วารสารโรงพยาบาลพหลพลพยุหเสนา https://he04.tci-thaijo.org/index.php/PPHJ <p><strong>วารสารโรงพยาบาลพหลพลพยุหเสนา (Phaholpolpayuhasena Hospital Journal: PPHJ)</strong> หรือชื่อเดิมคือ <em>กาญจนบุรีเวชสาร (Kanchanaburi Medical Journal)</em> มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่บทความวิชาการด้านการแพทย์ พยาบาล สาธารณสุข วิทยาศาสตร์สุขภาพ และสาขาอื่นที่เกี่ยวข้อง โดยมีกลุ่มเป้าหมายคือบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขทั้งในและนอกโรงพยาบาล </p> <p>กำหนดเผยแพร่ปีละ 3 ฉบับ (ทุก 4 เดือน) ดังนี้</p> <ul> <li><strong>ฉบับที่ </strong><strong>1 </strong>มกราคม - เมษายน </li> <li><strong>ฉบับที่ </strong><strong>2</strong> พฤษภาคม - สิงหาคม</li> <li><strong>ฉบับที่ </strong><strong>3</strong> กันยายน - ธันวาคม </li> </ul> <p>-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------</p> <p><strong><span style="text-decoration: underline;">ก่อนส่งบทความ</span> โปรดตรวจสอบสถานะการเผยแพร่และจำนวนเรื่องในการเผยแพร่วารสาร</strong></p> <p><strong>Link : <a href="https://www.canva.com/design/DAG5x2EEqW4/gXfGJi5xZjgI2wiSP5Da_g/view?utm_content=DAG5x2EEqW4&amp;utm_campaign=designshare&amp;utm_medium=link2&amp;utm_source=uniquelinks&amp;utlId=ha6280267b6">https://www.canva.com/design/DAG5x2EEqW4/gXfGJi5xZjgI2wiSP5Da_g/view?utm_content=DAG5x2EEqW4&amp;utm_campaign=designshare&amp;utm_medium=link2&amp;utm_source=uniquelinks&amp;utlId=ha6280267b6</a></strong></p> th-TH <p>บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของโรงพยาบาลพหลพลพยุหเสนา</p> <p>ข้อความที่ปรากฏในบทความแต่ละเรื่องในวารสารวิชาการเล่มนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนแต่ละท่านไม่เกี่ยวข้องกับโรงพยาบาลพหลพลพยุหเสนาและบุคลากรท่านอื่น ๆ ในโรงพยาบาลฯ แต่อย่างใด ความรับผิดชอบองค์ประกอบทั้งหมดของบทความแต่ละเรื่องเป็นของผู้เขียนแต่ละท่าน หากมีความผิดพลาดใด ๆ ผู้เขียนแต่ละท่านจะรับผิดชอบบทความของตนเอง</p> phaholonline@gmail.com (นพ.ชนาธิป ไชยเหล็ก) phaholonline@gmail.com (นพ.ชนาธิป ไชยเหล็ก) Tue, 02 Sep 2025 09:29:04 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 การอักเสบติดเชื้อในช่องเยื่อหุ้มคอชั้นลึก ของผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลพหลพลพยุหเสนา https://he04.tci-thaijo.org/index.php/PPHJ/article/view/3186 <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>: </strong>เพื่อศึกษาลักษณะทางระบาดวิทยา ลักษณะทางคลินิก เชื้อแบคทีเรียก่อโรค และวิธีการรักษาและผลการรักษาของผู้ป่วยที่มีการอักเสบติดเชื้อในช่องเยื่อหุ้มคอชั้นลึกของผู้ป่วยที่นอนโรงพยาบาลแผนกโสต