https://he04.tci-thaijo.org/index.php/TJP/issue/feed วารสารกุมารเวชศาสตร์ 2025-09-30T00:00:00+07:00 พลตรี ศ. วีระชัย วัฒนวีรเดช veerachaiw@yahoo.com Open Journal Systems <p>วารสารกุมารเวชศาสตร์ (Thai Journal of Pediatrics) เป็นวารสารวิชาการทางการแพทย์ที่เผยแพร่ผลงานทางวิชาการ เกี่ยวกับกุมารเวชศาสตร์ เป็นภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษ</p> https://he04.tci-thaijo.org/index.php/TJP/article/view/3164 รายงานการอุบัติซ้ำของโรคคอตีบในเด็กโรงพยาบาลแม่สอด จังหวัดตาก พ.ศ. 2567 2025-07-18T16:10:53+07:00 วรรณพร ลิ่มปิติกุล poodle.jib@gmail.com วรรณี ลิ่มปิติกุล nunee074@hotmail.com <p><strong>ความเป็นมา:</strong> การกลับมาระบาดของโรคที่สามารถป้องกันได้ด้วยวัคซีน เช่น โรคคอตีบ สะท้อนถึงความบกพร่องในระบบการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันในกลุ่มประชากรผู้อพยพและในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากความไม่สงบและภัยสงคราม</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>:</strong> เพื่อศึกษาลักษณะทางคลินิก แนวทางการรักษา และผลลัพธ์ของผู้ป่วยเด็กที่ติดเชื้อโรคคอตีบในเขตพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมา ณ โรงพยาบาลแม่สอด จังหวัดตาก ในปี พ.ศ. 2567</p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong><strong>:</strong> การศึกษาเชิงพรรณนาแบบย้อนหลังและไปข้างหน้า (a retro-prospective descriptive study) จากการทบทวนเวชระเบียนของผู้ป่วยเด็กที่ได้รับการวินิจฉัยเป็นโรคคอตีบทั้งจากการยืนยันทางห้องปฏิบัติการหรือการวินิจฉัยทางคลินิก จำนวน 5 ราย โดยรวบรวมข้อมูลด้านประชากรศาสตร์ ประวัติการได้รับวัคซีน ลักษณะอาการ ภาวะแทรกซ้อน การรักษา และผลลัพธ์ทางคลินิก</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong><strong>:</strong> ผู้ป่วยเด็ก 5 รายได้รับการวินิจฉัยเป็นโรคคอตีบทั้งจากการยืนยันทางห้องปฏิบัติการหรือการวินิจฉัยทางคลินิก เป็นชาวเมียนมาอาศัยอยู่ที่ประเทศเมียนมา 1 ราย อีก 4 รายอาศัยอยู่ในอำเภอแม่สอด อายุระหว่าง 4.25–9.08 ปี ทั้งหมดมีประวัติการได้รับวัคซีนไม่ครบถ้วนหรือไม่ได้รับวัคซีน อาการที่พบบ่อย ได้แก่ ไข้ เจ็บคอ และพบแผ่นเยื่อเทาในลำคอ โดยเป็นเคสยืนยันจากผลตรวจทางห้องปฏิบัติการ จำนวน 4 ราย วินิจฉัยจากลักษณะทางคลินิก 1 ราย ภาวะแทรกซ้อนรุนแรง ได้แก่ การอุดกั้นทางเดินหายใจส่วนบน จำนวน 2 ราย กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ 2 ราย ไตวายเฉียบพลัน 2 ราย และภาวะเส้นประสาทอักเสบ 1 ราย อัตราการเสียชีวิตอยู่ที่ร้อยละ 40 โดยสาเหตุหลักมาจากภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ</p> <p><strong>สรุป:</strong>โรคคอตีบยังเป็นปัญหาสำคัญในกลุ่มผู้อพยพและในพื้นที่เสี่ยงเนื่องจากระบบการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันให้บริการได้ไม่ทั่วถึง จึงจำเป็นต้องดำเนินการให้เกิดความครอบคลุมของวัคซีนของทั้งประชากรไทยและกลุ่มผู้อพยพ เพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันแบบหมู่และป้องกันการระบาดซ้ำของโรคที่ป้องกันได้ด้วยวัคซีน</p> 2025-09-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย และ สมาคมกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย https://he04.tci-thaijo.org/index.php/TJP/article/view/3254 ผลของการให้สารลดแรงตึงผิวต่ออัตราการเกิดโรคปอดอักเสบจากการใช้เครื่องช่วยหายใจในหอผู้ป่วยวิกฤตทารกแรกเกิด 2025-08-01T10:17:26+07:00 ศริญญา ตั้งสิทธิโชค sarinyathangsittichok@gmail.com <p><strong>ความเป็นมา:</strong> ปอดอักเสบที่เกี่ยวข้องกับการใช้เครื่องช่วยหายใจ (ventilator-associated pneumonia หรือ VAP) เป็นภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญในทารกแรกเกิดที่ได้รับการช่วยหายใจด้วยเครื่องช่วยหายใจแบบใส่ท่อช่วยหายใจ ส่งผลให้มีอัตราการเจ็บป่วยและเสียชีวิตสูงขึ้น การให้สารลดแรงตึงผิวปอด (surfactant therapy) เป็นการรักษาที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในภาวะหายใจลำบากตั้งแต่แรกเกิด (respiratory distress syndrome; RDS) ในทารกแรกเกิด แต่ผลกระทบของการใช้สารลดแรงตึงผิวต่ออุบัติการณ์ของ VAP ยังไม่ชัดเจน</p> <p><strong>วัตถุประสงค์:</strong> เพื่อประเมินว่าการให้สารลดแรงตึงผิวมีผลต่อการลดอุบัติการณ์ของ VAP ในทารกแรกเกิดที่ได้รับการช่วยหายใจด้วยเครื่องช่วยหายใจแบบใส่ท่อช่วยหายใจหรือไม่</p> <p><strong>วิธีการศึกษา:</strong> เป็นการศึกษาย้อนหลัง ( retrospective study) โดยการทบทวนเวชระเบียนที่โรงพยาบาลพิจิตร ในทารกแรกเกิดที่เข้ารับการรักษาในหอผู้ป่วยวิกฤตทารกแรกเกิด (NICU) และใช้เครื่องช่วยหายใจแบบใส่ท่อช่วยหายใจ ระหว่างวันที่ 1 กันยายน พ.