https://he04.tci-thaijo.org/index.php/JRNuHs/issue/feed Journal of Rajabhat Nursing and Health Sciences 2024-11-22T21:07:55+07:00 รศ.ดร.วราทิพย์ แก่นการ waratip65@hotmail.com Open Journal Systems <p>Journal of Rajabhat Nursing and Health Sciences </p> <p> ISSN: 3056-9788</p> <p> Publication Frequency : 3 issues per year (January-June), (May-August), (September-December)</p> <p>ภาษาไทย : วารสารราชภัฏการพยาบาลและวิทยาศาสตร์สุขภาพ</p> <p> กำหนดออก : 3 ฉบับต่อปี ฉบับที่ 1 เดือนมกราคม – เมษายน </p> <p> ฉบับที่ 2 เดือนพฤษภาคม - สิงหาคม</p> <p> ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม</p> <p>วารสารราชภัฏการพยาบาลและวิทยาศาสตร์สุขภาพ จัดทำขึ้นโดยคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี เพื่อเป็นช่องทางสำหรับการเผยแพร่ผลงานวิจัยและผลงานทางวิชาการ และนวัตกรรมของพยาบาลและบุคลากรสายวิทยาศาสตร์สุขภาพ และเป็นสื่อกลางเชื่อมโยงองค์ความรู้ด้านระบบสุขภาพกับภาคีองค์กร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง</p> https://he04.tci-thaijo.org/index.php/JRNuHs/article/view/2432 ยุทธศาสตร์และกลยุทธ์การขับเคลื่อนการปฏิรูปคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏในยุคการเปลี่ยนแปลง: นวัตกรรมเพื่อชุมชนตามแนวคิดชุมชนเป็นฐาน 2024-11-22T19:52:46+07:00 หทัยชนก บัวเจริญ hathaichanoknpru@gmail.com <p>บทความวิชาการนี้เป็นการนำเสนอข้อคิดเห็นเชิงนโยบายต่อการทบทวนยุทธศาสตร์และกลยุทธ์ ในการขับเคลื่อนประเด็นการสร้างและพัฒนานวัตกรรมเพื่อชุมชนตามแนวคิดชุมชนเป็นฐาน เพื่อเร่งรัด การปฏิรูปคณะพยาบาลศาสตร์ ในสังกัดมหาวิทยาลัยราชภัฏ โดยผู้บริหารสามารถวางระบบและกลไก เชิงนโยบายด้วยยุทธศาสตร์ 3 ประการ คือ 1) ยุทธศาสตร์ปรับปรุงการบริหารจัดการองค์กรให้ที่เอื้อต่อ การพัฒนานวัตกรรมชุมชนโดยยึดพื้นที่เป็นหลัก 2) ยุทธศาสตร์การปรับปรุงและพัฒนาหลักสูตรใหม่ เพื่อปรับปรุงหลักสูตรใหม่ที่พัฒนานวัตกรรมเพื่อชุมชนและสร้างการเรียนรู้หลากหลายตามสมรรถนะของมหาวิทยาลัยราชภัฏ 3) ยุทธศาสตร์การวิจัยและการถ่ายโอนองค์ความรู้สู่การพัฒนาหลักสูตรการเรียน การสอนสู่ความเป็นเลิศเฉพาะทาง ทั้งนี้หากผู้บริหารคณะพยาบาลศาสตร์ในสังกัดมหาวิทยาลัยราชภัฏ ได้ตระหนักความสำคัญและความจำเป็นดังกล่าวด้วยการกำหนดกลยุทธ์ ตัวชี้วัด จะสามารถทำให้ คณะพยาบาลศาสตร์สามารถขับเคลื่อนไปได้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง</p> 2024-11-22T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Rajabhat Nursing and Health Sciences https://he04.tci-thaijo.org/index.php/JRNuHs/article/view/2434 ปัจจัยทำนายพฤติกรรมการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฎรำไพพรรณี 2024-11-22T20:03:57+07:00 วาสนา สุขไพศาล wasana.so@rbru.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาปัจจัยทำนายพฤติกรรมการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฎรำไพพรรณี กลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฎรำไพพรรณี จำนวน 458 คน เลือกแบบเจาะจง เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามระหว่างเดือนตุลาคม - ธันวาคม 2565 สถิติที่ใช้ ได้แก่ สถิติเชิงพรรณนา สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ และการถดถอยพหุคูณ <br>ผลการวิจัยพบว่า พฤติกรรมการดื่มเครื่องแอลกอฮอล์ของนักศึกษาอยู่ในระดับต่ำ ( = 1.60, S.D. = 0.41) นักศึกษาเริ่มดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เมื่ออายุ 13 ปี และดื่มมากที่สุดเมื่ออายุ 