https://he04.tci-thaijo.org/index.php/PPHJ/issue/feed
วารสารโรงพยาบาลพหลพลพยุหเสนา
2025-03-03T09:41:49+07:00
นพ.ชนาธิป ไชยเหล็ก
phaholonline@gmail.com
Open Journal Systems
<p>วารสารโรงพยาบาลพหลพลพยุหเสนา (Phaholpolpayuhasena Hospital Journal: PPHJ) หรือชื่อเดิมคือ กาญจนบุรีเวชสาร (Kanchanaburi Medical Journal) เผยแพร่ผลงานวิชาการด้านการแพทย์ พยาบาล และสาธารณสุขให้แก่ผู้ที่ต้องการศึกษาค้นคว้าและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง</p>
https://he04.tci-thaijo.org/index.php/PPHJ/article/view/2603
ความสัมพันธ์ระหว่างแรงจูงใจในการสร้างเสริมสุขภาพกับการออกกำลังกาย ของ อสม. ตำบลท่ามะขาม อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี
2024-12-25T13:27:38+07:00
สุนทร หงษ์ทอง
H.Sunthorn@hotmail.com
<p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>: </strong>เพื่อศึกษาแรงจูงใจในการสร้างเสริมสุขภาพการออกกำลังกายและความสัมพันธ์ระหว่างแรงจูงใจในการสร้างเสริมสุขภาพกับการออกกำลังกายของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ตำบลท่ามะขาม อำเภอเมืองจังหวัดกาญจนบุรี</p> <p><strong>วิธีการวิจัย</strong><strong>: </strong>เป็นการศึกษาภาคตัดขวางเชิงวิเคราะห์ ประชากรเป็น อสม. ตำบลท่ามะขาม อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี ที่ยังปฏิบัติงาน ณ เดือนกรกฎาคม 2566 จำนวน 188 คน และเก็บข้อมูลทั้งหมดเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนาและค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน</p> <p><strong>ผลการวิจัย</strong><strong>: </strong>อสม. ส่วนใหญ่มีแรงจูงใจในการสร้างเสริมสุขภาพโดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง (ร้อยละ 75.5)ส่วนใหญ่ออกกำลังกายไม่ครบ (ร้อยละ 38.3) และไม่ออกกำลังกายเลย (ร้อยละ 30.3) แรงจูงใจในการสร้างเสริมสุขภาพมีความสัมพันธ์เชิงบวกกับการออกกำลังกายอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (r=0.173, p-value=0.022) และเมื่อแยกรายองค์ประกอบพบว่า ความคาดหวังในผลลัพธ์ และความคาดหวังความสามารถมีความสัมพันธ์เชิงบวกกับการออกกำลังกายอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (r=0.238, 0.162; p-value=0.001, 0.032 ตามลำดับ)</p> <p><strong>สรุปผล: </strong>ความสัมพันธ์ระหว่างแรงจูงใจในการสร้างเสริมสุขภาพกับการออกกำลังกายของ อสม. พบว่ามีความสัมพันธ์กัน โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลควรส่งเสริมให้ อสม. ออกกำลังกาย โดยเพิ่มความคาดหวังความสามารถ และความคาดหวังในผลลัพธ์ของการออกกำลังกายให้มากยิ่งขึ้น</p>
2025-02-21T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 โรงพยาบาลพหลพลพยุหเสนา
https://he04.tci-thaijo.org/index.php/PPHJ/article/view/2777
ผลของการพยาบาลระบบสนับสนุนและให้ความรู้ต่อพฤติกรรมการส่งเสริมสุขภาพดีของผู้สูงอายุ
2025-01-22T18:06:43+07:00
เบญจา อิศรางกูร ณ อยุธยา
benjanote7@gmail.com
<p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>:</strong> 1) เพื่อเปรียบเทียบการปฏิบัติกิจวัตรประจำวันและพฤติกรรมการส่งเสริมสุขภาพดีของกลุ่มตัวอย่าง ระยะก่อนทดลองและหลังทดลอง ภายในกลุ่มเปรียบเทียบและกลุ่มทดลอง 2) เพื่อเปรียบเทียบการปฏิบัติกิจวัตรประจำวัน และพฤติกรรมการส่งเสริมสุขภาพดีของกลุ่มตัวอย่าง ระยะหลังทดลอง ระหว่างกลุ่มเปรียบเทียบและกลุ่มทดลอง</p> <p><strong>วิธีการวิจัย:</strong> เป็นการวิจัยกึ่งทดลองแบบสองกลุ่มทดสอบก่อนหลัง กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้สูงอายุอายุระหว่าง 60-79 ปี อาศัยอยู่ในเขตพื้นที่ของศูนย์สุขภาพชุมชนเมืองเทศบาลเมืองกาญจนบุรี จำนวน 60 คน แบ่งเป็นกลุ่มเปรียบเทียบและกลุ่มทดลองกลุ่มละ 30 คน คัดเลือกตัวอย่างแบบเจาะจง เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา การทดสอบไคสแควร์ และการทดสอบค่าที</p> <p><strong>ผลการวิจัย:</strong> กลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยการปฏิบัติกิจวัตรประจำวัน สูงกว่าก่อนทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (19.83+0.59 และ 13.03+1.03; p-value <0.001) และหลังการทดลองมีค่าสูงกว่ากลุ่มเปรียบเทียบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (19.83+0.59 และ 19.40+1.77; p–value <0.001) เช่นเดียวกับคะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมการส่งเสริมสุขภาพดี สูงกว่าก่อนทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (13.83+0.75 และ 8.87+1.85; p–value < 0.001) และหลังการทดลองสูงกว่ากลุ่มเปรียบเทียบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (13.83+0.75 และ 10.27+1.84; p–value <0.001)</p> <p><strong>สรุปผล:</strong> การพยาบาลระบบสนับสนุนและให้ความรู้ต่อพฤติกรรมการส่งเสริมสุขภาพดีของผู้สูงอายุ มีส่วนช่วยให้ผู้สูงอายุดำเนินกิจวัตรประจำวันดีขึ้นและมีพฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเองที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพ</p>
2025-03-04T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 โรงพยาบาลพหลพลพยุหเสนา
https://he04.tci-thaijo.org/index.php/PPHJ/article/view/2807
ผลของโปรแกรมการดูแลสายสวนปัสสาวะต่อความรู้และการปฏิบัติของผู้ดูแลผู้ป่วย ศัลยกรรมกระดูกและข้อที่ใส่คาสายสวนปัสสาวะ โรงพยาบาลพหลพลพยุหเสนา จังหวัดกาญจนบุรี
2025-02-10T09:53:36+07:00
รัชดาวรรณ ล่องลอย
ratchadawan.toy@gmail.com
สุภาภรณ์ ประยูรมหิศร
icsafetyphahol@gmail.com
<p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>:</strong> เพื่อเปรียบเทียบความรู้และการปฏิบัติเพื่อป้องกันการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะของผู้ดูแลก่อนและหลังได้รับโปรแกรม</p> <p><strong>วิธีการวิจัย</strong><strong>:</strong> การวิจัยกึ่งทดลองแบบกลุ่มเดียววัดผลก่อนและหลังการทดลอง ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ - สิงหาคม 2567 กลุ่มตัวอย่างคัดเลือกแบบเจาะจง ได้แก่ ผู้ดูแลผู้ป่วยศัลยกรรมกระดูกและข้อที่ใส่คาสายสวนปัสสาวะ ในโรงพยาบาลพหลพลพยุหเสนา จังหวัดกาญจนบุรี จำนวน 52 คน เครื่องมือที่ใช้ดำเนินการวิจัย ได้แก่ โปรแกรมการดูแลสายสวนปัสสาวะที่ประยุกต์ใช้ทฤษฎีการเผยแพร่นวัตกรรมของโรเจอร์ เครื่องมือที่ใช้รวบรวมข้อมูลประกอบด้วย แบบสอบถามความรู้การดูแลผู้ป่วยที่ใส่คาสายสวนปัสสาวะ และแบบประเมินการปฏิบัติการดูแลสายสวนปัสสาวะของผู้ดูแล วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาและการทดสอบทีแบบไม่เป็นอิสระต่อกัน</p> <p><strong>ผลการวิจัย</strong><strong>:</strong> ผู้ดูแลผู้ป่วยมีคะแนนเฉลี่ยความรู้การดูแลผู้ป่วยที่ใส่คาสายสวนปัสสาวะหลังการใช้โปรแกรมสูงกว่าก่อนการใช้โปรแกรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (19.25±0.95 และ 9.96±2.22; p<0.001) และมีคะแนนเฉลี่ย การปฏิบัติหลังการใช้โปรแกรมสูงกว่าก่อนการใช้โปรแกรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (8.68±0.96 และ 4.35±1.05; p<0.001)</p> <p><strong>สรุปผล: </strong>การวิจัยครั้งนี้แสดงให้เห็นว่าโปรแกรมการดูแลสายสวนปัสสาวะที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้น โดยประยุกต์ใช้ทฤษฎีการเผยแพร่นวัตกรรมของโรเจอร์ ส่งผลให้ผู้ดูแลผู้ป่วยศัลยกรรมกระดูกและข้อที่ใส่คาสายสวนปัสสาวะมีความรู้และมีการปฏิบัติในการดูแลสายสวนปัสสาวะถูกต้องเพิ่มขึ้น</p>
2025-03-07T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 โรงพยาบาลพหลพลพยุหเสนา
https://he04.tci-thaijo.org/index.php/PPHJ/article/view/2876
ประสิทธิผลการบำบัดฟื้นฟูผู้ใช้ยาเสพติดโดยชุมชนเป็นฐาน ในเรือนจำอำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี
2025-03-03T09:41:49+07:00
นภาพล เอกสาร
napapol11@gmail.com
