https://he04.tci-thaijo.org/index.php/SAHJ/issue/feed
วารสารสุขภาพสตรอง แอนด์ เฮลที้
2025-01-30T16:14:11+07:00
Asst. Prof. Dr.Panitan Grasung
pranitan2519@gmail.com
Open Journal Systems
<p>วารสารสุขภาพสตรอง แอนด์ เฮลที้<br />ISSN : xxxx-xxxx E-ISSN xxxx-xxxx</p> <p>กำหนดการเผยแพร่ : 3 ฉบับต่อปี </p> <p>ฉบับที่ 1 มกราคม - เมษายน </p> <p>ฉบับที่ 2 พฤษภาคม - สิงหาคม </p> <p>ฉบับที่ 3 กันยายน - ธันวาคม </p> <p>วารสารสุขภาพสตรอง แอนด์ เฮลที้ มีนโยบายเพื่อเผยแพร่ ถ่ายทอดองค์ความรู้ ด้านการแพทย์และสาธารณสุข โดยมีขอบเขตเนื้อหาการตีพิมพ์ ประกอบด้วย</p> <ol> <li> ด้านการแพทย์ และวิทยาศาสตร์การแพทย์</li> <li> ด้านสาธารณสุข และนวัตกรรมสุขภาพ</li> <li> ด้านการพยาบาล </li> <li> ด้านเภสัชกรรม</li> <li> ด้านอาชีวอนามัย และความปลอดภัย</li> <li> ด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม</li> <li> ด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพ</li> <li> ด้านอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ</li> </ol>
https://he04.tci-thaijo.org/index.php/SAHJ/article/view/2812
บทบรรณาธิการ
2025-01-29T23:40:16+07:00
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ปณิธาน กระสังข์
Pranitan2519@gmail.com
<p> </p> <p> วารสารสุขภาพสตรอง แอนด์ เฮลที้ (STRONG AND HEALTHY JOURNAL) ปีที่ 1 ฉบับที่ 1 ประจำเดือนมกราคม – เมษายน 2568 เป็นวารสารฉบับปฐมฤกษ์ของการเผยแพร่บทความวิจัย ซึ่งบทความวิจัยทุกฉบับที่ได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่ในฉบับปัจจุบันนี้มีความน่าสนใจเป็นอย่างมากโดยเนื้อหาของบทความวิจัยดังกล่าวล้วนมีเป้าหมายเพื่อการแก้ปัญหาสุขภาพของประชาชนรวมถึงปัญหาสาธารณสุขของประเทศเป็นหลัก ซึ่งองค์ความรู้ที่ได้จากในแต่ละการศึกษาสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับทุกพื้นที่ที่มีลักษณะประชากรที่ใกล้เคียงกันได้โดยรูปแบบของการศึกษาประกอบไปด้วยเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ ซึ่งล้วนแล้วแต่มีคุณค่าต่อสังคมเป็นอย่างมากสอดคล้อง กับวัตถุประสงค์ของวารสารที่ต้องการให้ผู้อ่านบทความวิจัยสามารถนำองค์ความรู้ที่ได้จากงานวิจัยที่เผยแพร่ในวารสารของเราไปใช้ประโยชน์ได้อย่างสูงสุด</p> <p> ทั้งนี้วารสารคำถึงความเป็นมาตรฐาน และมีคุณภาพ โดยฉพาะมาตรฐานในการพิจารณาบทความวิจัยจากผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความเชี่ยวชาญโดยยังคงได้กำหนดให้บทความวิจัยทุกฉบับของวารสารต้องผ่านการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความเชี่ยวชาญในแต่ละสาขาจำนวนทั้งสิ้น 3 ท่าน ดังนั้น ผู้นิพนธ์สามารถใช้ประโยชน์จากผลงานวิจัยที่ได้รับการเผยแพร่ในวารสารของเราตามหลักเกณฑ์ของ ก.พ.อ. หรือเพื่อวัตถุประสงค์อื่นที่จะเป็นประโยชน์ต่อผู้นิพนธ์ต่อไป หากท่านมีข้อคิดเห็น ข้อเสนอแนะ หรือพบปัญหาใดที่เกิดขึ้นจากทางวารสาร</p> <p> ทางกองบรรณาธิการยินดีรับข้อเสนอแนะ และจะนำข้อเสนอดังกล่าวไปปรับปรุงเพื่อให้เกิดการพัฒนาคุณภาพของวารสารให้ดียิ่งขึ้นต่อไป</p> <p> สุดท้ายนี้ ทางกองบรรณาธิการยินดีรับข้อเสนอแนะ โดยจะนำข้อเสนอดังกล่าวไปปรับปรุงเพื่อให้เกิดการพัฒนาคุณภาพของวารสารให้ดียิ่ง และขอขอบคุณทุกท่านที่ให้ความไว้วางใจในการส่งบทความวิจัยเพื่อพิจารณาตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารของเราด้วยความเคารพ</p> <p> </p>
2025-01-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารสุขภาพสตรอง แอนด์ เฮลที้
https://he04.tci-thaijo.org/index.php/SAHJ/article/view/2475
ความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมสุขภาพที่พึงประสงค์ของบุคลากรสปาจังหวัดภูเก็ต