ศ.2555 ถึง 30 กันยายน พ.ศ.2564 แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ได้รับสารลดแรงตึงผิว และกลุ่มที่ไม่ได้รับสารลดแรงตึงผิว ข้อมูลประชากร ลักษณะทางคลินิก และผลลัพธ์ถูกรวบรวมและวิเคราะห์</p> <p><strong>ผลการศึกษา:</strong> มีทารกแรกเกิดเข้าร่วมทั้งหมด 132 ราย โดยแบ่งกลุ่มละ 66 ราย กลุ่มที่ได้รับสารลดแรงตึงผิวมีอุบัติการณ์ของ VAP ต่ำกว่ากลุ่มที่ไม่ได้รับอย่างมีนัยสำคัญ (ร้อยละ 27.3 เทียบกับ ร้อยละ 54.6, p value 0.002) นอกจากนี้ กลุ่มสารลดแรงตึงผิวยังมีระยะเวลาการช่วยหายใจด้วยเครื่องช่วยหายใจสั้นกว่าอย่างมีนัยสำคัญ (6 วัน เทียบกับ 8 วัน, p value 0.023) แต่ไม่พบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญของระยะเวลาพักรักษาใน NICU หรืออัตราการตายระหว่างสองกลุ่ม</p> <p><strong>สรุป:</strong> การให้สารลดแรงตึงผิวสัมพันธ์กับการลดอุบัติการณ์ของ VAP ในทารกแรกเกิดที่ได้รับการช่วยหายใจด้วยเครื่องช่วยหายใจแบบใส่ท่อช่วยหายใจ ผลการศึกษานี้ชี้ให้เห็นว่า การใช้สารลดแรงตึงผิวอาจมีประโยชน์นอกเหนือจากการรักษา RDS โดยช่วยลดความเสี่ยงของการเกิด VAP ในประชากรทารกที่เปราะบางกลุ่มนี้</p> 2025-09-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย และ สมาคมกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย https://he04.tci-thaijo.org/index.php/TJP/article/view/3313 การวิเคราะห์ทารกที่มีภาวะน้ำดีคั่งตับที่มีระดับแกมมา-กลูตามิลทรานสเฟอเรสต่ำถึงปกติ 2025-07-29T12:09:58+07:00 บุศรา เจริญวัฒน์ busarcha@kku.ac.th กุณฑล วิชาจารย์ wkhunt@kku.ac.th กนกวรรณ อิ่มถวิล kanoim@kku.ac.th <p><strong>ความเป็นมา</strong><strong>: </strong>ภาวะน้ำดีคั่งในทารกแรกเกิดที่มีระดับเอนไซม์แกมมา-กลูตามิลทรานสเฟอเรส (GGT) ต่ำถึงปกติ พบได้น้อยแต่มีความสำคัญ เนื่องจากสัมพันธ์กับโรคทางพันธุกรรมหลายชนิด โดยเฉพาะกลุ่ม progressive familial intrahepatic cholestasis (PFIC) ซึ่งหนึ่งในสาเหตุหลักคือการกลายพันธุ์ของยีน <em>ABCB11</em> ซึ่งทำหน้าที่สร้างโปรตีน bile salt export pump (BSEP) ที่มีบทบาทสำคัญในการขับกรดน้ำดีออกจากเซลล์ตับ</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>: </strong>เพื่อศึกษาการกลายพันธุ์ของยีน <em>ABCB11</em> ในภาวะน้ำดีคั่งในทารกแรกเกิดที่มีระดับ GGT ต่ำถึงปกติ</p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong><strong>: </strong>การศึกษาเชิงพยากรณ์ (prospective study) ดำเนินการระหว่างปี พ.ศ. 2560 ถึง 2564 ที่โรงพยาบาลศรีนครินทร์ จังหวัดขอนแก่น ประเทศไทย โดยศึกษาในทารกแรกเกิดจำนวน 6 รายที่มีภาวะน้ำดีคั่งและระดับ GGT ต่ำถึงปกติ ที่ไม่ได้มีสาเหตุจากการติดเชื้อ ผ่าตัด หรือกลุ่มอาการทางพันธุกรรม โดยทำการตรวจวิเคราะห์กรดน้ำดีในปัสสาวะเพื่อคัดกรองภาวะความผิดปกติในการสังเคราะห์กรดน้ำดี และตรวจหาการกลายพันธุ์ของยีน <em>ABCB11</em> ทั้ง 28 เอ็กซอน (exons) ด้วยเทคนิค next-generation sequencing (NGS)</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong><strong>: </strong>ผู้ป่วยทั้ง 6 รายมีผลตรวจทางชีวเคมีที่บ่งชี้ภาวะน้ำดีคั่งและพยาธิสภาพทางเนื้อเยื่อตับที่สอดคล้องกับการบาดเจ็บของเซลล์ตับ อย่างไรก็ตาม ไม่พบการกลายพันธุ์ที่ก่อโรคในยีน <em>ABCB11</em> โดยตรวจพบเพียงการเปลี่ยนแปลงของรหัสพันธุกรรมที่จัดอยู่ในกลุ่ม benign variants และ variants of uncertain significance (VUS) เท่านั้น</p> <p><strong>สรุป</strong><strong>: </strong>การไม่พบการกลายพันธุ์ที่ก่อโรคในยีน <em>ABCB11</em> ในผู้ป่วยกลุ่มนี้ ชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นในการเพิ่มศักยภาพของการตรวจทางพันธุกรรม และการวิเคราะห์การทำงานของโปรตีน เพื่อช่วยในการวินิจฉัยโรคภาวะน้ำดีคั่งในทารกแรกเกิดที่มีระดับ GGT ต่ำอย่างแม่นยำยิ่งขึ้น</p> 2025-09-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย และ สมาคมกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย https://he04.tci-thaijo.org/index.php/TJP/article/view/3182 อัตราการวินิจฉัยโรคด้วยวิธีการตรวจรหัสพันธุกรรมแบบชุดยีนสำหรับโรคกล้ามเนื้อร่วมประสาทในผู้ป่วยเด็กโรคกล้ามเนื้อร่วมประสาทแต่กำเนิดในโรงพยาบาลต่างจังหวัด 2025-07-29T12:09:35+07:00 ภัสราพร ว่องธวัชชัย wongthawatchai@gmail.com ทิพาพร ทองมาก tipaing@gmail.com เก๋ พงศ์วัชราภรณ์ kea4591@gmail.com จุฬาลักษณ์ คุปตานนท์ chulaluck.k@rsu.ac.th <p><strong>ความเป็นมา</strong>: โรคกล้ามเนื้อร่วมประสาทแต่กำเนิดเป็นสาเหตุสำคัญของความผิดปกติในการทำงานของกล้ามเนื้อในเด็ก