19 ปี คิดเป็นร้อยละ 33.60 นักศึกษามีความรู้เกี่ยวกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อยู่ในระดับมาก (ตอบถูกร้อยละ 82.90) ทัศนคติต่อการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อยู่ในระดับมาก ( = 2.5, S.D. = 0.41) การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ พบว่า อายุที่เริ่มดื่ม รายได้เฉลี่ยต่อเดือน เกรดเฉลี่ยสะสม ความรู้เกี่ยวกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และทัศนคติต่อการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการดื่มแอลกอฮอล์ของนักศึกษาในระดับต่ำ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ทั้งนี้ระดับชั้นปี อายุที่เริ่มดื่ม ที่พักอาศัย และเพศมีอำนาจการทำนายพฤติกรรมการดื่มแอลกอฮอล์ของนักศึกษา ร้อยละ 9 (R2 = 0.09) โดยสมการทำนายในรูปคะแนนดิบดังนี้ พฤติกรรมการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ = 1.640 + 0.087 ระดับชั้นปี – 0.032 อายุที่เริ่มดื่ม + 0.088 ที่พักอาศัย – 0.099 เพศ</p> 2024-11-22T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Rajabhat Nursing and Health Sciences https://he04.tci-thaijo.org/index.php/JRNuHs/article/view/2435 การทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบเกี่ยวกับการเสริมสร้างความรอบรู้ทางสุขภาพ สำหรับผู้ป่วยความดันโลหิตสูง 2024-11-22T20:12:58+07:00 พิไลพร สุขเจริญ pilaiporn.suk@sru.ac.th <p>โรคความดันโลหิตสูงเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญของประเทศไทยอาจส่งผลทำให้ผู้ป่วยเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง พิการ และเสียชีวิตได้ การทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อสรุปวิธีการเสริมสร้างความรอบรู้ทางสุขภาพสำหรับผู้ป่วยความดันโลหิตสูงจากงานวิจัยตั้งแต่ปีพ.ศ. 2554 - 2564 โดยใช้แนวทางการทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบของสถาบันโจแอนนาบริกส์ ผลการ สิบค้นอย่างเป็นระบบพบงานวิจัยทั้งหมด 12 เรื่อง เป็นงานวิจัยกึ่งทดลองที่ผ่านเกณฑ์การคัดเลือกทั้งหมด 5 เรื่อง เครื่องมือที่ใช้ในการทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบ ได้แก่ แบบประเมินคุณภาพงานวิจัย และแบบสกัดข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา และสถิติเชิงพรรณนา</p> 2024-11-22T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Rajabhat Nursing and Health Sciences https://he04.tci-thaijo.org/index.php/JRNuHs/article/view/2436 ผลของการประยุกต์ใช้เทคนิคทิคแทคโทร่วมกับอินโฟกราฟฟิกในการแปลผลก๊าซ ในหลอดเลือดแดงต่อความรู้และความพึงพอใจของนักศึกษาพยาบาลศาสตร์ชั้นปีที่ 3 คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี 2024-11-22T20:16:23+07:00 ยุทธชัย ไชยสิทธิ์ yuttachai.c@ubru.ac.th <p><span style="font-weight: 400;">การวิจัยเชิงกึ่งทดลองแบบกลุ่มเดียวเปรียบเทียบก่อนและหลังครั้งนี้</span> <span style="font-weight: 400;">มีวัตถุประสงค์เพื่อ&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; 1) เปรียบเทียบความรู้การแปลก๊าซในหลอดเลือดแดงก่อนและหลังการเรียนรู้ด้วยสื่อการสอนที่ประยุกต์ใช้เทคนิคทิคแทคโทร่วมกับอินโฟกราฟฟิก 2) ศึกษาความพึงพอใจต่อการใช้สื่อการสอนที่ประยุกต์ใช้เทคนิคทิคแทคโทร่วมกับอินโฟกราฟฟิก ตัวอย่างคือ นักศึกษาพยาบาลศาสตร์ชั้นปีที่ 3 คณะพยาบาลศาสตร์มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี จำนวน 25 คน สุ่มอย่างง่าย เก็บรวบรวมข้อมูลเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2566 