https://he04.tci-thaijo.org/index.php/PPHJ/issue/feed วารสารโรงพยาบาลพหลพลพยุหเสนา 2025-07-02T13:02:25+07:00 นพ.ชนาธิป ไชยเหล็ก phaholonline@gmail.com Open Journal Systems <p><strong>วารสารโรงพยาบาลพหลพลพยุหเสนา (Phaholpolpayuhasena Hospital Journal: PPHJ)</strong> หรือชื่อเดิมคือ กาญจนบุรีเวชสาร (Kanchanaburi Medical Journal) เผยแพร่ผลงานวิชาการด้านการแพทย์ พยาบาล และสาธารณสุขให้แก่ผู้ที่ต้องการศึกษาค้นคว้าและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง</p> <p><strong>กำหนดเผยแพร่ทุก 4 เดือน ดังนี้</strong></p> <p>ฉบับที่ 1 มกราคม - เมษายน <em><strong>(ปิดรับผลงาน สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ หรือ จำนวนเต็ม)</strong></em></p> <p>ฉบับที่ 2 พฤษภาคม - สิงหาคม <strong><em>(ปิดรับผลงาน สิ้นเดือนมิถุนายน หรือ จำนวนเต็ม)</em></strong></p> <p>ฉบับที่ 3 กันยายน - ธันวาคม <strong><em>(ปิดรับผลงาน สิ้นเดือนตุลาคม หรือ จำนวนเต็ม) </em> </strong> </p> https://he04.tci-thaijo.org/index.php/PPHJ/article/view/2890 ผลของการฟื้นฟูการเดินในผู้ป่วยติดเตียงด้วยอุปกรณ์ฝึกเดินชนิดเคลื่อนย้ายง่าย ในพื้นที่อำเภอบ่อพลอยจังหวัดกาญจนบุรี 2025-03-03T13:17:04+07:00 ชญาทิดา สุภางค์อัษฎา ploy157@gmail.com <p><strong>วัตถุประสงค์:</strong> เพื่อศึกษาผลของการฟื้นฟูการเดินในผู้ป่วยติดเตียงด้วยอุปกรณ์ฝึกเดินชนิดเคลื่อนย้ายง่ายด้วยตนเองที่บ้าน</p> <p><strong>วิธีการวิจัย: </strong>เป็นการศึกษากึ่งทดลองแบบกลุ่มเดียว วัดผลก่อนและหลังทดลอง ระหว่างตุลาคม 2567 – กุมภาพันธ์ 2568 กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ป่วยติดเตียงในอำเภอบ่อพลอย จังหวัดกาญจนบุรี จำนวน 35 คน เลือกตัวอย่างแบบเจาะจง ผู้ป่วยได้รับอุปกรณ์ฝึกเดินชนิดเคลื่อนย้ายง่ายด้วยตนเองที่บ้านและโปรแกรมการฟื้นฟูการเดิน โดยผู้วิจัยเยี่ยมบ้าน 1 ครั้งต่อเดือน และให้ผู้ป่วยฝึกเดิน 3 ครั้งต่อสัปดาห์ เป็นระยะเวลา 5 เดือน เก็บข้อมูลด้วยแบบประเมิน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา และการทดสอบค่าทีแบบไม่เป็นอิสระต่อกัน</p> <p><strong>ผลการวิจัย: </strong>หลังทดลอง คะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมการดูแลตนเอง (25.57±2.32 และ 16.40±4.38) คะแนนเฉลี่ยคุณภาพชีวิต (52.09±7.73 และ 100.94±14.77) คะแนนเฉลี่ยความสามารถในการปฏิบัติกิจวัตรประจำวันดัชนีบาร์เธล (2.74±1.88 และ 12.00±1.57) เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt;0.001) ผู้ป่วยส่วนใหญ่มีความสามารถในการทรงตัวขณะเดินอยู่ในระดับเสี่ยงต่อการล้มปานกลาง (ร้อยละ 51.43) และ ส่วนใหญ่มีคุณภาพการเคลื่อนไหวของผู้ป่วยอยู่ในระดับดี (ร้อยละ 42.86) ซึ่งเพิ่มขึ้นจากจากก่อนทดลอง</p> <p><strong>สรุปผล:</strong> การฟื้นฟูการเดินด้วยอุปกรณ์ฝึกเดินชนิดเคลื่อนย้ายง่ายด้วยตนเองเป็นระยะเวลา 5 เดือน มีผลทำให้คุณภาพชีวิตและความสามารถในการปฏิบัติกิจวัตรประจำวันเพิ่มขึ้น รวมถึงความสามารถในการทรงตัว ขณะเดินและคุณภาพการเคลื่อนไหว