การวินิจฉัยในโรงพยาบาลต่างจังหวัดมีข้อจำกัดด้านการตรวจพิเศษ เช่น การตัดชิ้นกล้ามเนื้อ ปัจจุบันมีการนำเทคโนโลยีการตรวจรหัสพันธุกรรมแบบชุดยีนมาใช้ในการวินิจฉัยโรคกลุ่มนี้ ทำให้ผู้ป่วยได้รับการวินิจฉัยที่ถูกต้องและได้รับการรักษาที่เหมาะสม</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>: </strong>เพื่อศึกษาอัตราการวินิจฉัยโรคกล้ามเนื้อร่วมประสาทแต่กำเนิดในผู้ป่วยเด็กด้วยวิธีการตรวจรหัสพันธุกรรมแบบชุดยีนสำหรับโรคกล้ามเนื้อร่วมประสาทในโรงพยาบาลต่างจังหวัด</p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong><strong>: </strong>ทำการศึกษาแบบ prospective study ในผู้ป่วยเด็กที่มีอาการและอาการแสดงสงสัยโรคกล้ามเนื้อร่วมประสาทแต่กำเนิด โดยได้รับการวินิจฉัยเบื้องต้นจากกุมารแพทย์ระบบประสาทในโรงพยาบาลต่างจังหวัด ระหว่างวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2565 ถึง 31 มีนาคม พ.ศ. 2567 ผู้ป่วยได้รับการตรวจวินิจฉัยทางพันธุกรรมภายในประเทศขึ้นกับอาการแสดงทางคลินิก ได้แก่ MLPA for DMD, SMN gene, CMT1A และ HNPP หลังจากผลการตรวจอยู่ในเกณฑ์ปกติ ผู้ป่วยจะได้รับการให้คำปรึกษาทางพันธุกรรมและส่งตรวจเลือดด้วยวิธีการตรวจรหัสพันธุกรรมแบบชุดยีนสำหรับโรคกล้ามเนื้อร่วมประสาท จำนวน 211 ยีน ข้อมูลที่ได้ถูกนำมาวิเคราะห์ด้วยสถิติเชิงพรรณนา</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong><strong>: </strong>มีผู้ป่วยเข้าร่วมงานวิจัยจำนวน 6 ราย เป็นเพศชายร้อยละ 67 อายุน้อยที่สุด 10 เดือน อายุมากที่สุด 14 ปี 4 เดือน อายุที่เริ่มมีอาการเฉลี่ย 2 ปี 3 เดือน ± 27 เดือน มีผู้ป่วย 1 รายที่มีประวัติกล้ามเนื้ออ่อนแรงในครอบครัว ผู้ป่วย 2 ใน 6 รายตรวจพบ pathogenic variants มีความผิดปกติของยีน DMD ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคกล้ามเนื้อเสื่อมดูเชนน์ ผู้ป่วย 1 รายพบความผิดปกติของยีน GAA แต่เมื่อตรวจ GAA enzyme assay ไม่พบความผิดปกติ จึงไม่สามารถวินิจฉัยได้ มีผู้ป่วย 3 รายพบผลการตรวจเป็น variant of uncertain significance identified ดังนั้นอัตราการวินิจฉัยโรคในผู้ป่วยเด็กโรคกล้ามเนื้อร่วมประสาทแต่กำเนิดด้วยวิธีการตรวจรหัสพันธุกรรมแบบชุดยีนสำหรับโรคกล้ามเนื้อร่วมประสาทจึงเท่ากับร้อยละ 33</p> <p><strong>สรุป</strong>: การตรวจรหัสพันธุกรรมแบบชุดยีนสำหรับโรคกล้ามเนื้อร่วมประสาทมีประโยชน์ในการช่วยวินิจฉัยโรคกล้ามเนื้อร่วมประสาทแต่กำเนิดในผู้ป่วยเด็กในโรงพยาบาลต่างจังหวัดได้ ลดการทำหัตถการที่รุกล้ำ และเพิ่มโอกาสให้กับผู้ป่วยเด็กในต่างจังหวัดให้ได้รับการวินิจฉัย และรักษาอย่างเหมาะสม</p> 2025-09-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย และ สมาคมกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย https://he04.tci-thaijo.org/index.php/TJP/article/view/3198 ปัจจัยที่สัมพันธ์ต่อการเกิดภาวะชักจากไข้ซ้ำหลังเกิดภาวะชักจากไข้ครั้งแรกในผู้ป่วยเด็กโรงพยาบาลลำปาง 2025-07-29T12:09:40+07:00 กรรณิการ์ ศรีสุวรรณ kskan002@gmail.com อนวัช บุปผาเจริญสุข anawat_ton@hotmail.com ชนกนันท์ สอนอุ่น chanoknan_oak@hotmail.com <p><strong>ความเป็นมา</strong><strong>: </strong>ภาวะชักจากไข้เป็นภาวะที่พบบ่อยที่สุดในโรคทางระบบประสาทเด็ก ผู้ป่วยเด็กที่มีภาวะชักจากไข้ครั้งแรกมีโอกาสเกิดภาวะชักจากไข้ซ้ำได้ประมาณร้อยละ 30 โรงพยาบาลลำปางพบผู้ป่วยเด็กที่มีภาวะชักจากไข้เป็นจำนวนมาก และเกิดภาวะชักจากไข้ซ้ำกลับมารักษาในโรงพยาบาล ภาวะชักจากไข้จึงเป็นปัญหาที่สำคัญในการหาปัจจัยที่เกี่ยวข้อง และป้องกันการกลับมาชักซ้ำ</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>: </strong>เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการเกิดภาวะชักจากไข้ซ้ำ และความชุกของภาวะชักจากไข้ซ้ำ หลังเกิดภาวะชักจากไข้ครั้งแรกในผู้ป่วยเด็ก โรงพยาบาลลำปาง</p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong><strong>: </strong>ศึกษาย้อนหลัง (retrospective cohort study) ทบทวนเวชระเบียนผู้ป่วยเด็กที่ได้รับการวินิจฉัยว่ามีภาวะชักจากไข้ครั้งแรก ระหว่างเดือนตุลาคม พ.ศ. 2559 ถึง กันยายน พ.