ศอ นาสิก โรงพยาบาลพหลพลพยุหเสนา</p> <p><strong>วิธีการวิจัย:</strong> เป็นการศึกษาเชิงพรรณนาแบบย้อนหลังในผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยการอักเสบติดเชื้อในช่องเยื่อหุ้มคอชั้นลึกที่เข้ารับการรักษาในแผนกโสต ศอ นาสิก โรงพยาบาลพหลพลพยุหเสนา ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2564 ถึง 30 กันยายน 2567 เก็บข้อมูลด้วยแบบเก็บข้อมูลผู้ป่วย วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา</p> <p><strong>ผลการวิจัย:</strong> จากการศึกษาผู้ป่วย 193 ราย พบว่าส่วนมากเป็นเพศชาย (ร้อยละ 60.1) อายุเฉลี่ย 43.1 ปี (SD =20.9) อาชีพรับจ้างทั่วไป (ร้อยละ 33.2) อาการสำคัญที่มาโรงพยาบาล ได้แก่ คางบวมปวด (ร้อยละ 44.0) รองลงมาคือเจ็บคอกลืนลำบาก (ร้อยละ 29.0) มีฟันผุ (ร้อยละ 49.2) เมื่อเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ไม่พบตำแหน่งที่เป็น (ร้อยละ 52.8) ตำแหน่งที่พบการติดเชื้อมากที่สุดคือ submandibular space (ร้อยละ 38.3) รองลงมาคือ peritonsillar space (ร้อยละ 20.7) เชื้อแบคทีเรียก่อโรคที่พบมากที่สุดคือ <em>Klebsiella pneumoniae</em> (ร้อยละ 7.6) รองลงมาคือ <em>Staphylococcus aureus </em>(ร้อยละ 4.8) วิธีการรักษาและผลการรักษาส่วนมากใช้ยาปฏิชีวนะร่วมกับการผ่าตัดระบายหนอง (ร้อยละ 60.0) ระยะเวลานอนโรงพยาบาลเฉลี่ย 7.7 วัน (SD=6.9) อัตราการเสียชีวิต (ร้อยละ 0.5)</p> <p><strong>สรุปผล:</strong> ผู้ป่วยอักเสบติดเชื้อในช่องเยื่อหุ้มคอชั้นลึกที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลพหลพลพยุหเสนา สาเหตุส่วนใหญ่มาจากการติดเชื้อที่เกิดจากฟัน ส่วนมากติดเชื้อบริเวณ submandibular space โดยเชื้อก่อโรคหลัก คือเชื้อในช่องปาก การวินิจฉัยและรักษาที่ถูกต้อง รวดเร็ว ช่วยลดภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายแก่ชีวิตได้</p> อมร เพ็ชรดาชัย ลิขสิทธิ์ (c) 2025 โรงพยาบาลพหลพลพยุหเสนา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he04.tci-thaijo.org/index.php/PPHJ/article/view/3186 Thu, 11 Sep 2025 00:00:00 +0700 การศึกษาหาสาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะแพ้ชนิดรุนแรงเฉียบพลันและปัจจัยที่ส่งผลต่อความรุนแรงของอาการในผู้ป่วยเด็กโรงพยาบาลพหลพลพยุหเสนา https://he04.tci-thaijo.org/index.php/PPHJ/article/view/3281 <p><strong>วัตถุประสงค์:</strong> เพื่อศึกษาสาเหตุของการเกิดภาวะแพ้ชนิดรุนแรงเฉียบพลัน และปัจจัยทางคลินิกที่เกี่ยวข้องกับความรุนแรงของอาการในผู้ป่วยเด็กที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลพหลพลพยุหเสนา จังหวัดกาญจนบุรี</p> <p><strong>วิธีการศึกษา:</strong> การศึกษาภาคตัดขวางเชิงวิเคราะห์ในผู้ป่วยเด็กอายุต่ำกว่า 16 ปี ที่ได้รับการวินิจฉัยภาวะแพ้ ชนิดรุนแรงระหว่างเดือนมกราคม 