เครื่องมือประกอบด้วย 1) แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล 2) แบบทดสอบการแปลผลก๊าซในหลอดเลือดแดงก่อนหลังเข้าร่วมโปรแกรม 3) แบบสอบถามความพึงพอใจต่อการใช้สื่อการสอน แบบทดสอบมีค่าความตรงเชิงเนื้อหา 1.0 ค่าความเชื่อมั่น 0.86 ค่าความยากง่าย 0.36 ค่าอำนาจจำแนก 0.34 ส่วนแบบวัดความ&nbsp; &nbsp; &nbsp; พึงพอใจมีค่าความตรงเชิงเนื้อหา 0.92 และค่าความเชื่อมั่น 0.91 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนา ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติทดสอบทีที่ไม่เป็นอิสระต่อกัน&nbsp;</span></p> <p><span style="font-weight: 400;">ผลการวิจัยพบว่า 1) ภายหลังเข้าร่วมโปรแกรม ตัวอย่างมีคะแนนความรู้การแปลผลก๊าซในหลอดเลือดแดงเฉลี่ยเพิ่มขึ้นจาก 3.68 คะแนน (S.D. = 2.51) เป็น 9.24 คะแนน (S.D. = 0.93) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 (t=12.53, p=0.000) 2) ตัวอย่างมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก&nbsp; (</span><span style="font-weight: 400;">x</span><span style="font-weight: 400;"> = 4.40, S.D. = 0.53) ดังนั้น สถานศึกษาพยาบาลสามารถนำนวัตกรรมที่ประยุกต์ใช้เทคนิคทิคแทคโทร่วมกับอินโฟ</span>กราฟฟิกไปใช้จัดการเรียนสำหรับนักศึกษาพยาบาลทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติ รวมทั้งการพัฒนาต่อยอดนวัตกรรมจากการศึกษาครั้งนี้</p> 2024-11-22T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Rajabhat Nursing and Health Sciences https://he04.tci-thaijo.org/index.php/JRNuHs/article/view/2437 ความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้เรื่องโรคมะเร็งเต้านมกับพฤติกรรมการตรวจเต้านมด้วยตนเองของนักศึกษาพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี 2024-11-22T20:20:54+07:00 มยุรา เรืองเสรี jiab7019@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้เป็นวิจัยเชิงพรรณนา มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับการรับรู้เรื่องโรคมะเร็งเต้านมของนักศึกษาพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี 2) ศึกษาระดับพฤติกรรมการตรวจเต้านมด้วยตนเองของนักศึกษาพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี 3) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการรับเรื่องรู้โรคมะเร็งเต้านมและพฤติกรรมการตรวจเต้านมของนักศึกษาพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี กลุ่มตัวอย่างคือ นักศึกษาพยาบาลศาสตร์ ชั้นปีที่1-3 มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี ปีการศึกษา 2565 จำนวน 149 คน สุ่มตัวอย่างแบบอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 3 ส่วน แบบสอบถามข้อมูลทั่วไปของกลุ่มตัวอย่าง แบบสอบถามการรับรู้เรื่องโรคมะเร็งเต้านม และแบบสอบถามพฤติกรรมการตรวจเต้านมด้วยตนเอง โดยผ่านการตรวจสอบความตรงตามเนื้อหามีค่าเท่ากับ 0.84 และ 0.75 ตามลำดับ ส่วนค่าความเชื่อมั่นค่าสัมประสิทธิ์อัลฟาครอนบาค เท่ากับ 0.88 และ 0.80 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การแจกแจง ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ ใช้ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปคอมพิวเตอร์<br>ผลการศึกษา พบว่า 1) กลุ่มตัวอย่างมีระดับการรับรู้เรื่องโรคมะเร็งเต้านมโดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง (𝑥̅ = 3.83 , S.D. = .48) 2) กลุ่มตัวอย่างมีระดับพฤติกรรมการตรวจเต้านมด้วยตนเองอยู่ในระดับสูง ร้อยละ16.1 ระดับปานกลาง ร้อยละ 72.4 และระดับต่ำ ร้อยละ11.4 