ศ. 2563</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong><strong>: </strong>ผู้ป่วยเด็กที่ได้รับการวินิจฉัยว่ามีภาวะชักจากไข้ครั้งแรกทั้งหมด 331 ราย พบเป็นเพศชาย 198 ราย(ร้อยละ 59) อายุเฉลี่ยผู้ป่วยเด็กที่มีภาวะชักจากไข้ครั้งแรกอายุ 20.8±10.2 เดือน ชักครั้งแรกแบบ complex febrile seizure 59 ราย (ร้อยละ 17.8) มีประวัติชักจากไข้ในครอบครัวร้อยละ 24.2 และมีประวัติโรคลมชักในครอบครัวร้อยละ 0.9 สาเหตุของการเกิดภาวะชักจากไข้ครั้งแรกที่พบมากที่สุด คือ ติดเชื้อระบบทางเดินหายใจส่วนบนร้อยละ 39.5 ในผู้ป่วยเด็กที่มีภาวะชักจากไข้ซ้ำ 80 ราย (ร้อยละ 24.2) พบว่าช่วงเวลาการเกิดภาวะชักจากไข้ซ้ำมักเกิดขึ้นในช่วง 1 ปีแรกมากที่สุด (ร้อยละ 70) ปัจจัยที่สัมพันธ์ต่อการเกิดภาวะชักจากไข้ซ้ำหลังเกิดภาวะชักจากไข้ครั้งแรกในผู้ป่วยเด็ก โรงพยาบาลลำปาง ได้แก่ อายุที่เริ่มชักน้อยกว่า 18 เดือน มีประวัติคลอดก่อนกำหนด และมีประวัติชักจากไข้ในครอบครัว พบว่าเสี่ยงต่อการเกิดภาวะชักจากไข้ซ้ำ 2.05, 2.08, และ 1.80 เท่า ตามลำดับ เมื่อเทียบกับผู้ป่วยเด็กที่ไม่มีปัจจัยดังกล่าว</p> <p><strong>สรุป</strong><strong>:</strong> ปัจจัยที่สัมพันธ์ต่อการเกิดภาวะชักจากไข้ซ้ำหลังเกิดภาวะชักจากไข้ครั้งแรกในผู้ป่วยเด็ก โรงพยาบาลลำปางได้แก่ อายุที่เริ่มชักน้อยกว่า 18 เดือน มีประวัติคลอดก่อนกำหนด และมีประวัติชักจากไข้ในครอบครัว</p> 2025-09-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย และ สมาคมกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย https://he04.tci-thaijo.org/index.php/TJP/article/view/3315 ความรู้ ทัศนคติ และการปฏิบัติตัวเกี่ยวกับภาวะชักจากไข้ในเด็กของผู้ดูแลเด็กป่วยในโรงพยาบาลปทุมธานี 2025-07-18T16:27:00+07:00 สาธิตา เจียมศรีพงษ์ satitasky@hotmail.com <p><strong>บทนำ:</strong> ภาวะชักจากไข้พบได้บ่อยในเด็กอายุ 6 เดือนถึง 5 ปี แม้ส่วนใหญ่เป็นภาวะที่ไม่รุนแรง แต่อาจทำให้ผู้ดูแลเด็กเกิดความวิตกกังวล เนื่องจากความเข้าใจผิดเกี่ยวกับความเสี่ยงต่อความพิการทางสมอง พัฒนาการล่าช้า และโรคลมชัก การปฐมพยาบาลเบื้องต้นที่ไม่เหมาะสมอาจก่อให้เกิดอันตรายแก่เด็กได้</p> <p><strong>วัตถุประสงค์:</strong> เพื่อศึกษาระดับความรู้ ทัศนคติ และการปฏิบัติตัวของผู้ดูแลเด็กเกี่ยวกับอาการชักจากไข้ และวิเคราะห์ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับความรู้ ทัศนคติ และการปฏิบัติตัว</p> <p><strong>วิธีการศึกษา:</strong> การศึกษาเชิงพรรณนาแบบไปข้างหน้า ที่โรงพยาบาลปทุมธานี ตั้งแต่เดือนกันยายน 2567 ถึงเมษายน 2568 กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ดูแลเด็ก 478 คน ที่ตอบแบบสอบถาม KAP จำนวน 32 ข้อ</p> <p><strong>ผลการศึกษา:</strong> ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ร้อยละ 83.7 และเป็นมารดา ร้อยละ 72.4 ผู้ดูแลเด็ก ร้อยละ 59.6 มีคะแนนความรู้ต่ำ ร้อยละ &lt;70 โดยความเข้าใจผิดที่พบบ่อย ได้แก่ การใส่วัตถุในปากระหว่างชัก ร้อยละ 46.5% ความเชื่อว่าอาการชักอาจทำให้พิการหรือเสียชีวิต ร้อยละ 72.6 และเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคลมชัก ร้อยละ 68.7 ผู้ดูแลเด็กส่วนใหญ่รู้สึกกังวล ร้อยละ 89.2 แต่มีแนวโน้มปฏิบัติตัวได้ถูกต้อง เช่น ตั้งสติ ร้อยละ 87.8% เช็ดตัวลดไข้ ร้อยละ 85.7 และนำเด็กส่งโรงพยาบาลทันที ร้อยละ 97.2 การวิเคราะห์ถดถอยโลจิสติกพบว่าปัจจัยที่มีผลต่อระดับความรู้ที่ดี เช่น ผู้ป่วยเด็กเป็นบุตรลำดับที่ 4 หรือมากกว่า ผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยภาวะชักจากไข้ ประวัติครอบครัวมีภาวะชักจากไข้ และระดับการศึกษา (ปวช. ปวส. และปริญญาตรี) ปัจจัยที่มีผลต่อทัศนคติเชิงบวกของผู้ดูแลเด็ก คือ ผู้ดูแลเด็กที่มีผู้ป่วยอายุมากกว่า 5 ปี ประวัติภาวะชักจากไข้ (1-3 ครั้ง) และการศึกษาระดับปริญญาตรี ปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมที่ดี คือ ผู้ดูแลเด็กที่มีผู้ป่วยเด็กที่ได้รับการวินิจฉัยภาวะชักจากไข้ ความรู้ในระดับดีมีความสัมพันธ์กับทัศนคติที่ดี (OR<sub> adjusted</sub> = 4.6) และแนวทางการปฏิบัติตัวที่เหมาะสม (OR<sub> adjusted</sub> = 2.1) อย่างมีนัยสำคัญ</p> <p><strong>สรุป:</strong> ผู้ดูแลเด็กส่วนใหญ่ยังมีความรู้เกี่ยวกับอาการชักจากไข้ที่ไม่เพียงพอและมีความเข้าใจคลาดเคลื่อน ดังนั้นควรส่งเสริมการให้ความรู้เพื่อเพิ่มความเข้าใจที่ถูกต้อง ลดความวิตกกังวล และส่งเสริมการปฏิบัติที่เหมาะสม</p> 2025-09-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย และ สมาคมกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย https://he04.tci-thaijo.org/index.php/TJP/article/view/3070 การดำเนินโรคของภาวะซีดรุนแรงในทารกแรกเกิดที่มีสาเหตุจากโรคผนังเม็ดเลือดแดงแตกง่ายชนิด hereditary pyropoikilocytosis 2025-07-29T12:09:25+07:00 สุมลมาลย์ คล้ำชื่น drsumonmaln@gmail.com <p><strong>ความเป็นมา</strong><strong>:</strong> Hereditary pyropoikilocytosis (HPP) เป็นภาวะผิดปกติของเยื่อหุ้มเซลล์เม็ดเลือดแดงพบได้ไม่บ่อย ถ่ายทอดทางพันธุกรรมโดยมักเกิดจากความผิดปกติของยีนควบคุมโครงสร้างเยื่อหุ้มเซลล์เม็ดเลือดชนิด SPTB ทำให้เกิดภาวะซีดรุนแรงในทารกแรกเกิด เป็นปัญหาที่ต้องได้รับการวินิจฉัยหาสาเหตุและให้การดูแลรักษาอย่างเหมาะสม บางรายมีภาวะซีดรุนแรงตั้งแต่อยู่ในครรภ์ทำให้เสียชีวิตจากภาวะแทรกซ้อน</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>:</strong> เพื่อศึกษาอาการทางคลินิกของโรค HPP เพื่อเป็นแนวทางการดูแลรักษาที่เหมาะสม</p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong><strong>: </strong>เป็นการศึกษาเชิงพรรณนา โดยเก็บข้อมูลย้อนหลัง เช่น อาการทางคลินิก ผลตรวจทางห้องปฏิบัติการต่าง ๆ การรักษาที่ได้รับและผลการรักษาตั้งแต่เดือนมกราคม พ.