2561 ถึงธันวาคม 2566 โดยรวบรวมข้อมูลด้านประชากรศาสตร์ อาการแสดง สาเหตุ การรักษา และผลลัพธ์ของผู้ป่วย การประเมินความรุนแรงของอาการใช้เกณฑ์ CoFAR grading และวิเคราะห์ปัจจัยทางคลินิกที่เกี่ยวข้องกับความรุนแรงของอาการโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และการวิเคราะห์ถดถอยโลจิสติก</p> <p><strong>ผลการศึกษา:</strong> ผู้ป่วยจำนวน 136 ราย ส่วนใหญ่อยู่ในช่วงอายุ 5–15 ปี สาเหตุที่พบมากที่สุดคืออาหาร (ร้อยละ 56.7) เช่น อาหารทะเล นมวัวรองลงมาคือแมลง (ร้อยละ 19.1) และไม่ทราบสาเหตุ (ร้อยละ 16.2) อาการแสดง ที่พบบ่อย ได้แก่ อาการทางผิวหนัง (ร้อยละ 96.3) อาการทางระบบหายใจ (ร้อยละ 76.5) และอาการทางระบบทางเดินอาหาร (ร้อยละ 37.5) ผู้ป่วยจำนวน 127 ราย (ร้อยละ 93.4) ได้รับยาอะดรีนาลีนภายใน 10 นาทีหลังถึงโรงพยาบาล ปัจจัยที่อาจเกี่ยวข้องกับความรุนแรงของอาการ ได้แก่ เพศชาย การมีโรคประจำตัว อาการทางระบบหายใจ และร้อยละเม็ดเลือดขาวชนิดอีโอซิโนฟิลในเลือดที่สูง แต่ไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ (p&gt;0.05)</p> <p><strong>สรุป:</strong> อาหารเป็นสาเหตุสำคัญของภาวะแพ้รุนแรงในเด็ก โดยเฉพาะในกลุ่มอายุ 5–15 ปี อาการที่เกี่ยวข้องกับระบบทางเดินหายใจและการมีโรคประจำตัวอาจสัมพันธ์กับความรุนแรงของอาการ การให้การรักษาอย่างทันท่วงที โดยเฉพาะการให้ยาอะดรีนาลีน มีบทบาทสำคัญในการลดความรุนแรงและป้องกันภาวะแทรกซ้อน</p> มุขเรขา ตั้งกิตติสุวรรณ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 โรงพยาบาลพหลพลพยุหเสนา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he04.tci-thaijo.org/index.php/PPHJ/article/view/3281 Fri, 19 Sep 2025 00:00:00 +0700 การวิเคราะห์การประมาณการต้นทุนตามกิจกรรมการพยาบาลการให้ยาเคมีบำบัดสำหรับผู้ป่วยมะเร็งเต้านมในโรงพยาบาลตติยภูมิแห่งหนึ่ง https://he04.tci-thaijo.org/index.php/PPHJ/article/view/3369 <p><strong>วัตถุประสงค์:</strong> เพื่อศึกษาต้นทุนตามกิจกรรมการพยาบาลการให้ยาเคมีบำบัดสำหรับผู้ป่วยมะเร็งเต้านม ในโรงพยาบาลตติยภูมิแห่งหนึ่งในมุมมองของผู้ให้บริการ</p> <p><strong>วิธีการวิจัย: </strong>เป็นการวิจัยเชิงพรรณนา ประชากรคือรายงานต้นทุนของบุคลากรทางการพยาบาล 9 คน กลุ่มตัวอย่าง คือผู้รับบริการ 30 ราย เลือกตัวอย่างแบบเจาะจง เครื่องมือวิจัยประกอบด้วย 1) แบบบันทึกข้อมูลต้นทุนต่อหน่วยบริการ 2) พจนานุกรมกิจกรรมการพยาบาล 3) แบบบันทึกข้อมูลต้นทุนกิจกรรมการพยาบาล โดยมีค่าดัชนีความตรงเชิงเนื้อหา 0.96 และค่าความเที่ยงของการสังเกตเท่ากับ 1.0 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา</p> <p><strong>ผลการวิจัย:</strong> ต้นทุนรวมของกิจกรรมการพยาบาลเท่ากับ 54,460.08 บาท โดยกิจกรรมระยะขณะให้ยาเคมีบำบัดมีต้นทุนสูงสุด 45,038.23 บาท (ร้อยละ 