2024-12-09T18:57:22+07:00
เอกรินทร์ วริทธิกร
ekkpharma@gmail.com
<p> การวิจัยเชิงพรรณนาภาคตัดขวางนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสถานภาพทั่วไป และระดับความรอบรู้ด้านสุขภาพ ระดับพฤติกรรมสุขภาพที่พึงประสงค์ และความสัมพันธ์ระหว่างความรอบรู้ด้านสุขภาพของผู้ให้บริการในสถานประกอบการสปาเพื่อสุขภาพกับพฤติกรรมสุขภาพที่พึงประสงค์ในการให้บริการด้านสุขภาพของผู้ให้บริการในสถานประกอบการสปาเพื่อสุขภาพในจังหวัดภูเก็ต ตัวอย่าง คือ ผู้ให้บริการในสถานประกอบการสปาเพื่อสุขภาพที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป จำนวน 320 คน จากการสุ่มตัวอย่างแบบง่าย เครื่องมือวิจัยในครั้งนี้ใช้แบบสอบถามในการเก็บข้อมูลประกอบด้วย แบบสอบถามเกี่ยวกับสถานภาพทั่วไป จำนวน 7 ข้อ แบบสอบถามเกี่ยวกับความรอบรู้ด้านสุขภาพ ได้แก่ การเข้าถึงข้อมูลสุขภาพ การเข้าใจข้อมูลสุขภาพ การประเมินข้อมูลสุขภาพ การประยุกต์ใช้ข้อมูลสุขภาพ จำนวน 20 ข้อ และแบบสอบถามเกี่ยวกับพฤติกรรมสุขภาพที่พึงประสงค์ จำนวน 15 ข้อ มีค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อคําถามกับวัตถุประสงค์รายข้อมีค่าเท่ากับ 0.6 -1.0 มีค่าความเชื่อมั่นของเครื่องมือ เท่ากับ 0.84, 0.82 และ 0.89 ตามลำดับวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงพรรณนา และสถิติสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า ระดับความรอบรู้ด้านสุขภาพโดยรวมอยู่ในระดับสูง ระดับพฤติกรรมสุขภาพที่พึงประสงค์โดยรวมอยู่ในระดับดี และความรอบรู้ด้านสุขภาพด้านการเข้าถึงข้อมูล การเข้าใจข้อมูลสุขภาพ การประเมินข้อมูลสุขภาพ และการประยุกต์ใช้ข้อมูลสุขภาพมีความสัมพันธ์ทางบวกกับพฤติกรรมสุขภาพที่พึงประสงค์ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (r=.389, p<.01; r=.333, p<.01; r=.443, p<.01; r=.382, p<.01 ตามลำดับ)</p> <p> ดังนั้น การพัฒนาศักยภาพของผู้ให้บริการในสถานประกอบการสปาเพื่อสุขภาพให้มีความรอบรู้ด้านสุขภาพ จึงเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้สามารถตอบสนองต่อการให้บริการที่มีมาตรฐานและมีประสิทธิภาพ</p>
2025-01-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารสุขภาพสตรอง แอนด์ เฮลที้
https://he04.tci-thaijo.org/index.php/SAHJ/article/view/2503
ผลของโปรแกรมการส่งเสริมการดูแลตนเองต่อพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้สูงอายุที่ป่วยโรคเบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลไม่ได้ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลเสม็ดใต้ อำเภอบางคล้า จังหวัดฉะเชิงเทรา
2024-12-12T23:44:14+07:00
นฤพนธ์ จินดาวัลย์
narupon66@gmail.com
<p>การวิจัยนี้การวิจัยนี้ถูกออกแบบในรูปแบบกึ่งทดลอง (Quasi-Experimental) โดยใช้วิธีการเปรียบเทียบระหว่างสองกลุ่ม (Two-Group Comparison) มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบความรู้ พฤติกรรมเกี่ยวกับการดูแลตนเอง และระดับน้ำตาลในเลือด (Fasting Blood Sugar: FBS) ของผู้สูงอายุที่ป่วยด้วยโรคเบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลไม่ได้ก่อนและหลังการใช้โปรแกรมการส่งเสริมการดูแลตนเอง โดยกลุ่มตัวอย่างที่ถูกเลือกทั้งหมดจำนวน 60 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม กลุ่มละ 30 คนโดยมีการวิเคราะห์ข้อมูลที่ใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ การแจกแจงความถี่ ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ ค่าพิสัยระหว่างควอไทล์ พร้อมกับการวิเคราะห์เชิงอนุมานด้วยการใช้ Paired t-test</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า หลังเข้าร่วมโปรแกรมกลุ่มทดลองมีความรู้สูงขึ้นถึงร้อยละ 