ศ. 2557 ถึง เดือนธันวาคม พ.ศ. 2566</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong><strong>:</strong> ผู้ป่วยเด็กจำนวน 14 รายที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็น HPP เป็นเพศชาย 5 คน เพศหญิง 9 คน คลอดก่อนกำหนด 9 คน (ร้อยละ 64) น้ำหนักเฉลี่ยแรกเกิด 1,997 กรัม ชนิดการกลายพันธุ์ที่พบมากที่สุดคือ homozygous SPTB Buffalo และไม่พบชนิด SPTB Chaing Mai อาการทางคลินิก พบว่าผู้ป่วยมีค่าฮีโมโกลบินเฉลี่ยแรกเกิด 5.2 g/dL อาการตัวเหลือง ร้อยละ 100 ทารกบวมน้ำ ร้อยละ 7.1 ระบบหายใจล้มเหลว 10 ราย (ร้อยละ 71.4) โดยเกิดในทารก 1 ราย จาก 3 รายที่ได้รับการวินิจฉัยในครรภ์และได้รับการให้เลือดในครรภ์มารดาผ่านสายสะดือ (ร้อยละ 33.3) เกิดในทารก 9 ราย จาก 11 ราย ที่ได้รับการวินิจฉัยหลังคลอด (ร้อยละ 81) และยังพบมีความดันเลือดในปอดสูง ร้อยละ 35.7 ความดันโลหิตต่ำ ร้อยละ 35.7 การรักษาได้แก่ ให้เลือดผ่านสายสะดือ ร้อยละ 21.4 ให้เลือดตั้งแต่แรกเกิดร้อยละ 100 ส่องไฟ ร้อยละ 100 เปลี่ยนถ่ายเลือด ร้อยละ 64.3 ใส่ท่อช่วยหายใจ ร้อยละ 71.4 ผลการรักษาเสียชีวิต 1 ราย (ร้อยละ 7.1) จากลมรั่วในปอด จากผลการศึกษาการให้เลือดระหว่างตั้งครรภ์ ช่วยลดโอกาสการเสียชีวิตและการเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ การติดตามผู้ป่วย 13 ราย มีภาวะซีดชนิดพึ่งพาเลือด ระดับเหล็กเกิน ตับม้ามและหัวใจโตทุกราย น้ำหนักส่วนสูงต่ำกว่าค่าเฉลี่ยร้อยละ 84.6 การตัดม้าม 2 ราย (ร้อยละ15.4) รักษาโดยการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิต 1 ราย (ร้อยละ 7.7)</p> <p><strong>สรุป</strong><strong>:</strong> การดำเนินโรคของ HPP ทำให้ทารกมีซีดรุนแรงตั้งแต่ในครรภ์หรือแรกเกิด และเสียชีวิตได้จากการหายใจล้มเหลว ในผู้รอดชีวิตยังต้องให้เลือดสม่ำเสมอ ให้ยาขับเหล็ก การรักษาให้หายขาดโดยการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิต การวินิจฉัยก่อนคลอดโดยการตรวจวินิจฉัยยีนกลายพันธุ์ชนิด SPTB และการให้เลือดทารกในครรภ์ช่วยลดความรุนแรงของโรคระหว่างการตั้งครรภ์และเพิ่มโอกาสการรอดชีวิต</p> 2025-09-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย และ สมาคมกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย https://he04.tci-thaijo.org/index.php/TJP/article/view/2824 ปัจจัยที่สัมพันธ์กับความรุนแรงของการติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนล่างในผู้ป่วยเด็กจากเชื้ออาร์เอสวีที่โรงพยาบาลพระจอมเกล้า จังหวัดเพชรบุรี 2025-07-29T12:09:14+07:00 นลินพร ทัตตากร nubow.nalin@gmail.com <p><strong>ความเป็นมา</strong>: การติดเชื้อไวรัสอาร์เอสวีพบว่ามีความรุนแรงของโรคได้หลายระดับตั้งแต่เป็นไข้หวัด หลอดลมอักเสบ และปอดอักเสบจนมีภาวะระบบหายใจล้มเหลวเฉียบพลัน และพบว่าเป็นสาเหตุหลักของการติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนล่างในผู้ป่วยเด็กจนต้องเข้านอนโรงพยาบาลโดยเฉพาะในผู้ป่วยเด็กอายุน้อยกว่า 5 ปี</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong>: เพื่อหาปัจจัยที่สัมพันธ์กับการติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนล่างที่มีความรุนแรงจากเชื้ออาร์เอสวี</p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong>: การศึกษาแบบย้อนหลัง ในผู้ป่วยเด็กติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนล่างจากเชื้อไวรัสอาร์เอสวี (หลอดลมอักเสบ หลอดลมฝอยอักเสบ และปอดอักเสบ) ที่มีการตรวจยืนยันทางห้องปฏิบัติการอายุระหว่าง แรกเกิด ถึง 5 ปี ที่รับการรักษาในหอผู้ป่วยกุมารเวชกรรม และหอผู้ป่วยวิกฤตกุมารเวชกรรม โรงพยาบาลพระจอมเกล้า จังหวัดเพชรบุรีตั้งแต่ วันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2565 ถึงวันที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2567 เก็บข้อมูลจากเวชระเบียนอิเล็กทรอนิกส์ โดยมีนิยามโรครุนแรงคือ ผู้ป่วยเด็กที่มีผลตรวจทางห้องปฏิบัติการ ยืนยันว่ามีการติดเชื้อไวรัสอาร์เอสวี ร่วมกับมีการติดเชื้อระบบทางเดินหายใจส่วนล่างที่ได้รับการวินิจฉัยว่ามีภาวะหลอดลมฝอยอักเสบ หรือปอดอักเสบ ร่วมกับมีค่าความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือดต่ำกว่าร้อยละ 