<p><strong>วัตถุประสงค์</strong>: เพื่อศึกษาประสิทธิผลการบำบัดฟื้นฟูผู้ใช้ยาเสพติดโดยชุมชนเป็นฐาน และความพึงพอใจต่อ การบำบัดฟื้นฟูผู้ใช้ยาเสพติดโดยชุมชนเป็นฐาน ในเรือนจำอำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี</p> <p><strong>วิธีการวิจัย</strong>: เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง แบบกลุ่มเดียวทดสอบก่อนหลัง กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้เสพยาเสพติดที่ต้องโทษและจะพ้นโทษภายใน 1 ปี จำนวน 45 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ รูปแบบการบำบัดฟื้นฟูผู้ใช้ยาเสพติดโดยชุมชนเป็นฐาน และแบบสอบถาม เก็บข้อมูลในวันที่ 19 ธันวาคม 2567 และ 31 มกราคม 2568 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา และการทดสอบค่าทีแบบไม่เป็นอิสระต่อกัน</p> <p><strong>ผลการวิจัย</strong>: การบำบัดฟื้นฟูผู้ใช้ยาเสพติดโดยชุมชนเป็นฐาน ทำให้กลุ่มตัวอย่างมีความรู้เกี่ยวกับยาเสพติด ทัศนคติต่อการใช้ยาเสพติด การเห็นคุณค่าในตนเอง และความตั้งใจในการเลิกยาเสพติดเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05) มีความพึงพอใจต่อการบำบัดฟื้นฟูผู้ใช้ยาเสพติดโดยชุมชนเป็นฐานในระดับมาก ร้อยละ 55.6 รองลงมาคือ ระดับปานกลาง และน้อย ร้อยละ 40.0 และ 4.4 ตามลำดับ</p> <p><strong>สรุปผล: </strong>หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรนำวิธีการบำบัดฟื้นฟูผู้ใช้ยาเสพติดตามรูปแบบที่ดำเนินการไปใช้ในการบำบัดฟื้นฟูผู้ใช้ยาเสพติดทุกคนก่อนที่จะพ้นโทษในเรือนจำอำเภอทองผาภูมิ และอาจพิจารณานำไปใช้ในเรือนจำอื่นต่อไป</p>
2025-03-14T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 โรงพยาบาลพหลพลพยุหเสนา
https://he04.tci-thaijo.org/index.php/PPHJ/article/view/1956
ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อการกำเริบเฉียบพลันของผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังในโรงพยาบาลพหลพลพยุหเสนา จังหวัดกาญจนบุรี
2024-10-21T13:04:14+07:00
วิชิต ธีรไกรศรี
ripper_bie@hotmail.com
<p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>:</strong> เพื่อศึกษาความชุกของการกำเริบเฉียบพลันและปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการกำเริบเฉียบพลันของผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังที่ต้องได้รับการรักษาในโรงพยาบาล</p> <p><strong>วิธีการวิจัย</strong><strong>:</strong> การวิจัยภาคตัดขวางเชิงวิเคราะห์ในผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังที่มารับการรักษาที่คลินิกโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง โรงพยาบาลพหลพลพยุหเสนา จังหวัดกาญจนบุรี ตั้งแต่เดือนมกราคม ถึง เมษายน 2567 จำนวน 200 ราย เก็บข้อมูลปัจจัยที่อาจมีผลต่อการกำเริบเฉียบพลัน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การทดสอบไคสแควร์ หรือการทดสอบฟิชเชอร์ และวิเคราะห์หลายตัวแปรด้วยการวิเคราะห์การถดถอยโลจิสติกเชิงพหุ</p> <p><strong>ผลการวิจัย</strong><strong>:</strong> ผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังมีการกำเริบเฉียบพลันที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลภายใน 1 ปี มีจำนวน 33 ราย (ร้อยละ 16.5) ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการกำเริบเฉียบพลันที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05) ได้แก่ โรคไทรอยด์เป็นพิษ ระดับความรุนแรงตามการจัดกลุ่มของ GOLD แรงสูดยาพ่นไม่เพียงพอ ภาวะมลพิษรอบบ้าน และการใช้ออกซิเจนที่บ้าน จากการวิเคราะห์ หลายตัวแปร ภาวะมลพิษรอบบ้านมีความเสี่ยงเป็น 11.37 เท่า (adjusted OR=11.37, 95% CI: 3.47–37.23; p<0.001) และการใช้ออกซิเจนที่บ้านมีความเสี่ยงเป็น 6.34 เท่า (adjusted OR=6.34, 95% CI: 2.38–16.88; p<0.001)</p> <p><strong>สรุปผล:</strong> ความชุกของการกำเริบของผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังที่ต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลพหลพลพยุหเสนา เท่ากับร้อยละ 16.5 โดยปัจจัยที่มีผลกับการกำเริบเฉียบพลัน ได้แก่ ภาวะมลพิษรอบบ้านและการใช้ออกซิเจนที่บ้าน</p>
2025-04-04T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 โรงพยาบาลพหลพลพยุหเสนา