จึงควรนำกระบวนการฟื้นฟูการเดินไปประยุกต์ใช้กับกลุ่มผู้ป่วยที่มีปัญหาทางการเคลื่อนไหวรายอื่นต่อไป</p> 2025-05-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 โรงพยาบาลพหลพลพยุหเสนา https://he04.tci-thaijo.org/index.php/PPHJ/article/view/3004 ความชุกและปัจจัยที่สัมพันธ์กับการขาดการรักษาต่อเนื่องของผู้ป่วยจิตเวชแบบผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลพหลพลพยุหเสนา 2025-03-26T16:55:25+07:00 สุกฤษณ์ วิธวาศิริ sukrit5314069@gmail.com <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>: </strong>เพื่อศึกษาความชุกและปัจจัยที่สัมพันธ์กับการขาดการรักษาต่อเนื่องของผู้ป่วยจิตเวชแบบผู้ป่วยนอกของโรงพยาบาลพหลพลพยุหเสนา</p> <p><strong>วิธีการวิจัย</strong><strong>: </strong>เป็นการทบทวนเวชระเบียนย้อนหลัง ด้วยการศึกษาภาคตัดขวางเชิงวิเคราะห์ ประชากรคือ ผู้ป่วยจิตเวชที่มารับบริการแบบผู้ป่วยนอกของโรงพยาบาลพหลพลพยุหเสนา ตั้งแต่ 1 มกราคม – 31 ธันวาคม 2566 ที่เข้ากับเกณฑ์การคัดเข้า เลือกตัวอย่างด้วยการสุ่มแบบหลายขั้นตอน โดยสุ่มแบบชั้นภูมิรวมจำนวน 224 ราย วิเคราะห์ข้อมูลทั่วไปด้วยสถิติเชิงพรรณนา เปรียบเทียบระหว่างกลุ่มด้วยการทดสอบ ไค-สแควร์ และวิเคราะห์ถดถอยพหุ</p> <p><strong>ผลการวิจัย</strong><strong>:</strong> ผู้ป่วยที่เข้าเกณฑ์การศึกษาจำนวน 224 ราย ผู้ป่วยที่มาตรวจติดตามการรักษาน้อยกว่า 1 เดือน มีจำนวน 62 ราย คิดเป็นความชุกของการขาดการรักษาต่อเนื่องร้อยละ 27.68 และเมื่อแบ่งตามระยะเวลาที่มาตรวจติดตามการรักษาส่วนใหญ่มาตรวจติดตามการรักษามากกว่า 10 เดือน จำนวน 110 ราย (ร้อยละ 49.11) ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการขาดการรักษาต่อเนื่องของผู้ป่วยจิตเวชแบบผู้ป่วยนอก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt;0.05) เมื่อควบคุมอิทธิพลของตัวแปร ได้แก่ อายุ สิทธิการรักษา การวินิจฉัยโรค ประเภทผู้ป่วย และจำนวนยาทางจิตเวช</p> <p><strong>สรุปผล: </strong>ผู้ป่วยจิตเวชที่มารับบริการแบบผู้ป่วยนอกที่โรงพยาบาลพหลพลพยุหเสนา ที่มาตรวจติดตามการรักษา มีความชุกของการขาดการรักษาต่อเนื่องค่อนข้างต่ำ ทีมสหสาขาวิชาชีพควรมีการประเมินปัจจัยเสี่ยงของการขาดการรักษาในผู้ป่วยแต่ละราย และวางแผนการดูแลอย่างเหมาะสม โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยงสูง เช่น กลุ่มอายุ 45–60 ปี ผู้มีโรคจิตเภทและโรคทางอารมณ์ ผู้ที่เป็นผู้ป่วยตรวจติดตามเดิม และผู้ที่ได้รับยาจิตเวชจำนวนมาก</p> 2025-06-04T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 โรงพยาบาลพหลพลพยุหเสนา https://he04.tci-thaijo.org/index.php/PPHJ/article/view/2982 การพัฒนางานบริการทางเภสัชกรรมโดยใช้ใบสรุปการใช้ยารูปภาพและการจัดยาตัวอย่างแบบ unit dose โรงพยาบาลสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 2025-04-02T14:15:51+07:00 แก้ว นาวีวิตรผดุง darkeawake@gmail.com <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>:</strong> เพื่อศึกษาผลของการเสริมความเข้าใจภาพรวมในการใช้ยาของผู้ป่วยด้วยการพัฒนางานบริการทางเภสัชกรรมโดยใช้ใบสรุปการใช้ยารูปภาพและการจัดยาตัวอย่างแบบยูนิตโดสต่อความร่วมมือในการใช้ยาของผู้ป่วย</p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong><strong>:</strong> เป็นการวิจัยและพัฒนาประกอบด้วย 2 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 การพัฒนาใบสรุปการใช้ยารูปภาพสำหรับผู้ป่วย มีผู้เข้าร่วมการวิจัย 30 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา และระยะที่ 2 การศึกษาผลของการเสริมความเข้าใจภาพรวมในการใช้ยาของผู้ป่วยด้วยใบสรุปการใช้ยารูปภาพและการจัดยาตัวอย่างแบบยูนิตโดสต่อความร่วมมือในการใช้ยาของผู้ป่วยใช้การศึกษากึ่งทดลอง แบบกลุ่มเดียว วัดผลก่อนและหลัง โดยประเมินความร่วมมือในการใช้ยาสำหรับชาวไทย (Medication Adherence Scale for Thais; MAST) มีผู้เข้าร่วมการวิจัย 60 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการทดสอบค่าทีแบบไม่เป็นอิสระต่อกัน</p> <p><strong>ผลการวิจัย</strong><strong>: </strong>การทดสอบความถูกต้องในการสื่อความหมายของสัญลักษณ์ภาพในใบสรุปการใช้ยารูปภาพจำนวน 7 ภาพ พบว่า ทุกสัญลักษณ์ภาพที่นำมาใช้มีความถูกต้องในการสื่อความหมายมากกว่าร้อยละ 85 และหลังการทดลองจ่ายยาผู้ป่วยโดยใช้ใบสรุปการใช้ยารูปภาพและการจัดยาตัวอย่างแบบยูนิตโดสพบว่า คะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมความร่วมมือในการใช้ยารวมทุกข้อเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (32.93±1.60 และ 34.12±2.53; p&lt;0.001)</p> <p><strong>สรุป</strong><strong>:</strong> การให้บริการทางเภสัชกรรมร่วมกับการใช้ใบสรุปการใช้ยารูปภาพและการจัดยาตัวอย่างแบบยูนิตโดสสามารถเพิ่มพฤติกรรมความร่วมมือในการใช้ยาของผู้ป่วยได้ทั้งนี้อาจมีข้อจำกัดบางประการในผู้ป่วยที่ใช้ยานอกเหนือจากรูปแบบรับประทาน</p> 2025-07-16T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 โรงพยาบาลพหลพลพยุหเสนา https://he04.tci-thaijo.org/index.php/PPHJ/article/view/3067 การพัฒนาระบบยาผู้ป่วยในโดยใช้ระบบการสั่งจ่ายยาในรูปแบบ paperless โรงพยาบาลท่ากระดาน 2025-05-02T18:54:49+07:00 ชุติมา ยิ้มอ่อน mimeuw@gmail.com <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>: </strong>เพื่อศึกษาผลของการพัฒนาระบบการสั่งจ่ายยาในรูปแบบลดการใช้กระดาษ (paperless) ต่ออัตราการเกิดความคลาดเคลื่อนทางยาของแผนกผู้ป่วยในของโรงพยาบาลท่ากระดาน</p> <p><strong>วิธีการวิจัย: </strong>การวิจัยกึ่งทดลองแบบศึกษาก่อนและหลัง เปรียบเทียบข้อมูลความคลาดเคลื่อนทางยาจากระบบสารสนเทศการบริหารจัดการความเสี่ยงของสถานพยาบาล ในช่วงก่อนและหลังพัฒนาระบบสั่งจ่ายยาระหว่างเดือนมกราคม–มีนาคม 2567 (รูปแบบ copy order) และช่วงเดือนเดียวกันในปี 2568 (รูปแบบ paperless) เครื่องมือที่ใช้ในการทดลองคือระบบสั่งใช้ยาและบริหารจัดการข้อมูลผู้ป่วยในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ (NEO IPD paperless) วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและสถิติทดสอบ Z-test</p> <p><strong>ผลการวิจัย:</strong> หลังการพัฒนาระบบสั่งจ่ายยาของแผนกผู้ป่วยในโรงพยาบาลท่ากระดาน พบว่าอัตราความคลาดเคลื่อนทางยาโดยรวมลดลงจาก 21.61 เป็น 20.35 ครั้ง/1,000 วันนอน (p=0.773) อัตราความคลาดเคลื่อนในขั้นตอนการให้ยาลดลงจาก 8.84 เหลือ 2.91 ครั้ง/1,000 วันนอน (p=0.080) ความคลาดเคลื่อนทางยาระดับ C ลดลง และไม่พบความคลาดเคลื่อนรุนแรงระดับ E รวมถึงมีการเพิ่มขึ้นของระบบแจ้งเตือน เพื่อป้องกันความคลาดเคลื่อนทางยา อย่างไรก็ตามอัตราความคลาดเคลื่อนในขั้นตอนการสั่งยาเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติจาก 2.95 เป็น 10.66 ครั้ง/1,000 วันนอน (p=0.034) ส่วนใหญ่เป็น ความคลาดเคลื่อนระดับความรุนแรง B</p> <p><strong>สรุปผล:</strong> ระบบการสั่งจ่ายยาในรูปแบบ paperless มีแนวโน้มช่วยลดอัตราความคลาดเคลื่อนทางยาโดยรวม โดยเฉพาะในขั้นตอนการให้ยา และสามารถลดความรุนแรงของข้อผิดพลาดได้ อย่างไรก็ตามการเพิ่มขึ้นของความคลาดเคลื่อนในขั้นตอนการสั่งยาชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นในการปรับปรุงระบบและฝึกอบรมบุคลากรให้สามารถใช้งานระบบได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ</p> 2025-07-21T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 โรงพยาบาลพหลพลพยุหเสนา https://he04.tci-thaijo.org/index.php/PPHJ/article/view/3169 สถานการณ์การจองเลือดผ่าตัดแบบไม่รีบด่วนของโรงพยาบาลพหลพลพยุหเสนา 2025-07-02T13:02:25+07:00 ปิยพงศ์ นิยมพงษ์ niyop@hotmail.com <p><strong>วัตถุประสงค์:</strong> เพื่อศึกษาสถานการณ์การจองเลือดและความเหมาะสมในการจองเลือดผ่าตัดแบบไม่รีบด่วนของโรงพยาบาลพหลพลพยุหเสนา</p> <p><strong>วิธีการวิจัย:</strong> เป็นการวิจัยเชิงพรรณนาแบบศึกษาย้อนกลับ กลุ่มตัวอย่างคือเวชระเบียนผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดแบบไม่รีบด่วนที่มีการจองเลือดล่วงหน้าของงานธนาคารเลือด โรงพยาบาลพหลพลพยุหเสนา ระหว่างเดือนเมษายน–กันยายน 2567 ใช้เป็นแบบบันทึกข้อมูลจากเวชระเบียน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การแจกแจงความถี่ ร้อยละ อัตราส่วนการจองเลือดต่อการใช้จริง (C:T ratio) ความน่าจะเป็นของการใช้เลือด (%T) และดัชนีการสั่งใช้เลือด (Ti)</p> <p><strong>ผลการวิจัย:</strong> มีผู้ป่วยเข้ารับการผ่าตัดแบบไม่รีบด่วนและมีการสั่งเตรียมเม็ดเลือดแดงเข้มข้น จำนวน 965 ราย ใช้เลือดจริง 486 ราย แพทย์สั่งเตรียมเลือด 2,534 ยูนิต แต่ใช้จริง 938 ยูนิต อัตราส่วนการจองเลือดต่อการใช้จริงของการผ่าตัดทุกประเภทมีค่าสูงกว่า 2.0 ซึ่งบ่งชี้ถึงการจองเลือดเกินความจำเป็นสำหรับความน่าจะเป็นของการใช้เลือด และดัชนีการสั่งใช้เลือด พบว่าการผ่าตัดประเภทสูติ-นรีเวชกรรมมีค่าต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนด ในขณะที่การผ่าตัดศัลยกรรมกระดูกและข้อ ศัลยกรรมทั่วไป ศัลยกรรมทางเดินปัสสาวะ และศัลยกรรมประสาทส่วนใหญ่เป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐานสำหรับความน่าจะเป็นของการใช้เลือด