95 หรือมีอัตราหายใจเร็วกว่าเกณฑ์ปกติตามอายุ (ทารกแรกเกิดถึง 2 เดือน หายใจเร็วมากกว่า 60 ครั้งต่อนาที อายุ 2 เดือน ถึง 1 ปี หายใจเร็วมากกว่า 50 ครั้งต่อนาที และอายุ 1-5 ปี หายใจเร็วมากกว่า 40 ครั้งต่อนาทีตามลำดับ) หรือมีหน้าอกบุ๋ม หรือได้รับการรักษาด้วยเครื่องช่วยหายใจหรือเครื่องให้ออกซิเจนอัตราการไหลสูง (high flow nasal cannula) การวิเคราะห์ทางสถิติด้วยโลจิสติกรีเกรสชัน รายงาน OR และ 95% CI</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong>: ผู้ป่วยเด็กที่ติดเชื้อไวรัสอาร์เอสวี จำนวน 723 คน มีผู้ป่วยเด็กที่เป็นโรคติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนล่างจำนวน 631 คน และ 286 คน เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล และพบว่า 55 คน (ร้อยละ 25) มีอาการรุนแรง ซึ่งมี 44 คน (ร้อยละ 20) ต้องใช้เครื่องให้ออกซิเจนอัตราการไหลสูง (high flow nasal cannula) และ 11 คน (ร้อยละ 5) ต้องใส่ท่อช่วยหายใจ แต่ไม่มีรายงานการเสียชีวิตในโรงพยาบาล การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงสถิติ พบว่าโรคหืดเป็นปัจจัยเดียวที่มีความสัมพันธ์กับความรุนแรงของโรค (OR 15.5; 95% CI 3.84–62.65; p&lt;0.001) ในขณะที่ปัจจัยอื่น ๆ ไม่พบความสัมพันธ์กับความรุนแรงของโรค</p> <p><strong>สรุป</strong>: ผู้ป่วยเด็กติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนล่างจากไวรัสอาร์เอสวี พบว่าเกือบครึ่งหนึ่งมีอายุน้อยกว่า 1 ปี และพบอาการรุนแรงประมาณหนึ่งในสี่ พบว่าผู้ป่วยเด็กที่มีโรคประจำตัวเป็นโรคหืด สัมพันธ์กับอาการที่รุนแรงมากกว่าโรคประจำตัวอื่น ๆ ควรเฝ้าระวังใกล้ชิด</p> 2025-09-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย และ สมาคมกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย https://he04.tci-thaijo.org/index.php/TJP/article/view/3338 ผลลัพธ์ของการใช้ HFNC ในผู้ป่วยเด็กที่มีภาวะหายใจลำบากเฉียบพลัน 2025-07-18T16:30:10+07:00 นันทนิช วงษ์สวัสดิ์ nantanit050@gmail.com นิศารัตน์ สำเร Nisaratsumre@gmail.com <p><strong>ความสำคัญ</strong><strong>: </strong>ภาวะหายใจลำบาก (respiratory distress) ในเด็กเป็นปัญหาสำคัญที่พบได้บ่อย จัดเป็นภาวะฉุกเฉินที่ต้องได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างรวดเร็วเพื่อลดการเกิดภาวะทางเดินหายใจล้มเหลว ได้มีการนำ high flow nasal cannula (HFNC) เข้ามาใช้ในผู้ป่วยทางโรงพยาบาลสตูล ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2560</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>:</strong> เพื่อศึกษาผลลัพธ์ของการใช้ high flow nasal cannula (HFNC) ในการรักษาผู้ป่วยเด็กที่มีภาวะหายใจลำบากเฉียบพลันที่มารับการรักษาในโรงพยาบาลสตูล </p> <p><strong>วิธีการศึกษา:</strong> เป็นการศึกษารูปแบบเก็บข้อมูลย้อนหลัง ที่กลุ่มงานกุมารเวชกรรม โรงพยาบาลสตูล ศึกษาในผู้ป่วยเด็กอายุ 1 เดือน - 15 ปีที่มีภาวะหายใจลำบากเฉียบพลันตามเกณฑ์ของ WHO และได้รับการรักษาด้วย HFNC ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565 ถึง 31 ธันวาคม 2567 โดยเก็บรวบรวมข้อมูลผู้ป่วยทั้งหมดจากเวชระเบียนอิเล็กทรอนิกส์ด้วยโปรแกรม Thai GL ของโรงพยาบาลสตูล พบผู้ป่วยที่มีภาวะทางเดินหายใจลำบากเฉียบพลันและได้รับการรักษาด้วย HFNC ทั้งหมด 304 ราย ทำให้ได้กลุ่มที่ตอบสนองต่อการรักษาด้วย HFNC (success group) และกลุ่มที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วย HFNC (failure group) เปรียบเทียบความสัมพันธ์กับปัจจัยทั้ง 2 กลุ่มด้วย Fisher exact probability test และวิเคราะห์ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์การไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วย HFNC โดยใช้ logistic regression รายงานเป็น p value ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ &lt; 0.05</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong><strong>: </strong>กลุ่มที่ตอบสนองต่อการรักษาด้วย HFNC ในผู้ป่วยเด็กที่มีภาวะหายใจลำบากเฉียบพลันในปี พ.