วารสารสุขภาพสตรอง แอนด์ เฮลที้ https://he04.tci-thaijo.org/index.php/SAHJ <p><strong>วารสารสุขภาพสตรอง แอนด์ เฮลที้ (Online)<br />ISSN 3057-1103 (Online)<br /><br />นโยบายและขอบเขตการเผยแพร่<br /></strong>วารสารสุขภาพสตรอง แอนด์ เฮลที้เป็นวารสารทางวิชาการ จัดเผยแพร่โดยบริษัท สตรอง แอนด์ เฮลที้ จำกัด มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ ถ่ายทอดองค์ความรู้ ด้านการแพทย์และสาธารณสุข โดยมีขอบเขตเนื้อหาการตีพิมพ์ ประกอบด้วย ด้านการแพทย์ วิทยาศาสตร์การแพทย์สาธารณสุข และนวัตกรรมสุขภาพ การพยาบาล เภสัชกรรม อนามัยสิ่งแวดล้อม อาชีวอนามัยและความปลอดภัย และด้านอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ</p> <p><strong>กระบวนการประเมินบทความ<br /></strong>บทความทุกบทความจะถูกประเมินโดยผู้ทรงคุณวุฒิ ในสาขาที่เชี่ยวชาญอย่างน้อย 2 ท่าน แบบผู้ทรงคุณวุฒิ และผู้แต่งไม่ทราบชื่อกันและกัน (double blind peer review) </p> <p><strong>ประเภทของบทความ<br /></strong>บทความวิจัย บทความวิชาการ กรณีศึกษา บทวิจารณ์ และบทความปริทัศน์</p> <p><strong>ภาษาที่เผยแพร่<br /></strong>ภาษาไทย และภาษาอังกฤษ</p> <p><strong>กำหนดเผยแพร่<br /></strong>วารสารฯ กำหนดเผยแพร่กำหนดการเผยแพร่ : 3 ฉบับต่อปี ดังนี้</p> <p>ฉบับที่ 1 มกราคม - เมษายน</p> <p>ฉบับที่ 2 พฤษภาคม - สิงหาคม </p> <p>ฉบับที่ 3 กันยายน - ธันวาคม</p> <p>กำหนดการออกฉบับละ 4 - 6 บทความ</p> <p><strong>เจ้าของวารสาร : </strong>บริษัท สตรอง แอนด์ เฮลที้ จำกัด</p> <p><strong>ค่าธรรมเนียมในการตีพิมพ์ :</strong> 2000 บาท/บทความ</p> บริษัท สตรอง แอนด์ เฮลที้ จำกัด th-TH วารสารสุขภาพสตรอง แอนด์ เฮลที้ 3057-1103 ความรอบรู้ด้านสุขภาพที่มีผลต่อพฤติกรรมการป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดสมองของผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง อำเภอเมือง จังหวัดสตูล https://he04.tci-thaijo.org/index.php/SAHJ/article/view/2619 <p> การวิจัยเชิงสำรวจแบบภาคตัดขวางนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาความรอบรู้ด้านสุขภาพ และพฤติกรรมการป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดสมองของผู้ป่วยความดันโลหิตสูง 2) เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ระหว่าง เพศ อายุ ระดับการศึกษา อาชีพ รายได้ สถานภาพ ความรอบรู้ด้านสุขภาพกับพฤติกรรมการป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดสมองของผู้ป่วยความดันโลหิตสูง ประชากรในการศึกษาคือผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาโรคความดันโลหิตสูง โดยมีการสุ่มอย่างเป็นระบบ จำนวน 312 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม จำนวน 3 ส่วน ประกอบด้วย 1) ข้อมูลส่วนบุคคล 2) ปัจจัยความรอบรู้ด้านสุขภาพเกี่ยวกับการป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง 3) พฤติกรรมการป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดสมองของผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง ตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือ มีค่าดัชนีความสอดคล้องได้เท่ากับ 0.98 และค่าความเชื่อมั่น ได้เท่ากับ 0.95 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ สถิติเชิงพรรณนา จำนวน ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน (Pearson’s Product Moment Correlation Coefficient) และ สเปียแมน<br /> ผลการศึกษา พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง คิดเป็นร้อยละ 59.60 อายุเฉลี่ย 55 ปี ระดับการศึกษาอนุปริญญา/ปวส. คิดเป็นร้อยละ 63.14 สถานภาพ สมรส คิดเป็นร้อยละ 