100.00 ในขณะเดียวกัน โดยกลุ่มควบคุมมีความรู้สูงขึ้นร้อยละ 83.33 สำหรับในด้านพฤติกรรมการดูแลตนเอง กลุ่มทดลองหลังการเข้าร่วมโปรแกรมมีพฤติกรรมอยู่ในระดับดีมากที่ร้อยละ 86.67 กลุ่มควบคุมมีพฤติกรรมหลังจากโปรแกรมเพิ่มขึ้นร้อยละ 83.33 นอกจากนี้ คะแนนเฉลี่ยของความรู้ พฤติกรรมการดูแลตนเอง และค่าเฉลี่ยระดับน้ำตาลในเลือด (FBS) หลังอดอาหาร 8 ชั่วโมงของกลุ่มตัวอย่างในช่วงหลังการใช้โปรแกรมมีค่าสูงกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01</p> <p> ดังนั้นการปรับเนื้อหาที่เน้นเฉพาะกลุ่มด้วยการใช้สื่อดิจิทัลในการกระตุ้นแรงจูงใจ ด้วยการออกแบบจัดการ หรือส่งเสริมปัจจัยเหล่านั้นให้ผู้ป่วยโรคเบาหวานสามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพรวมถึงการให้คำปรึกษาด้านโภชนาการเพื่อสร้างความตระหนักรู้ในวงกว้าง จะทำให้เกิดการพัฒนานโยบายเกี่ยวกับการดูแลผู้สูงอายุที่เป็นโรคเบาหวาน เพื่อสร้างแนวทางการรักษาที่เหมาะสมและครอบคลุมมากขึ้นในระดับท้องถิ่นและระดับประเทศ</p>
2025-01-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารสุขภาพสตรอง แอนด์ เฮลที้
https://he04.tci-thaijo.org/index.php/SAHJ/article/view/2613
ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อการมีส่วนร่วมการดำเนินงานอนามัยสิ่งแวดล้อม ตามเกณฑ์ GREEN & CLEAN ของบุคลากรโรงพยาบาลชุมชน จังหวัดสตูล
2025-01-16T15:06:50+07:00
อรพรรณ ก้อนหิน
looktan51.1994@gmail.com
<p>การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงพรรณนา (Descriptive researchแบบภาคตัดขวาง (Cross sectional study) มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการมีส่วนร่วมการดำเนินงานอนามัยสิ่งแวดล้อมตามเกณฑ์ GREEN & CLEAN ของบุคลากรโรงพยาบาลชุมชน และความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยด้านแรงจูงใจ และแรงสนับสนุนทางสังคม กับการมีส่วนร่วมการดำเนินงานอนามัยสิ่งแวดล้อมตามเกณฑ์ GREEN & CLEAN ของบุคลากรโรงพยาบาลชุมชน จังหวัดสตูล กลุ่มตัวอย่างเป็นบุคลากรที่ปฏิบัติงานในโรงพยาบาลชุมชน จังหวัดสตูลได้มาโดยการสุ่มอย่างเป็นระบบ จำนวน 250 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม จำนวน 4 ส่วน ตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือโดยผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 5 ท่าน ค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ได้เท่ากับ 0.80 และค่าความเชื่อมั่น (Reliability) ทั้งฉบับได้เท่ากับ 0.86 สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ แจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ สถิติการถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน</p> <p> ผลการศึกษา พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ร้อยละ 90.70 อายุส่วนใหญ่อยู่ระหว่าง 18-30 ปี ร้อยละ 42.90 ระดับการศึกษาส่วนใหญ่การศึกษาระดับปริญญาตรี ร้อยละ 70.00 ลักษณะงานส่วนใหญ่เป็นพยาบาลวิชาชีพ ร้อยละ 71.10 การมีส่วนร่วมการดำเนินงานอนามัยสิ่งแวดล้อมตามเกณฑ์ GREEN & CLEAN ของบุคลากรโรงพยาบาลชุมชน เฉลี่ยรวมทุกด้าน อยู่ในระดับมาก ( =3.56, S.D=0.74) และโดยรวมอยู่ในระดับมาก ปัจจัยด้านการกระตุ้นติดตาม ด้านการได้รับการสร้างขวัญและกำลังใจจากผู้บริหาร ด้านแรงจูงใจ ด้านการให้โอกาสการมีส่วนร่วม สามารถทำนายด้านการมีส่วนร่วมการดำเนินงานอนามัยสิ่งแวดล้อมตามเกณฑ์ GREEN & CLEAN ของบุคลากรโรงพยาบาลชุมชน ร้อยละ 54.70 (R<sup>2</sup> =0.547, β=0.157, p=0.010) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p>
2025-01-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารสุขภาพสตรอง แอนด์ เฮลที้