ศ. 2565-2567 คิดเป็นร้อยละ 93.6 ( 284 ใน 304 ราย ) ผู้ป่วยเด็กส่วนใหญ่อายุ1 ปี - 15 ปี (ร้อยละ 66.8) สาเหตุภาวะหายใจลำบากที่พบมากที่สุด คือ โรคปอดอักเสบ (ร้อยละ 44.4) ค่ามัธยฐานระยะเวลาการนอนโรงพยาบาล คือ 5 วัน ระยะเวลาเฉลี่ยที่ใช้ HFNC คือ 44.5 ชั่วโมง โดยภายหลังรักษาด้วย HFNC มีผลทำให้อัตราหายใจลดลง และอัตราการเต้นของหัวใจลดลง (p value 0.001) และค่าความอิ่มตัวของออกซิเจนเพิ่มขึ้น (p value 0.02 ) ปัจจัยที่มีผลต่อล้มเหลวของการใช้ HFNC คือ อายุ &lt; 1 ปี (p value &lt; 0.001) สาเหตุที่ทำให้นอนโรงพยาบาลเกิดจากภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด (p value &lt; 0.001) และภาวะหัวใจล้มเหลว (p value 0.008 ) ปัจจัยที่มีผลต่อความสำเร็จในการใช้ HFNC คือ โรคประจำตัว โรคหืด (p value 0.08 ) นอนโรงพยาบาลด้วยโรคหลักคือ หืดกำเริบ (p value 0.012)</p> <p><strong>สรุป:</strong><strong> </strong>การรักษาด้วย HFNC ในผู้ป่วยเด็กที่มีภาวะหายใจลำบากมีประสิทธิผลที่ดี จึงเป็นทางเลือกที่ดีในการรักษาภาวะหายใจลำบากเฉียบพลันของเด็ก ช่วยลดการใส่ท่อช่วยหายใจและลดอาการทางคลินิก</p> 2025-09-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย และ สมาคมกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย https://he04.tci-thaijo.org/index.php/TJP/article/view/2988 ความชุกและปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับปัญหาการกินในเด็กปฐมวัยที่มีพัฒนาการปกติ ในโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ 2025-07-18T16:06:08+07:00 นวรัตน์ อรุณยะเดช beebellben@gmail.com <p><strong>ความเป็นมา:</strong> ปัญหาการกินในเด็กปฐมวัยเป็นภาวะที่พบได้บ่อยและอาจส่งผลเสียต่อการเจริญเติบโต ภาวะโภชนาการ และสุขภาพในระยะยาว แม้จะมีข้อมูลจากการศึกษาระหว่างประเทศ แต่หลักฐานเชิงระบาดวิทยาในประเทศไทย โดยเฉพาะในเด็กปฐมวัยที่มีพัฒนาการปกติ ยังมีจำกัด และปัจจัยเสี่ยงที่สามารถปรับแก้ได้ยังไม่ได้รับการสำรวจอย่างครอบคลุม</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>:</strong> เพื่อหาความชุกของปัญหาการกินและปัจจัยทางสังคมประชากรและพฤติกรรมที่สัมพันธ์กับปัญหาการกินในเด็กปฐมวัยที่มีพัฒนาการปกติ</p> <p><strong>วิธีการศึกษา:</strong> การศึกษาแบบ prospective study ในเด็กอายุ 6 เดือนถึง 6 ปี จำนวน 385 คน ที่มารับบริการที่แผนกผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี ประเมินพฤติกรรมการกินโดยใช้แบบประเมิน Montreal Children’s Hospital Feeding Scale ฉบับภาษาไทย (MCH-FS-TH) ซึ่งผ่านการตรวจสอบคุณภาพทางจิตพิสัยแล้ว วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา การทดสอบไคสแควร์ และการถดถอยโลจิสติกพหุคูณ เพื่อหาปัจจัยที่สัมพันธ์อย่างอิสระกับปัญหาการกิน</p> <p><strong>ผลการศึกษา:</strong> พบความชุกของปัญหาการกินในเด็กปฐมวัยร้อยละ 31.9 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับปัญหาการกิน ได้แก่ การใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ระหว่างมื้ออาหาร โดยเด็กที่ใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ระหว่างมื้ออาหารเพิ่มโอกาสเกิดปัญหาการกินประมาณ 2.30 เท่า ( 95% CI 1.31-4.02) และทารกเกิดก่อนกำหนดมีโอกาสเกิดปัญหาการกินมากกว่าเด็กที่เกิดครบกำหนด 2.09 เท่า (95% CI 1.05-4.19) น้ำหนักตามเกณฑ์อายุต่ำกว่าเปอร์เซ็นไทล์ที่ 3 มีแนวโน้มสัมพันธ์กับปัญหาการกิน (AOR = 1.98, 95% CI: 0.98–3.99) แต่ไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ นอกจากนี้ไม่พบความสัมพันธ์ระหว่างระดับการศึกษาของผู้ปกครองหรือรายได้ครอบครัวกับปัญหาการกิน</p> <p><strong>สรุป:</strong> ปัญหาการกินพบได้เกือบหนึ่งในสามของเด็กปฐมวัยที่มีพัฒนาการปกติในการศึกษานี้ โดยการคลอดก่อนกำหนดและการใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ระหว่างมื้ออาหารเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่สามารถปรับแก้ได้ ผลการศึกษานี้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการให้ความรู้แก่ผู้ปกครองและการวางแผนมาตรการป้องกัน โดยเฉพาะการลดการใช้สื่อระหว่างมื้ออาหารและการติดตามพฤติกรรมการกินในเด็กคลอดก่อนกำหนดอย่างใกล้ชิด</p> 2025-09-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย และ สมาคมกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย https://he04.tci-thaijo.org/index.php/TJP/article/view/3227 ผลการรักษาทารกที่ติดเชื้อไวรัส SARS-CoV-2 ที่ไม่มีอาการและอาการแสดงของการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจส่วนล่างเปรียบเทียบระหว่างกลุ่มที่ผลเอกซเรย์ปอดปกติ กับกลุ่มที่ผลเอกซเรย์ปอดผิดปกติ 2025-08-06T14:58:00+07:00 สุชาณัฐกวี บุญเสริม suchanutkaweeb@gmail.com ประอร สุประดิษฐ praonsu@yahoo.com <p><strong>ความเป็นมา</strong><strong>:</strong> ในปัจจุบันส่วนใหญ่ของผู้ป่วยโรคโควิด-19 ไม่ก่อให้เกิดอาการรุนแรง อย่างไรก็ตามในผู้ป่วยอายุน้อยกว่า 1 ปีเป็นผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงที่มีอาการรุนแรงได้จึงมีแนวโน้มจะได้รับการรักษาในโรงพยาบาลและเอกซเรย์ปอดเกือบทุกราย</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>:</strong> เพื่อศึกษาอาการ อาการแสดงและผลการรักษาของทารกที่ติดเชื้อไวรัส SARS-CoV-2 ที่ไม่มีอาการและอาการแสดงของการติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนล่าง เปรียบเทียบระหว่างกลุ่มทารกที่ผลเอกซเรย์ปอดผิดปกติ กับกลุ่มทารกที่ผลเอกซเรย์ปอดปกติ เพื่อนำข้อมูลไปใช้ประกอบการตัดสินใจในการส่งตรวจเอกซเรย์ปอดในผู้ป่วยกลุ่มนี้</p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong><strong>:</strong> การศึกษาแบบตัดขวาง ในทารกอายุ 1 เดือน – 1 ปี ที่มีการติดเชื้อไวรัส SARS-CoV-2ที่ได้รับการรักษาในสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินีระหว่าง 1 มีนาคม พ.