3) การรับรู้เรื่องโรคมะเร็งเต้านมมีความสัมพันธ์ทางบวกในระดับปานกลางกับพฤติกรรมการตรวจเต้านมด้วยตนเองของกลุ่มตัวอย่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ0.01 (r=0.45) <br>ผลการวิจัยสามารถใช้เป็นแนวทางส่งเสริมพฤติกรรมการตรวจเต้านมด้วยตนเองโดยเฉพาะอย่างยิ่งการรับรู้เรื่องโรคมะเร็งเต้านมซึ่งมีความสัมพันธ์ทางบวกกับพฤติกรรมการตรวจเต้านมด้วยตนเองของนักศึกษาพยาบาล</p> 2024-11-22T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Rajabhat Nursing and Health Sciences https://he04.tci-thaijo.org/index.php/JRNuHs/article/view/2439 นวัตกรรมครีมและหมวกหมักผมสมุนไพรกําจัดไข่ไร้เหา 2024-11-22T20:47:58+07:00 รัตนมณี ไสวดี Rattanamanee@reru.ac.th <p>การพัฒนานวัตกรรมนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างนวัตกรรมครีมและหมวกหมักผมสมุนไพรกําจัดไข่ ไร้เหา และประเมินความพึงพอใจในการใช้นวัตกรรมหมวกหมักผมสมุนไพรกําจัดไข่ไร้เหา นวัตกรรมได้ผ่านการตรวจสอบโดยผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 2 ท่าน และนำไปทดลองใช้กับกลุ่มเป้าหมาย ทำการเลือกตัวอย่างแบบเจาะจง จำนวน 15 คน คือ ครูโรงเรียนบ้านเหล่าแขมดงกลาง ตําบลเกาะแก้ว อําเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด จํานวน 5 คน ผู้ปกครองเด็กปฐมวัยอายุ 6-12 ปี ที่มีเหาในชุมชนบ้านนากระตึบ ตําบลท่าม่วง อําเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด จํานวน 10 คน โดยทดลองครีมและหมวกหมักผมสมุนไพรกําจัดไข่ไร้เหา 3 ครั้ง ใน 1 สัปดาห์ และใช้แบบประเมินความพึงพอใจในการใช้นวัตกรรมครีมและหมวกหมักผมสมุนไพรกําจัดไข่ไร้เหาในการประเมินผล<br>ผลการศึกษา พบว่า ระดับความพึงพอใจ ด้านคุณภาพและกระบวนการ โดยรวมอยู่ในระดับดีมาก มีค่าคะแนนเฉลี่ยรวม 4.88 การประเมินรายละเอียดแต่ละด้านมีด้านความคุ้มค่าต่อการซื้อ อยู่ในระดับดี ค่าเฉลี่ย 4.00 คะแนน ซึ่งบรรลุวัตถุประสงค์ในการพัฒนานวัตกรรม</p> 2024-11-22T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Rajabhat Nursing and Health Sciences https://he04.tci-thaijo.org/index.php/JRNuHs/article/view/2440 นวัตกรรม Smart Brain แอปพลิเคชันพัฒนาสมองประลองความจำ 2024-11-22T20:52:08+07:00 สุภเวช กรรไลย์ 63440101072@reru.ac.th <p>นวัตกรรม Smart Brain มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ประเมินภาวะสมองเสื่อมของผู้สูงอายุจากแอปพลิ เคชันและป้องกันอาการรุนแรงจากภาวะสมองเสื่อมที่เพิ่มมากขึ้นในผู้สูงอายุที่มีความเสี่ยงภาวะสมองเสื่อมและมีภาวะสมองเสื่อมระดับเล็กน้อย กลุ่มตัวอย่างคือผู้สูงอายุที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป ทั้งเพศชายและเพศหญิง อาศัยอยู่ในชุมชนตำบลท่าม่วง อำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด โดยทำการสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง จำนวน 30 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบประเมินภาวะสมองเสื่อมจากแอปพลิเคชัน และแบบประเมินความพึงพอใจในการใช้แอปพลิเคชัน<br>ผลการศึกษา พบว่า จำนวนผู้สูงอายุที่มีความเสี่ยงของภาวะสมองเสื่อมไม่เพิ่มขึ้นจากเดิม คิดเป็นร้อยละ 93.5 และผู้สูงอายุที่มีภาวะสมองเสื่อมมีค่าคะแนนสมองเสื่อมเท่าเดิม คิดเป็นร้อยละ 6.5 ดังนั้น แอปพลิเคชันสามารถชะลอความเสื่อมของสมองได้ ร้อยละ 100 คือ อย่างไรก็ตาม แอปพลิเคชันช่วยชะลอภาวะสมองเสื่อมได้ แต่ไม่สามารถใช้ในการลดภาวะสมองเสื่อมในผู้สูงอายุที่มีภาวะสมองเสื่อม</p> 2024-11-22T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Rajabhat Nursing and Health Sciences