81.45) รองลงมาคือระยะก่อนให้ยา 4,610.53 บาท (ร้อยละ 8.39) และกิจกรรมการบริหารจัดการและงานสนับสนุนต่ำสุด 956.46 บาท (ร้อยละ 3.17) องค์ประกอบของต้นทุนสูงสุดคือ ค่าวัสดุมี เท่ากับ 29,162.60 บาท (ร้อยละ 52.84) รองลงมาคือต้นทุนค่าแรงเท่ากับ 25,215.04 บาท (ร้อยละ 45.69) และต้นทุนปันส่วน เท่ากับ 96.04 บาท (ร้อยละ 1.47) และต้นทุนกิจกรรมต่อรายรวม 1,815.34 บาท</p> <p><strong>สรุปผล:</strong> การนำวิธีวิเคราะห์ต้นทุนกิจกรรมมาใช้สำหรับการบริหารต้นทุนสำหรับผู้ป่วยที่มีต้นทุนสูงสำหรับผู้ป่วยมะเร็งที่ให้ยาเคมีบำบัดมีความจำเป็นและสำคัญที่จะทำให้ได้หลักฐานเชิงประจักษ์ด้านต้นทุนและเวลาเพื่อสามารถนำไปควบคุมต้นทุนงบประมาณที่มีจำกัดและบริหารเวลาการทำงานให้มีประสิทธิภาพสำหรับการบริหารทางการพยาบาล</p> สุทธิรักษ์ แย้มวัน , เพชรน้อย สิงห์ช่างชัย , กรรณิการ์ ฉัตรดอกไม้ไพร ลิขสิทธิ์ (c) 2025 โรงพยาบาลพหลพลพยุหเสนา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he04.tci-thaijo.org/index.php/PPHJ/article/view/3369 Fri, 26 Sep 2025 00:00:00 +0700 อุบัติการณ์และปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดภาวะติดเชื้อทางเยื่อบุช่องท้องของผู้ป่วยล้างไตทางช่องท้อง โรงพยาบาลหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ https://he04.tci-thaijo.org/index.php/PPHJ/article/view/3452 <p><strong>วัตถุประสงค์: </strong>เพื่อศึกษาอุบัติการณ์และปัจจัยเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการเกิดภาวะติดเชื้อทางเยื่อบุช่องท้องของผู้ป่วยล้างไตทางช่องท้อง โรงพยาบาลหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์</p> <p><strong>วิธีการวิจัย</strong>: การศึกษาติดตามรุ่นแบบย้อนหลัง โดยทบทวนเวชระเบียนของผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะสุดท้ายที่ได้รับการล้างไตทางช่องท้องในโรงพยาบาลหัวหิน ปี 2562-2567 จำนวน 124 ราย การวินิจฉัยภาวะเยื่อบุช่องท้องอักเสบตามเกณฑ์ของ International Society for Peritoneal Dialysis (ISPD) 2022 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา การทดสอบไค-สแควร์การทดสอบค่าทีแบบเป็นอิสระต่อกัน และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ</p> <p><strong>ผลการวิจัย</strong>: พบผู้ป่วยเกิดภาวะเยื่อบุช่องท้องอักเสบ 74 ราย (ร้อยละ 59.7) รวม 177 ครั้งคิดเป็นอุบัติการณ์ 0.24 ครั้งต่อผู้ป่วย-ปี ผลเพาะเชื้อส่วนใหญ่ไม่พบการเจริญของเชื้อ (ร้อยละ 37.8) และเชื้อจุลชีพส่วนใหญ่ที่พบ <em>Staphylococcus aureus</em> (ร้อยละ 18.9) ผลการรักษาส่วนใหญ่ตอบสนองดี (ร้อยละ 61.0) รองลงมาติดเชื้อชนิดเดิมในช่องท้องซ้ำภายใน 4 สัปดาห์ (ร้อยละ 13.0) ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดเยื่อบุช่องท้องอักเสบอย่างมีนัยสำคัญ ได้แก่ โรคเบาหวาน (aOR=2.10; 95% CI: 1.15-3.85) ระดับอัลบูมินในเลือด (aOR=0.75; 95% CI: 0.69-0.87) ระดับระดับฮีโมโกลบิน (aOR=0.88; 95% CI: 0.79-0.98) ระดับโพแทสเซียมในเลือด (aOR=0.92; 95% CI: 0.85-0.99) ระดับฟอสฟอรัสในเลือด (aOR=1.30; 95% CI: 1.02-1.65)</p> <p><strong>สรุปผล:</strong> ภาวะเยื่อบุช่องท้องอักเสบยังคงเป็นภาวะแทรกซ้อนสำคัญในผู้ป่วยที่ได้รับการล้างไตทางช่องท้อง โดยมีเชื้อแกรมบวกเป็นสาเหตุหลัก การวินิจฉัยและการรักษาอย่างทันท่วงที รวมถึงการจัดการปัจจัยเสี่ยงมีความสำคัญต่อการพยากรณ์โรค กลยุทธ์ในการป้องกัน ได้แก่ การติดตามผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด การส่งเสริมโภชนาการ และการปฏิบัติตามหลักการปลอดเชื้ออย่างเคร่งครัด</p> ศุภวิวัชร โรจนสิงหะ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 โรงพยาบาลพหลพลพยุหเสนา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he04.tci-thaijo.org/index.php/PPHJ/article/view/3452 Mon, 27 Oct 2025 00:00:00 +0700 ประสิทธิผลของโปรแกรมป้องกันการพลัดตกหกล้มในผู้สูงอายุ เขตเทศบาลเมืองสุโขทัยธานี จังหวัดสุโขทัย https://he04.tci-thaijo.org/index.php/PPHJ/article/view/3382 <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>:</strong> เพื่อศึกษาประสิทธิผลของโปรแกรมป้องกันการพลัดตกหกล้มในผู้สูงอายุ เขตเทศบาลเมืองสุโขทัยธานี จังหวัดสุโขทัย</p> <p><strong>วิธีการวิจัย</strong><strong>:</strong> เป็นการวิจัยกึ่งทดลองแบบสองกลุ่มวัดผลก่อนและหลัง กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้สูงอายุ 60–79 ปี จำนวน 64 คน คัดเลือกตัวอย่างตามเกณฑ์และแบ่งตัวอย่างด้วยการสุ่มอย่างง่าย กลุ่มควบคุมได้รับการดูแลตามมาตรฐาน ส่วนกลุ่มทดลองได้รับโปรแกรมป้องกันการพลัดตกหกล้มเป็นเวลา 8 สัปดาห์ เก็บข้อมูลประกอบด้วยแบบประเมินความรู้และพฤติกรรมการป้องกันการพลัดตกหกล้มในผู้สูงอายุสิ่งแวดล้อมภายในบ้าน และความสามารถในการทรงตัว วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยด้วยการทดสอบค่าทีแบบไม่เป็นอิสระต่อกันและเป็นอิสระต่อกัน การทดสอบวิลคอกซัน และการทดสอบแมนน์-วิทนีย์ยู</p> <p><strong>ผลการวิจัย</strong><strong>:</strong> หลังการทดลองกลุ่มทดลองมีค่าเฉลี่ยคะแนนความรู้ป้องกันการพลัดตกหกล้ม (8.41±1.21) พฤติกรรมป้องกันการพลัดตกหกล้ม (23.66±3.39) ความเสี่ยงสิ่งแวดล้อมภายในบ้าน (6.69±1.42) และความสามารถในการทรงตัว (12.18±2.11) ดีกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt;0.001, &lt;0.001, 0.014, &lt;0.001 ตามลำดับ) และดีกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (7.16±1.32, 21.22±4.24, 5.88±1.38, 14.79±1.63; p&lt;0.001, 0.014, 0.022, &lt;0.001 ตามลำดับ) โดยมีขนาดอิทธิพลอยู่ในระดับ สูง ปานกลางถึงสูง ปานกลาง และสูง (Cohen’s d=0.99, 0.64, 0.58, -1.38 ตามลำดับ)</p> <p><strong>สรุปผล</strong><strong>:</strong> โปรแกรมป้องกันการพลัดตกหกล้มในผู้สูงอายุที่ประยุกต์ใช้ทฤษฎีการรับรู้ความสามารถของตนเอง ส่งผลให้ผู้สูงอายุมีความรู้ พฤติกรรมป้องกันการพลัดตกหกล้ม ความสามารถในการทรงตัวดีขึ้น และความเสี่ยงการพลัดตกหกล้มจากสิ่งแวดล้อมภายในบ้านลดลง</p> วราทิพย์ คำเงิน, รัศมี สุขนรินทร์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 โรงพยาบาลพหลพลพยุหเสนา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he04.tci-thaijo.org/index.php/PPHJ/article/view/3382 Mon, 27 Oct 2025 00:00:00 +0700 ผลการรักษาด้วยเทคนิคดัดดึงข้อสะบักกับการออกกำลังกายด้วยยางยืดต่อองศาการเคลื่อนไหวและระดับความเจ็บปวดในผู้ป่วยข้อไหล่ติด โรงพยาบาลทองผาภูมิ https://he04.tci-thaijo.org/index.php/PPHJ/article/view/3284 <p><strong>วัตถุประสงค์: </strong>เพื่อศึกษาผลการรักษาด้วยเทคนิคดัดดึงข้อสะบักร่วมกับการออกกำลังกายด้วยยางยืดต่อองศาการเคลื่อนไหวและระดับความเจ็บปวดในผู้ป่วยข้อไหล่ติด ณ โรงพยาบาลทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี</p> <p><strong>วิธีการวิจัย:</strong> เป็นการวิจัยกึ่งทดลองแบบสองกลุ่มวัดผลก่อนและหลัง กลุ่มตัวอย่างคือผู้ป่วยที่มีภาวะข้อไหล่ติดจำนวน 30 คน คัดเลือกตัวอย่างตามเกณฑ์และแบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มละ 15 คน ด้วยการสุ่มอย่างง่าย โดยกลุ่มควบคุมได้รับการรักษาทางกายภาพบำบัดตามมาตรฐาน ส่วนกลุ่มทดลองได้รับการรักษาด้วยเทคนิคดัดดึงข้อสะบักและการออกกำลังกายด้วยยางยืดร่วมด้วย สัปดาห์ละ 2 ครั้ง นาน 6 สัปดาห์ วัดผลด้วยเครื่องวัดมุมและมาตรวัดความเจ็บปวดด้วยสายตา วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการทดสอบค่าทีแบบไม่เป็นอิสระต่อกันและการวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบทางเดียว</p> <p><strong>ผลการวิจัย:</strong> กลุ่มทดลองมีองศาการเคลื่อนไหวในท่า shoulder abduction และท่า shoulder external rotation เพิ่มขึ้นจากก่อนทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt;0.05) และหลังทดลอง กลุ่มทดลองมีองศาการเคลื่อนไหวในท่า shoulder external rotation มากกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (76.93±9.8 และ 63.93±16.66; p&lt;0.001) ส่วนระดับความเจ็บปวดมีแนวโน้มลดลงแต่ไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ</p> <p><strong>สรุปผล:</strong> เทคนิคดัดดึงข้อสะบักร่วมกับการออกกำลังกายด้วยยางยืดสามารถเพิ่มองศาการเคลื่อนไหวของข้อไหล่ในท่า shoulder external rotation มากกว่าการรักษาตามมาตรฐานเพียงอย่างเดียว อาจเป็นประโยชน์ต่อการวางแผนแนวทางการฟื้นฟูผู้ป่วยข้อไหล่ติดในอนาคตอย่างครอบคลุมมากขึ้น</p> เพียงใจ เศวตะดุล ลิขสิทธิ์ (c) 2025 โรงพยาบาลพหลพลพยุหเสนา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he04.tci-thaijo.org/index.php/PPHJ/article/view/3284 Mon, 01 Dec 2025 00:00:00 +0700 การศึกษาระดับเอนไซม์โคลีนเอสเตอเรสในเลือดของหญิงตั้งครรภ์เปรียบเทียบกับหญิงไม่ตั้งครรภ์มีผลต่อการหมดฤทธิ์ของยาคลายกล้ามเนื้อซัคซินิลโคลีนที่โรงพยาบาลพหลพลพยุหเสนา https://he04.tci-thaijo.org/index.php/PPHJ/article/view/3708 <p><strong>วัตถุประสงค์: </strong>เพื่อเปรียบเทียบระดับเอนไซม์โคลีนเอสเตอเรสในเลือดก่อนผ่าตัดและระหว่างผ่าตัด ในหญิงตั้งครรภ์กับหญิงที่ไม่ได้ตั้งครรภ์ที่ได้รับยาระงับความรู้สึกทั่วตัวและใช้ยาคลายกล้ามเนื้อซัคซินิลโคลีนในการใส่ท่อช่วยหายใจ</p> <p><strong>วิธีการวิจัย: </strong>เป็นการศึกษาภาคตัดขวางเชิงวิเคราะห์ในประชากรหญิงตั้งครรภ์และไม่ตั้งครรภ์ อายุระหว่าง 18-45 ปี ASA Physical Status I-III ที่เข้ารับการผ่าตัดคลอดหรือผ่าตัดอื่น ๆ โดยได้รับยาระงับความรู้สึกทั่วตัวและใช้ยาคลายกล้ามเนื้อซัคซินิลโคลีนในการใส่ท่อช่วยหายใจ ที่โรงพยาบาลพหลพลพยุหเสนา จังหวัดกาญจนบุรี โดยแบ่งเป็นหญิงตั้งครรภ์ 19 ราย และไม่ตั้งครรภ์ 20 ราย เจาะเลือดตรวจเอนไซม์โคลีนเอสเตอเรส 2 ครั้ง คือ ก่อนดมยาสลบและหลังได้ยาซัคซินิลโคลีน 10 นาที วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการทดสอบค่าทีแบบเป็นอิสระต่อกัน</p> <p><strong>ผลการวิจัย: </strong>ข้อมูลพื้นฐานของทั้งสองกลุ่มไม่แตกต่างกันยกเว้นอายุเฉลี่ยที่กลุ่มหญิงตั้งครรภ์น้อยกว่ากลุ่มไม่ตั้งครรภ์ (p&lt;0.001) ในกลุ่มหญิงตั้งครรภ์พบระดับเอนไซม์โคลีนเอสเตอเรสในเลือดก่อนผ่าตัดและระหว่างผ่าตัดเท่ากับ 6,968.32±1,385.07 และ 5,998.47±1,343.96 หน่วยต่อลิตรตามลำดับ ส่วนกลุ่มหญิงไม่ตั้งครรภ์มีระดับเอนไซม์ โคลีนเอสเตอเรสในเลือดก่อนผ่าตัดและระหว่างผ่าตัด เท่ากับ 10,078.05±2,362.41 และ 8,954.50±2,431.83 หน่วยต่อลิตรตามลำดับ เมื่อเปรียบเทียบระหว่างกลุ่มพบว่าระดับเอนไซม์โคลีนเอสเตอเรสในเลือดของหญิงตั้งครรภ์ต่ำกว่าหญิงไม่ตั้งครรภ์ทั้งก่อนและระหว่างผ่าตัดอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt;0.001)</p> <p><strong>สรุปผล: </strong>ระดับเอนไซม์โคลีนเอสเตอเรสในเลือดทั้งก่อนผ่าตัดและระหว่างผ่าตัดในหญิงตั้งครรภ์มีระดับที่ต่ำกว่าหญิงไม่ตั้งครรภ์อย่างชัดเจน แต่ยังอยู่ในระดับที่ปลอดภัยต่ออาสาสมัคร ทั้งนี้ควรเฝ้าระวังการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาที่สำคัญในการวางแผนการระงับความรู้สึกทั่วตัวโดยอาศัยยาซัคซินิลโคลีน สำหรับการใส่ท่อช่วยหายใจ</p> ปกรเกล้า เจียรนัย ลิขสิทธิ์ (c) 2025 โรงพยาบาลพหลพลพยุหเสนา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he04.tci-thaijo.org/index.php/PPHJ/article/view/3708 Thu, 04 Dec 2025 00:00:00 +0700