และดัชนีการสั่งใช้เลือด</p> <p><strong>สรุป:</strong> สถานการณ์การจองเลือดและความเหมาะสมในการจองเลือดผ่าตัดแบบไม่รีบด่วนของโรงพยาบาลพหลพลพยุหเสนา มีการสั่งจองเลือดเกินความต้องการใช้จริง ดังนั้น จึงควรมีการทบทวนและพัฒนาแนวทาง ในการสั่งจองเลือดที่มีประสิทธิภาพ เพื่อลดการสูญเสียทรัพยากร ลดค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการเตรียมเลือด ส่งผลให้มีเลือดหมุนเวียนเพียงพอใช้ในกรณีฉุกเฉิน</p> 2025-07-21T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 โรงพยาบาลพหลพลพยุหเสนา https://he04.tci-thaijo.org/index.php/PPHJ/article/view/3122 ผลลัพธ์การบริบาลเภสัชกรรมในผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 โรงพยาบาลสมเด็จพระปิยมหาราชรมณียเขต 2025-05-08T08:58:47+07:00 ณัฐภัท วงษ์แก้ว jackerjack1008@gmail.com <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>: </strong>เพื่อประเมินผลการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดระดับความร่วมมือในการใช้ยาและศึกษาปัญหาการใช้ยาในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 หลังได้รับการบริบาลเภสัชกรรมตามแนวทาง Pharmacist’s patient care process (PPCP)</p> <p><strong>วิธีการวิจัย</strong><strong>: </strong>เป็นการวิจัยกึ่งทดลองแบบกลุ่มเดียว วัดผลก่อนและหลัง ตัวอย่างคือผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ที่มีระดับน้ำตาลสะสมในเลือดมากกว่าร้อยละ 7 หรือระดับน้ำตาลในเลือดขณะอดอาหารมากกว่า 180 มก./ดล. หรือเป็นผู้ป่วยที่พบปัญหาการใช้ยาและเข้ารับบริการที่โรงพยาบาลสมเด็จพระปิยมหาราชรมณียเขต ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์-เมษายน 2568 จำนวน 69 คน ติดตามผลลัพธ์ระดับน้ำตาลในเลือดขณะอดอาหาร ระดับความร่วมมือในการใช้ยาด้วยแบบวัดความร่วมมือในการใช้ยาสาหรับชาวไทย และปัญหาการใช้ยาทั้งหมด 2 ครั้ง โดยนัดผู้ป่วยระยะเวลา 1 เดือน วิเคราะห์โดยใช้สถิติพรรณนา และการทดสอบวิลคอกซัน</p> <p><strong>ผลการวิจัย</strong>: หลังจากได้รับการบริบาลเภสัชกรรมผู้ป่วยมีระดับน้ำตาลในเลือดขณะอดอาหารเฉลี่ยลดลงอย่าง มีนัยสำคัญทางสถิติ (202.78±51.91 และ 147.91±33.62 มก./ดล.; p&lt;0.001) และมีคะแนนความร่วมมือในการใช้ยาเฉลี่ยเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (32.46±5.37 และ 35.25±4.59 คะแนน; p&lt;0.001) และ พบปัญหาการใช้ยาของผู้ป่วยทั้งหมด 76 ปัญหา โดยปัญหาผู้ป่วยขาดความร่วมมือในการใช้ยามีจำนวนมากที่สุด 50 ครั้ง (ร้อยละ 65.79)</p> <p><strong>สรุปผล</strong>: การบริบาลเภสัชกรรมในผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ตามแนวทาง PPCP ส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดขณะอดอาหารลดลง ความร่วมมือในการใช้ยาเพิ่มขึ้น และค้นหาปัญหาการใช้ยาของผู้ป่วยได้ชัดเจน ควรนำไปพัฒนากระบวนรักษาของผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 เพื่อให้บรรลุเกณฑ์เป้าหมาย</p> 2025-07-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 โรงพยาบาลพหลพลพยุหเสนา