JODPCIH/article/view/3486 <p>การป้องกันโรคเป็นการแทรกแซงที่เฉพาะเจาะจงตามประชากรและตามบุคคลเพื่อการป้องกันขั้นปฐมภูมิและขั้นทุติยภูมิ โดยมุ่งหวังที่จะลดภาระของโรคและปัจจัยเสี่ยงที่เกี่ยวข้องให้เหลือน้อยที่สุด กลยุทธ์เหล่านี้ไม่เพียงแต่มีจุดมุ่งหมายเพื่อป้องกันการเกิดโรคผ่านการลดความเสี่ยงเท่านั้น แต่ยังรวมถึงภาวะแทรกซ้อนที่ตามมาของโรคที่แสดงออกด้วย ธรรมชาติของการเกิดโรคสามารถจำแนกได้เป็น 5 ระยะ ได้แก่ ระยะเริ่มต้น ระยะที่ไวต่อโรค ระยะกึ่งแสดงอาการ ระยะทางคลินิก และระยะฟื้นตัว/พิการ/เสียชีวิต ดังนั้น มาตรการป้องกันควบคุมโรคจึงสอดคล้องตรงกัน ซึ่งได้ออกแบบไว้ ครอบคลุม 5 ระยะ ได้แก่ 1) การป้องกันระดับปฐมภูมิปฐมภูมิ 2) การป้องกันระดับปฐมภูมิ 3) การป้องกันระดับทุติยภูมิ 4) การป้องกันระดับตติยภูมิ และ 5) การป้องกันระดับจตุรภูมิ พลวัตรการเปลี่ยนแปลงของสรรพสิ่งในโลก ทั้งด้านชีววิทยา กายภาพ สังคมการเปลี่ยนแปลง อาทิเช่น ชีววิทยาวิวัฒนาการ การขยายตัวของความเป็นเมือง สังคมสูงอายุ ภัยธรรมชาติและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศส่งผลต่อสุขภาวะและคุณภาพชีวิตของมนุษย์ทั้งทางบวกและทางลบโดยเฉพาะการอุบัติของโรคอุบัติใหม่และโรคอุบัติซ้ำและภัยสุขภาพจากสิ่งแวดล้อมและวิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไป ปัจจัยการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เร่งเร้ากระตุ้นให้เกิดการสร้างและพัฒนาองค์ความรู้ใหม่ แนวทาง กลยุทธ์ ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย และนวัตกรรมในการป้องกันควบคุมโรคและภัยสุขภาพ บทความนี้เป็นการรวบรวม วิเคราะห์ และสังเคราะห์ผลงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับสหวิทยาการสำหรับการป้องกันควบคุมโรคติดต่อของคณะผู้นิพนธ์และทบทวนวรรณกรรมและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ในประเด็นสหวิทยาการและการป้องกันควบคุมโรคติดต่อ ที่เผยแพร่ตีพิมพ์ในวารสารวิชาการทั้งในประเทศไทย และระดับนานาชาติ ตั้งแต่ปี พศ. 2494 ถึงปี พ.ศ. 2568 “สหวิทยาการการป้องกันควบคุมโรค” ซึ่งหลอมรวมศาสตร์ด้านการป้องกันควบคุมโรค การส่งเสริมสุขภาพ อนามัยสิ่งแวดล้อมอาชีวอนามัย และสหวิทยาการอื่น ๆ เข้าด้วยกัน จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งยวดสำหรับนักสาธารณสุข และบุคลากรทางการแพทย์ สาธารณสุข และสหวิชาชีพที่เกี่ยวข้อง อื่น ๆ ในการร่วมกันสร้าง “ระบบสุขภาพที่เข้มแข็ง ยั่งยืน และการบรรลุสุขภาวะของประชาชนไทยและมวลมนุษยชาติ”</p> สุรชาติ โกยดุลย์ , ทวีศักดิ์ สายอ๋อง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 11 จังหวัดนครศรีธรรมราช https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he04.tci-thaijo.org/index.php/JODPCIH/article/view/3486 Sun, 31 Aug 2025 00:00:00 +0700