60.60 ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพค้าขาย คิดเป็นร้อยละ 30.10 รายได้เฉลี่ยต่อเดือนมีรายได้ระหว่างห้าพันถึงหนึ่งหมื่นบาท ความรอบรู้ด้านสุขภาพโดยรวม มีคะแนนเฉลี่ยรวมทุกด้านอยู่ในระดับมาก ( =3.55, S.D=0.89) ระดับการศึกษา ด้านความรู้ความเข้าใจการส่งเสริมในการป้องกันโรคหลอดเลือดสมอง ด้านการสื่อสารการส่งเสริมในการป้องกันโรคหลอดเลือดสมองด้านการจัดการตนเองในการป้องกันโรคหลอดเลือดสมอง มีความสัมพันธ์ทางบวกกับพฤติกรรมการป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดสมองของผู้ป่วยความดันโลหิตสูง อย่างนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 ส่วนด้านการเข้าถึงการได้รับข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ และความรอบรู้ด้านสุขภาพโดยรวมมีความสัมพันธ์ทางบวกกับพฤติกรรมการป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดสมองของผู้ป่วยความดันโลหิตสูง อย่างนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p> สุขสันต์ มรรคาเขต ธนกร ศรีสุวรรณ รุ่งพนา ยุทธวรวิทย์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสุขภาพสตรอง แอนด์ เฮลที้ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-09-14 2025-09-14 1 3 5 18 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านพุหวาย อำเภอด่านช้าง จังหวัดสุพรรณบุรี https://he04.tci-thaijo.org/index.php/SAHJ/article/view/3361 <p> การวิจัยนี้เป็นการศึกษาเชิงปริมาณ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านพุหวาย อำเภอด่านช้าง จังหวัดสุพรรณบุรี กลุ่มตัวอย่างคือผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์และรับประทานยาอย่างต่อเนื่อง มีชื่อขึ้นทะเบียนในเขตพื้นที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านพุหวาย จำนวน 104 คน โดยการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาคือแบบสอบถามที่ผ่านการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหาโดยผู้ทรงคุณวุฒิ และมีค่าความเชื่อมั่น Cronbach's Alpha เท่ากับ 0.959 การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ Chi-Square test, Spearman Correlation Coefficient และ Pearson Product Moment Correlation Coefficient กำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05<br /> ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง (ร้อยละ 58.65) กลุ่มอายุที่มีมากที่สุดคือ 31-40 ปี (ร้อยละ 24.04)ส่วนใหญ่มีสถานภาพสมรสแยกกันอยู่ (ร้อยละ 47.12) การศึกษาอยู่ในระดับประถมศึกษา (ร้อยละ 40.39) ประกอบอาชีพรับจ้าง (ร้อยละ 33.65) และระยะเวลาที่ป่วยมากที่สุดคือ 2 ปี (ร้อยละ 41.35) ในภาพรวมกลุ่มตัวอย่างมีความคิดเห็นในแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพอยู่ในระดับมาก ( = 3.58, S.D. = 0.20) <br /> ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ทางบวกในระดับปานกลางถึงสูงกับพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ได้แก่ การรับรู้โอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวาน การรับรู้ความรุนแรงของโรคเบาหวาน การรับรู้ถึงประโยชน์ของการรักษาและป้องกันโรคเบาหวาน และการรับรู้สิ่งชักนำให้เกิดการปฏิบัติด้านการดูแลตนเอง ส่วนอายุมีความสัมพันธ์ทางลบในระดับสูง และรายได้กับระยะเวลาที่ป่วยมีความสัมพันธ์ทางลบในระดับต่ำมาก</p> <p class="s13"><br /><br /></p> ปิ่นรุ้ง สุขเวศม์ ชัญณัชชา บุญรัตน์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสุขภาพสตรอง แอนด์ เฮลที้ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-10-09 2025-10-09 1 3 19 33