ศ. 2565 – 30 มิถุนายน พ.ศ. 2566 ที่ไม่มีอาการและอาการแสดงของการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจส่วนล่าง โดยคัดออกผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยว่าติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนล่าง ผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงของโควิด-19 ผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวที่มีเอกซเรย์ปอดที่ผิดปกติและผู้ป่วยที่ไม่มีผลเอกซเรย์ปอดที่อ่านโดยรังสีแพทย์</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong><strong>:</strong> ผู้ที่เข้ารับการศึกษาทั้งหมด 208 คน แบ่งเป็นกลุ่มที่มีผลเอกซเรย์ปอดปกติ 96 ราย (ร้อยละ 46.2) และกลุ่มที่มีผลเอกซเรย์ปอดผิดปกติ 112 ราย (ร้อยละ 53.8) ผู้ป่วยทั้งหมดได้รับยาต้านไวรัสเป็นฟาวิปิราเวียร์ ซึ่งในกลุ่มที่เอกซเรย์ปอดปกติไม่มีผู้ป่วยที่มีอาการทางทางระบบหายใจส่วนล่างเพิ่มเติมเลย และไม่ได้รับยาต้านไวรัสชนิดอื่น ๆ หรือยาปฏิชีวนะ แต่ในกลุ่มที่เอกซเรย์ปอดผิดปกติมีผู้ป่วยที่ต่อมามีอาการทางระบบหายใจส่วนล่าง 4 ราย (p value 0.47) และได้เปลี่ยนยาต้านไวรัสเป็นเรมเดสซิเวียร์ (p value 0.27) และมีผู้ป่วย 3 รายได้รับยาปฏิชีวนะ เปรียบเทียบผลการรักษาระหว่างสองกลุ่มระยะเวลาไข้ลงหลังจากได้รับยาต้านไวรัสคือ 1.39 (0.51) วัน และ 1.51 (0.54) วัน (p value 00.076), ระยะเวลาการนอนโรงพยาบาล 2.44 (0.93) วันและ 2.56 (0.54) วัน (p value 0.34) และระยะเวลาของการมีอาการคือ 2.81 (1.03) วันและ 2.80 (0.95) วัน (p value 0.23) ซึ่งไม่พบความแตกต่างที่มีนัยสำคัญทางสถิติ และผู้ป่วยทั้งหมดรักษาหายเป็นปกติ</p> <p><strong>สรุป</strong><strong>:</strong> จากการศึกษาพบว่า อาการ อาการแสดง และผลการรักษาของทั้งสองกลุ่มไม่พบความแตกต่างที่มีนัยสำคัญทางสถิติในทั้งสองกลุ่ม อย่างไรก็ตามกลุ่มที่มีเอกซเรย์ปอดผิดปกติ อาจมีโอกาสที่จะเกิดการติดเชื้อในทางเดินหายใจส่วนล่างมากกว่า แต่ไม่พบความแตกต่างที่มีนัยสำคัญทางสถิติ </p> 2025-09-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย และ สมาคมกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย https://he04.tci-thaijo.org/index.php/TJP/article/view/2936 แนวทางการสื่อสารเกี่ยวกับการระบาดของโรคติดเชื้อในศูนย์เด็กปฐมวัยเพื่อบรรเทาความกังวล และลดความขัดแย้งระหว่างผู้ปกครองและครู 2025-03-03T18:28:34+07:00 ปิยนันท์ โฆษิดาพันธุ์ valhalla.beau@gmail.com ไพจิตตรี ชาญเดชรัตนะ phaijittree.cha@mahidol.edu แก้วตา นพมณีจำรัสเลิศ kaewta.nop@mahidol.ac.th <p>ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีทางการแพทย์ทำให้สามารถระบุเชื้อก่อโรคได้อย่างแม่นยำ ส่งผลให้ประชาชนตระหนักถึงความสำคัญของโรคติดเชื้อมากขึ้น โดยเฉพาะหลังการระบาดของโควิด-19 การรับรู้เพียงว่าการติดเชื้อเกิดจากไวรัสไม่เพียงพออีกต่อไป ประชาชนต้องการข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับชนิดของเชื้อ ความรุนแรงของโรคและแนวทางปฏิบัติที่เหมาะสม บทความนี้นำเสนอแนวทางและเทคนิคการให้กุมารแพทย์เพื่อจะสามารถนำไปสอนหรือสื่อสารระหว่างครูกับผู้ปกครองเพื่อบรรเทาความวิตกกังวล ลดความตื่นตระหนก และป้องกันความขัดแย้ง ประกอบด้วยการสร้างความไว้วางใจ (trust) การสื่อสารแบบสองทาง (two-way communication) บทสนทนา (the conversation) ศิลปะการฟัง (the art of listening) เทคนิคการส่งเสริมการสื่อสาร (techniques to facilitate communication) และการสื่อสารที่ไม่ใช้คำพูด (nonverbal communication) เทคนิคเหล่านี้สามารถเสริมสร้างความเข้าใจระหว่างครูและผู้ปกครอง ช่วยให้การสื่อสารเป็นไปอย่างราบรื่นและลดความขัดแย้งได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากการใช้เทคนิคการสื่อสารที่เหมาะสมแล้ว ครูควรมีความรู้เกี่ยวกับโรคติดเชื้อ โรคระบาด และแนวทางป้องกันการแพร่กระจายของโรค เพื่อให้สามารถถ่ายทอดข้อมูลได้อย่างถูกต้อง ชัดเจน และมั่นใจ</p> 2025-09-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย และ สมาคมกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย