วารสารกุมารเวชศาสตร์ https://he04.tci-thaijo.org/index.php/TJP <p>วารสารกุมารเวชศาสตร์ (Thai Journal of Pediatrics) เป็นวารสารวิชาการทางการแพทย์ที่เผยแพร่ผลงานทางวิชาการ เกี่ยวกับกุมารเวชศาสตร์ เป็นภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษ</p> ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย / สมาคมกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย th-TH วารสารกุมารเวชศาสตร์ 3027-8422 การเปลี่ยนแปลงของน้ำหนักทารกแรกเกิดที่ส่งผลต่อการเกิดภาวะตัวเหลือง https://he04.tci-thaijo.org/index.php/TJP/article/view/1378 <p><strong>ความเป็นมา: </strong>ภาวะตัวเหลืองในทารกแรกเกิดเป็นปัญหาที่พบเจอได้บ่อยในทารกที่ได้รับนมแม่เพียงอย่างเดียวมีโอกาสเกิดตัวเหลืองและน้ำหนักลดลงได้มากกว่า ในโรงพยาบาลสิงห์บุรีซึ่งเป็นโรงพยาบาลที่สนับสนุนการให้นมแม่ มีผู้ป่วยทารกแรกเกิดที่ต้องได้รับการรักษาในโรงพยาบาลเนื่องจากภาวะตัวเหลือง ทำให้มีระยะเวลาการนอนโรงพยาบาลที่นานขึ้น</p> <p><strong>วัตถุประสงค์: </strong>เพื่อหาความสัมพันธ์ของร้อยละน้ำหนักที่ลดลงและจุดตัดน้ำหนักที่ลดลงเพื่อทำนายภาวะตัวเหลืองและศึกษาความชุกของการเกิดภาวะตัวเหลืองในทารกแรกเกิด</p> <p><strong>วิธีการศึกษา: </strong>ศึกษาเก็บข้อมูลย้อนหลังทารกแรกเกิดที่รับการรักษาในโรงพยาบาลสิงห์บุรีจากเวชระเบียนในช่วง 1 มกราคม พ.ศ. 2565 ถึง 31 มีนาคม พ.ศ.2566 โดยเก็บข้อมูลผู้ป่วยพื้นฐาน ปัจจัยที่สัมพันธ์กับภาวะตัวเหลือง ร้อยละน้ำหนักที่ลดลง ค่าบิลิรูบิน แล้วนำข้อมูลมาวิเคราะห์ใช้สถิติ independent t-test และหากปัจจัยใดมีค่า p value &lt;0.05 จะนำไปวิเคราะห์ multiple logistic regression และหาค่าร้อยละน้ำหนักลดที่มีผลต่อการเกิดภาวะตัวเหลืองของทารกแรกเกิดโดยหาจุดตัด และนำเสนอด้วยกราฟโค้ง reciever operating characteristic curve (ROC curve)</p> <p><strong>ผลการศึกษา: </strong>จากการศึกษามีผู้ป่วยทารกแรกเกิดในงานวิจัยรวมทั้งหมด 707 คน เป็นเพศชาย 364 คน และเพศหญิง 343 คน พบผู้ป่วยภาวะตัวเหลือง 64 คน คิดเป็นร้อยละ 9.1 พบปัจจัยที่ส่งผลต่อการเกิดภาวะตัวเหลืองคือ ร้อยละน้ำหนักที่ลดลงมากกว่า 4 ที่อายุ 24 ชั่วโมง [p=0.0014,Odds ratio; OR 2.09, AUC 0.559 (95%CI 0.481-0.637)] </p> <p><strong>สรุป: </strong>งานวิจัยนี้สามารถนำไปพัฒนาแนวทางเพื่อป้องกันการเกิดภาวะตัวเหลือง โดยการดูแลเรื่องการให้นมบุตรของมารดาให้มีประสิทธิภาพและสำเร็จมากขึ้น</p> นันทิยา ภูพงษ์พานิช Copyright (c) 2024 ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย และ สมาคมกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-09-30 2024-09-30 63 3 12 28 การศึกษาเปรียบเทียบอัตราการส่องไฟและผลการรักษาภาวะตัวเหลืองในทารกแรกเกิดระหว่างแนวทางปฏิบัติทางคลินิกของสมาคมกุมารแพทย์แห่งประเทศสหรัฐอเมริกา ปี ค.ศ. 2022 กับปี ค.ศ. 2004 https://he04.tci-thaijo.org/index.php/TJP/article/view/1413 <p><strong>ความเป็นมา</strong><strong>: </strong>สมาคมกุมารแพทย์แห่งอเมริกาได้ออกแนวทางการดูแลรักษาทารกที่มีภาวะตัวเหลืองฉบับใหม่ (AAP 2022) ซึ่งปรับเกณฑ์ในการรักษาโดยเพิ่มระดับบิลิรูบินสูงขึ้น เนื่องจากระดับเดิมไม่พบภาวะพิษต่อระบบประสาท และเพื่อลดการส่องไฟ เพื่อให้ทารกกลับบ้านและอยู่กับครอบครัวได้เร็วขึ้น</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>:.</strong>เพื่อศึกษาผลของการใช้แนวทางปฏิบัติทางคลินิกของ AAP 2022 ต่ออัตราการส่องไฟ ระยะเวลาการส่องไฟ จำนวนวันนอนโรงพยาบาล ระดับบิลิรูบินและอายุทารกเมื่อเริ่มให้การรักษา อัตราการกลับมารักษาซ้ำในทารกแรกเกิดที่มีภาวะตัวเหลือง โดยเทียบกับ AAP 2004</p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong><strong>:</strong> เป็นการวิจัยแบบกึ่งทดลอง รูปแบบ interrupted time study ศึกษาในทารกแรกเกิดอายุครรภ์ตั้งแต่ 35 สัปดาห์ขึ้นไปในโรงพยาบาลสุโขทัย โดยเก็บข้อมูลย้อนหลังเป็น 2 กลุ่มโดยทารกที่เกิดในเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนธันวาคม พ.ศ.2566 ใช้แนวทางของ AAP 2004 เป็นกลุ่มควบคุม และทารกที่เกิดในเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนเมษายน พ.ศ.2567 ใช้แนวทางของ AAP 2022 เป็นกลุ่มทดลอง สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ t-test และ exact probability test </p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong><strong>:</strong> จำนวนทารก 290 ราย แบ่งเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม กลุ่มละ 145 ราย พบว่าอัตราการส่องไฟไม่ต่างกัน (ร้อยละ 20.7 และร้อยละ 23.5, p= 0.336) ระยะเวลาการส่องไฟ 30 ชั่วโมง (p= 0.927) และจำนวนวันนอนโรงพยาบาล 4 วัน (p=0.324) เท่ากัน แต่ในกลุ่มทดลองทารกมีอายุที่เริ่มรักษามากกว่า (110.0 ± 46.66 ชั่วโมงและ 80.9 ± 29.12 ชั่วโมง, p=0.003) มีค่าระดับบิลิรูบินสูงกว่า (18.5 ± 2.98 mg/dL และ 16.9 ± 1.82 mg/dL, p=0.011) และมีอัตราการกลับมานอนโรงพยาบาลซ้ำเพื่อรักษาภาวะตัวเหลืองมากกว่าในกลุ่มควบคุม (ร้อยละ 53.3 และร้อยละ 26.5, p=0.026)</p> <p><strong>สรุป</strong><strong>:</strong> แนวทางการดูแลรักษาทารกแรกเกิดที่มีภาวะตัวเหลืองของ AAP 2022 ไม่ได้ช่วยลดอัตราการส่องไฟระยะเวลาการส่องไฟหรือจำนวนวันนอนโรงพยาบาล โดยทารกจะมีอายุและค่าระดับบิลิรูบินสูงกว่าและอัตราการกลับมานอนโรงพยาบาลซ้ำมากกว่าทารกที่ใช้แนวทางของ AAP 2004 ดังนั้นจึงต้องเน้นการนัดติดตามทารกหลังจากกลับบ้าน เพราะอาจจะมีระดับบิลิรูบินที่สูงขึ้นจนถึงเกณฑ์ที่ต้องกลับมารักษาได้</p> ญดา ศุภสิทธิ์ Copyright (c) 2024 ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย และ สมาคมกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-09-30 2024-09-30 63 3 29 45 ปัจจัยเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดแดงหัวใจเกินที่มีอาการในทารกเกิดก่อนกำหนดที่มีน้ำหนักน้อยมาก https://he04.tci-thaijo.org/index.php/TJP/article/view/1301 <p><strong>ความเป็นมา</strong><strong>: </strong>หลอดเลือดแดงหัวใจเกินที่มีอาการทำให้เกิดผลข้างเคียงจากเลือดไปปอดมาก การรักษาที่ล้มเหลว ส่งผลต่อภาวะแทรกซ้อนระยะยาว การเสียชีวิต หรือทุพพลภาพ การทราบปัจจัยที่สัมพันธ์หลอดเลือดแดงหัวใจเกินที่มีอาการและภาวะแทรกซ้อนทำให้ทราบแนวทางการบำบัดรักษาและป้องกันโรค</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>: </strong>เพื่อศึกษาปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคหลอดเลือดแดงหัวใจเกินที่มีอาการ และภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นในทารกเกิดก่อนกำหนดที่มีน้ำหนักน้อยมาก</p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong><strong>: </strong>Retrospective study ศึกษาในทารกเกิดก่อนกำหนดที่มีน้ำหนักน้อยมากโรคหลอดเลือดแดงหัวใจเกินที่มีอาการและต้องได้รับการรักษา เปรียบเทียบกับไม่มีอาการจากโรคหลอดเลือดแดงหัวใจเกิน ตั้งแต่ พ.ศ. 2561-2566 วิเคราะห์ปัจจัยที่ส่งผลต่อโรคหลอดเลือดแดงหัวใจเกินที่มีอาการ Multivariate logistic regression analysis</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong><strong>: </strong>ปัจจัยที่มีผลต่อการแสดงอาการของโรคหลอดเลือดแดงหัวใจเกิน ได้แก่ ขนาดของหลอดเลือดแดงหัวใจ (aOR 67.41, 95%CI 6.47,701.92) และการมีภาวะหายใจลำบากที่ต้องใช้สารลดแรงตึงผิว (aOR 43.04, 95%CI 2.66, 697.26) โรคหลอดเลือดแดงหัวใจเกินที่มีอาการทำให้ต้องใช้เครื่องช่วยมากขึ้น (OR 26.74, 95%CI 0.35, 69.07) ใช้ยากระตุ้นหัวใจมากขึ้น (OR 13.23, 95%CI 2.98, 58.71) เกิดโรคปอดเรื้อรังในทารกแรกเกิดมากขึ้น (OR 7.40, 95%CI 3.36, 16.30) และเกิดภาวะไตวายเฉียบพลันมากขึ้น (OR 10.23, 95%CI 1.26, 82.71)</p> <p><strong>สรุป</strong><strong>: </strong>อุบัติการณ์การรักษาโรคหลอดเลือดแดงหัวใจเกินในทารกเกิดก่อนกำหนดในโรงพยาบาลลำปางมีค่อนข้างมาก การป้องกันภาวะหายใจลำบากในทารกเกิดก่อนกำหนดที่มีน้ำหนักน้อยมากอาจสามารถป้องกันอาการในโรคหลอดเลือดแดงหัวใจเกินได้</p> นวมน สุนทรวราภาส ภควดี วุฒิพิทยามงคล รัฐพล อินไผ่ Copyright (c) 2024 ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย และ สมาคมกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-09-30 2024-09-30 63 3 46 60 ประสิทธิผลของการใช้ High-Flow Nasal Cannula ในผู้ป่วยเด็กที่มีภาวะหายใจลำบากในโรงพยาบาลชุมชนระดับทุติยภูมิ https://he04.tci-thaijo.org/index.php/TJP/article/view/1299 <p><strong>ความเป็นมา: </strong>ภาวะหายใจลำบากเป็นภาวะฉุกเฉินที่ต้องได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างรวดเร็ว ปัจจุบันมีการพัฒนาการช่วยหายใจแบบไม่ลุกล้ำที่เรียกว่า High-flow nasal cannula (HFNC) ดังนั้น โรงพยาบาลพยัคฆภูมิพิสัยจึงเริ่มมีการนำ HFNC มาใช้ในตึกกุมารเวชกรรม ตั้งแต่ปี พ.ศ 2561</p> <p><strong>วัตถุประสงค์:</strong> เพื่อศึกษาประสิทธิผลของการใช้ HFNC ในผู้ป่วยเด็กที่มีภาวะหายใจลำบาก และเพื่อเปรียบเทียบความแตกต่างของอัตราหายใจ และค่าความอิ่มตัวของออกซิเจน ก่อนและหลังรับการรักษาด้วย HFNC</p> <p><strong>วิธีการศึกษา: </strong>การศึกษาครั้งนี้เป็นการเก็บข้อมูลย้อนหลังในผู้ป่วยเด็กอายุระหว่าง 1 เดือนถึง 15 ปี ที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลพยัคฆภูมิพิสัยระหว่างวันที่ 1 มกราคม ถึง 31 ธันวาคม พ.ศ. 2566 โดยมีภาวะหายใจลำบากตามเกณฑ์ที่จะได้รับการรักษาด้วย HFNC จากนั้นสุ่มตัวอย่าง 90 คนจากประชากรที่รักษาด้วย HFNC สำเร็จทั้งหมด 248 เหตุการณ์ และเก็บรวบรวมข้อมูลจากเวชระเบียนผู้ป่วย เปรียบเทียบความแตกต่างของอัตราหายใจและค่าความอิ่มตัวของออกซิเจน ก่อนและหลังรับการรักษาด้วย HFNC ด้วยสถิติ Friedman Test ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.05</p> <p><strong>ผลการศึกษา: </strong>อัตราความสำเร็จของการรักษาด้วย HFNC ในปี พ.ศ. 2566 คิดเป็นร้อยละ 93.6 (248 ใน 265 เหตุการณ์) จากการศึกษากลุ่มตัวอย่าง 90 คน ส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มอายุ 1-5 ปี (ร้อยละ 57.7) สาเหตุภาวะหายใจลำบากที่พบมากที่สุด คือ pneumonia (ร้อยละ 47.8) รองลงมาคือ bronchitis, acute asthmatic attack , croup, และ bronchiolitis ค่ามัธยฐานระยะเวลาการนอนโรงพยาบาล คือ 5 วัน ระยะเวลาที่ใช้ HFNC คือ 4 วัน ซึ่งส่วนมากได้รับการรักษา ด้วย HFNC ตั้งแต่แรกรับการรักษาที่ตึกผู้ป่วย ร้อยละ 81.1 โดยพบว่ามีอัตราหายใจลดลง (p £ 0.0001) และค่าอิ่มตัวของออกซิเจนเพิ่มขึ้น (p £ 0.01) ตั้งแต่ชั่วโมงแรกที่มีการใช้ HFNC ซึ่งพบภาวะแทรกซ้อนในการใช้ HFNC เพียงร้อยละ 6.6 ได้แก่ ท้องอืดหรือปวดท้องมากที่สุด ร้อยละ 3.3 โดยไม่พบภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง</p> <p><strong>สรุป: </strong>การรักษาด้วย HFNC ในผู้ป่วยเด็กที่มีภาวะหายใจลำบากมีประสิทธิผลที่ดี มีภาวะแทรกซ้อนน้อย สามารถลดอาการทางคลินิกได้ตั้งแต่ชั่วโมงแรกหลังจากได้รับการรักษา ทั้งลดอัตราหายใจ และเพิ่มค่าอิ่มตัวของออกซิเจน การพิจารณารักษาภาวะหายใจลำบากด้วย HFNC ตั้งแต่แรกรับ อาจช่วยลดโอกาสในการใส่ท่อช่วยหายใจ ดังนั้น HFNC จึงเป็นทางเลือกที่ดีในการรักษาภาวะหายใจลำบากของเด็กในโรงพยาบาลชุมชนระดับทุติยภูมิ</p> จุฑามาศ สุจริต Copyright (c) 2024 ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย และ สมาคมกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-09-30 2024-09-30 63 3 61 80 ความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมของผู้ปกครองในการดูแลสุขภาพและพัฒนาการของเด็กปฐมวัย https://he04.tci-thaijo.org/index.php/TJP/article/view/1224 <p><strong>ความเป็นมา: </strong>ช่วงปฐมวัยเป็นช่วงเวลาที่สำคัญในการหล่อหลอมคุณลักษณะที่ดีให้เด็กเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ ผู้ปกครองเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญที่สุดในการดูแลและพัฒนาเด็กปฐมวัย ความรู้ ทัศนคติและพฤติกรรมที่ดีของผู้ปกครองจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง</p> <p><strong>วัตถุประสงค์: </strong>เพื่อศึกษาความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมของผู้ปกครองต่อการดูแลและพัฒนาเด็กปฐมวัยและเพื่อศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมของผู้ปกครองต่อการดูแลและพัฒนาเด็กปฐมวัย</p> <p><strong>วิธีการศึกษา: </strong>งานวิจัยนี้เป็นการศึกษาข้อมูลย้อนหลังจากแบบสอบถามที่สำรวจไว้แล้ว ซึ่งเป็นแบบสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมเกี่ยวกับการดูแลเด็กปฐมวัยโดยลงพื้นที่เก็บข้อมูลจากผู้ปกครองของเด็กปฐมวัยในตำบล กุฎโง้ง อำเภอ พนัสนิคม จังหวัด ชลบุรี เป็นส่วนหนึ่งของโครงการมหาวิทยาลัยสู่ตำบล (U2T) ตำบลกุฎโง้ง</p> <p><strong>ผลการศึกษา: </strong>มีกลุ่มตัวอย่างตอบแบบสอบถามทั้งหมด 210 คน (จาก 210 ครอบครัว) กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีความรู้ในระดับน้อย มีทัศนคติในระดับสูง และมีพฤติกรรมในระดับสูง คิดเป็นร้อยละ 43.3, 67.1 และ 60.3 ของกลุ่มตัวอย่างที่ตอบแบบสอบถามทั้งหมดตามลำดับ ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อค่าเฉลี่ยคะแนนความรู้ ได้แก่ รายได้เฉลี่ยต่อเดือนของครอบครัวและความถี่ในการฝากบุตรหลานที่สถานเลี้ยงเด็ก ส่วนปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อค่าเฉลี่ยคะแนนทัศนคติ ได้แก่ สถานภาพการทำงาน รายได้เฉลี่ยต่อเดือนของครอบครัว ความถี่ในการฝากบุตรหลานที่สถานเลี้ยงเด็ก และพื้นอารมณ์เด็ก กลุ่มตัวอย่างที่มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนของครอบครัวต่ำกว่า 10,000 บาทมีโอกาสที่จะมีระดับความรู้น้อยและพฤติกรรมในระดับต่ำเมื่อเทียบกับกลุ่มรายได้เฉลี่ยต่อเดือนของครอบครัวมากกว่า 20,000 บาท ค่า odds ratios (OR) 4.78 (95% CI 2.18-10.48) และ 5.14 (95%CI 1.48-17.83) ตามลำดับ</p> <p><strong>สรุป: </strong>ผู้ปกครองส่วนใหญ่มีความรู้ในระดับน้อย มีพฤติกรรมในระดับสูง และมีทัศนคติในระดับสูงต่อการดูแลเด็กปฐมวัย การส่งเสริมการดูแลเด็กปฐมวัยจึงควรเน้นการให้ความรู้เป็นสำคัญ โดยเฉพาะในครอบครัวที่มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนต่ำกว่า 10,000 บาท</p> จักรพันธุ์ ศิริบริรักษ์ ปราการ ทัตติยกุล Copyright (c) 2024 ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย และ สมาคมกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-09-30 2024-09-30 63 3 81 92 ผลของการให้ความรู้และแนวปฏิบัติด้านโภชนาการในผู้ป่วยเด็กที่มีภาวะน้ำหนักเกินและภาวะอ้วนในโรงพยาบาลลำปาง https://he04.tci-thaijo.org/index.php/TJP/article/view/1317 <p><strong>ความเป็นมา</strong><strong>:</strong> สถานการณ์เด็กที่มีภาวะอ้วนทั่วโลก จากข้อมูล WHO<sup>1</sup> พ.ศ. 2565 เด็กอายุน้อยกว่า 5 ปี พบภาวะอ้วน 37 ล้านคน ประมาณครึ่งหนึ่งพบว่าอยู่ในทวีปเอเชีย ในเด็กอายุ 5-19 ปี พบภาวะอ้วน 390 ล้านคน ในประเทศไทยพบเด็กที่มีภาวะน้ำหนักเกินและอ้วนมากขึ้นเช่นกัน โรงพยาบาลลำปางจึงมีการให้ความรู้และแนวปฏิบัติด้านโภชนาการแก่ผู้ป่วยรายบุคคล เพื่อติดตามและรักษาผู้ป่วยที่มีภาวะน้ำหนักเกินและภาวะอ้วน</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>: </strong>เพื่อทบทวนข้อมูล น้ำหนัก BMI, BMI-SDS ในผู้ป่วยเด็กที่มีภาวะน้ำหนักเกินและภาวะอ้วน อายุ 5-15 ปี หลังจากได้รับความรู้และแนวปฏิบัติด้านโภชนาการ ที่ระยะเวลา 1 ปี หาอุบัติการณ์ของภาวะแทรกซ้อนทางเมตาบอลิกของผู้ป่วยเด็กที่มีภาวะน้ำหนักเกินและภาวะอ้วน และหาความสัมพันธ์ของการเปลี่ยนแปลงค่าดัชนีมวลกายกับภาวะแทรกซ้อนทางเมตาบอลิก</p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong><strong>: </strong>การศึกษา retrospective study รวบรวมข้อมูลจากเวชระเบียนของโรงพยาบาลลำปางในผู้ป่วยที่มีภาวะน้ำหนักเกินและอ้วน ระหว่างวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2562 ถึงวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2566 โดยผู้ป่วยทุกรายได้รับความรู้และแนวปฏิบัติด้านโภชนาการรายบุคคลโดยนักโภชนาการ จำนวน 3-4 ครั้งต่อปี</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong><strong>:</strong> ผู้ป่วยที่มีภาวะน้ำหนักเกินและภาวะอ้วนที่มาตรวจติดตามอย่างน้อย 1 ปี จำนวน 90 ราย อายุเฉลี่ย ± ค่าเบี่ยงเบนมาตราฐานที่เริ่มวินิจฉัย คือ 9.5±2.6 ปี ค่าเฉลี่ยของน้ำหนัก ± ค่าเฉลี่ยค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานน้ำหนัก คือ 56.2±21.2 กิโลกรัม และ 4.1±1.9 ตามลำดับ และ ค่าเฉลี่ยของดัชนีมวลกาย และ BMI-SDS คือ 27.7±5.7 กิโลกรัม/ตารางเมตร และ 3.6±1.3 ตามลำดับ ภาวะแทรกซ้อนทางเมตาบอลิกเมื่อเริ่มต้นวินิจฉัย ได้แก่ ภาวะก่อนเบาหวานร้อยละ 8.9 ภาวะไขมันในเลือดผิดปกติร้อยละ 56.2 ระดับเอนไซม์ตับผิดปกติร้อยละ 42.6 และพบโรคตับคั่งไขมันจากการตรวจอัลตร้าซาวน์ร้อยละ 21.4 เมื่อเปรียบเทียบก่อนและหลังการให้ความรู้และแนวปฏิบัติด้านโภชนาการที่ระยะเวลา 1 ปี พบว่า ค่าเฉลี่ยของ BMI-SDS ลดลงจาก 3.6±1.3 เป็น 3.2±1.2 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt;0.001) จำนวนผู้ป่วยที่มีภาวะอ้วนลดลงจากเริ่มต้นวินิจฉัยเทียบกับที่ระยะเวลาตรวจติดตาม 1 ปี จาก 86 ราย (ร้อยละ 95.6) เป็น 75 ราย (ร้อยละ 83.4) นอกจากนี้ยังพบว่า BMI-SDS ที่เพิ่มขึ้นมีความสัมพันธ์กับภาวะไขมันในเลือดผิดปกติที่เวลา 1 ปี (OR 2.71, 95%CI 1.12-6.59. p=0.027)</p> <p><strong>สรุป</strong><strong>:</strong> เด็กที่มีภาวะน้ำหนักเกินและภาวะอ้วนในโรงพยาบาลลำปาง หลังจากได้รับความรู้และแนวปฏิบัติด้านโภชนาการอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 1 ปี พบว่า BMI-SDS ลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ แต่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเมื่อมาตรวจติดตามปีที่ 2 และ 3 ในเด็กที่มี BMI-SDS ลดลงที่ระยะเวลา 1 ปี ระดับน้ำตาลในเลือดและระดับไขมันมีแนวโน้มต่ำกว่ากลุ่มที่มี BMI-SDS เพิ่มขึ้น ดังนั้นควรเน้นย้ำทบทวนความรู้ด้านโภชนาการให้กับผู้ป่วยในทุกครั้งที่ผู้ป่วยมาตรวจติดตาม</p> จิตสุภา วรกุล Copyright (c) 2024 ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย และ สมาคมกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-09-30 2024-09-30 63 3 93 110 ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความรุนแรงของโรคเยื่อจมูกอักเสบจากภูมิแพ้และโรคหืดในเด็กในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา https://he04.tci-thaijo.org/index.php/TJP/article/view/1390 <p><strong>ความเป็นมา</strong><strong>: </strong>โรคหืดและโรคเยื่อบุจมูกอักเสบจากภูมิแพ้เป็นโรคเรื้อรังที่พบบ่อยในเด็กทั่วโลก รวมถึงเด็กไทย พบได้ทั้งเด็กที่อาศัยในชุมชนเมือง และชุมชนชนบท โดยปัจจัยที่มีผลต่อความรุนแรงของโรคในแต่ละการศึกษามีแตกต่างกัน</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>: </strong>ศึกษาปัจจัยทีมีผลต่อความรุนแรงของโรคหืดและโรคเยื่อบุจมูกอักเสบจากภูมิแพ้และลักษณะของผลการทดสอบภูมิแพ้ทางผิวหนังด้วยการสะกิดผิว (skin prick test) รวมถึงแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของการทดสอบ ในผู้ป่วยโรคหืดและเยื่อบุจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ในเด็กอายุน้อยกว่า 15 ปี ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา</p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong><strong>: </strong>การศึกษาแบบ cross sectional study โดยเก็บข้อมูลแบบ multicenter จำนวน 4 สถานพยาบาลในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยประชากรคือผู้ป่วยโรคหืดและเยื่อบุจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ที่วินิจฉัยโดยกุมารแพทย์โรคภูมิแพ้และภูมิคุ้มกันคนเดียวกัน โดยใช้เกณฑ์การวินิจฉัยเดียวกัน</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong><strong>: </strong>ผู้ป่วยในงานวิจัยนี้รวมทั้งสิ้น 274 ราย โดยแบ่งเป็นผู้ป่วยโรคเยื่อบุจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ 159 ราย ผู้ป่วยโรคหืด 54 ราย และผู้ป่วยโรคเยื่อบุจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ร่วมกับโรคหืด 61 ราย เพศชาย 173 ราย เพศหญิง 101 ราย ปัจจัยที่มีผลต่อความรุนแรงของเยื่อบุจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ คือการมีผลทดสอบภูมิแพ้ทางผิวหนังเป็นบวกต่อรังแคแมว (p&lt; 0.001, IRR = 1.42 (1.15 - 1.76)) ปัจจัยที่มีผลต่อความรุนแรงของโรคหืด คือการมีผลทดสอบภูมิแพ้ทางผิวหนังเป็นบวกต่อไรฝุ่น <em>Dermatophagoides farinae</em> (p=0.049, IRR = 1.68 (1.01 - 2.8)) และกลุ่ม Indoor allergen (p=0.025, IRR = 1.71 (1.07 - 2.74)) ปัจจัยเกี่ยวกับถิ่นที่อยู่อาศัยด้านชุมชนเมืองกับชุมชนชนบท หรือชุมชนอุตสาหกรรมกับชุมชนที่ไม่ใช่อุตสาหกรรม ยังไม่มีความสัมพันธ์กันทางสถิติ ส่วนผลการทดสอบภูมิแพ้ด้วยการสะกิดผิวพบว่าผู้ป่วยมีการแพ้สารก่อภูมิแพ้กลุ่มไรฝุ่น แมลงสาบ รังแคแมว หญ้าขน และรังแคสุนัขเป็น 5 อันดับแรก และแนวโน้มการสะกิดผิวเป็นบวกในงานวิจัยนี้ ผลของการทดสอบสารก่อภูมิแพ้นอกบ้านมีแนวโน้มสูงขึ้น</p> <p><strong>สรุป</strong><strong>: </strong>ปัจจัยที่มีผลต่อความรุนแรงของโรคเยื่อบุจมูกอักเสบจากภูมิแพ้และโรคหืดในเด็กจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ขึ้นกับปัจจัยด้านการมีผลทดสอบภูมิแพ้ด้วยการสะกิดผิวเป็นบวก ส่วนปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมนอกบ้านหรือที่อยู่อาศัยยังไม่มีความสัมพันธ์ชัดเจน<strong> </strong></p> อธิพัฒน์ อธิพงษ์อาภรณ์ สุกัญญา พินหอม ภาวนา รัตนทิพา อาภานุช พันธุ์เทียน Copyright (c) 2024 ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย และ สมาคมกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-09-30 2024-09-30 63 3 111 128 ความชุกและความสัมพันธ์ของภาวะซึมเศร้าและการปฏิบัติหน้าที่ของครอบครัวที่มีต่อการควบคุมระดับน้ำตาลสะสมในผู้ป่วยเด็กและวัยรุ่นโรคเบาหวานชนิดที่ 1 ที่โรงพยาบาลหาดใหญ่ https://he04.tci-thaijo.org/index.php/TJP/article/view/1417 <p><strong>ความเป็นมา:</strong> ผู้ป่วยเด็กและวัยรุ่นโรคเบาหวานชนิดที่ 1 ส่วนใหญ่ ไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลสะสมได้ตามเป้าหมายซึ่งมีผลมาจากหลายปัจจัยรวมถึง ภาวะซึมเศร้าและการปฏิบัติหน้าที่ของครอบครัวด้วย</p> <p><strong>วัตถุประสงค์:</strong> ศึกษาความชุกของภาวะซึมเศร้า และหาปัจจัยต่าง ๆ ที่มีผลต่อการควบคุมระดับน้ำตาลสะสมในผู้ป่วยเด็กและวัยรุ่นโรคเบาหวานชนิดที่ 1</p> <p><strong>วิธีการศึกษา:</strong> เป็นการศึกษาเชิงวิเคราะห์แบบตัดขวาง ในผู้ป่วยเด็กและวัยรุ่นโรคเบาหวานชนิดที่ 1 อายุ 7-18 ปี ที่มารับการรักษาช่วง พฤษภาคมถึงกรกฎาคม พ.ศ. 2567 โดยแบ่งผู้ป่วยเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มควบคุมระดับน้ำตาลสะสมดี (HbA1c ≤ 9%) และกลุ่มควบคุมระดับน้ำตาลสะสมไม่ดี (HbA1c &gt; 9%) มีการใช้แบบคัดกรองภาวะซึมเศร้าในเด็ก (CDI) และแบบวัดการปฏิบัติหน้าที่ของครอบครัว (CFI) เพื่อประเมินภาวะซึมเศร้าและการปฏิบัติหน้าที่ของครอบครัว การเก็บข้อมูลอื่น ๆ มาจากแบบสอบถามและเวชระเบียน Multivariable logistics regression นำมาใช้ในการหาปัจจัยที่มีผลต่อการควบคุมระดับน้ำตาลสะสม</p> <p><strong>ผลการศึกษา:</strong> ผู้ป่วยเด็กและวัยรุ่นโรคเบาหวานชนิดที่ 1 จำนวน 64 คน ค่ามัธยฐานอายุ 13.3 ปี ค่าเฉลี่ยระดับน้ำตาลสะสม 10.12 ± 2.30 % แบ่งเป็นกลุ่มควบคุมระดับน้ำตาลสะสมดี 24 คนและกลุ่มควบคุมระดับน้ำตาลสะสมไม่ดี 40 คน ความชุกของภาวะซึมเศร้าในการศึกษาร้อยละ 45.3 โดยความชุกของภาวะซึมเศร้าในกลุ่มควบคุมระดับน้ำตาลสะสมไม่ดี ร้อยละ 50 มากกว่าในกลุ่มควบคุมระดับน้ำตาลสะสมดี ร้อยละ 37.5 แต่ไม่พบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p=0.330) ส่วนความถี่ของการตรวจน้ำตาลในเลือดด้วยตนเอง (self-monitoring of blood glucose, SMBG) จำนวนครั้งของการฉีดอินซูลินต่อวันและการปฏิบัติหน้าที่ของครอบครัวด้านการแก้ปัญหา การสื่อสาร และโดยรวม มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ เมื่อวิเคราะห์พหุตัวแปรพบว่า มีเพียงจำนวนครั้งของการเจาะน้ำตาลปลายนิ้วที่เพิ่มขึ้น ทำให้ความเสี่ยงต่อการควบคุมระดับน้ำตาลสะสมไม่ดีลดลง (OR 0.22, 95%CI: 0.16-0.29, p &lt;0.001)</p> <p><strong> สรุป:</strong> การศึกษานี้พบความชุกของภาวะซึมเศร้าในผู้ป่วยเด็กและวัยรุ่นโรคเบาหวานชนิดที่ 1 มีค่าสูง ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการควบคุมระดับน้ำตาลสะสมที่ดี คือ ความถี่ของการตรวจน้ำตาลในเลือดด้วยตนเองที่เพิ่มขึ้น ส่วนการเพิ่มการปฏิบัติหน้าที่ของครอบครัวด้านการแก้ปัญหาและการสื่อสาร อาจทำให้การควบคุมระดับน้ำตาลสะสมดีขึ้น</p> เลอลักษณ์ วิทยาประภากร Copyright (c) 2024 ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย และ สมาคมกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-09-30 2024-09-30 63 3 129 144 ปัจจัยที่เกี่ยวข้องต่อการเกิดโรคลมชักที่ไม่ตอบสนองต่อยาในผู้ป่วยเด็กโรงพยาบาลอุดรธานี https://he04.tci-thaijo.org/index.php/TJP/article/view/1309 <p><strong>ความเป็นมา</strong><strong>:</strong> โรคลมชักในเด็กเป็นโรคที่พบบ่อย ค่าใช้จ่ายโรคลมชักโดยเฉลี่ยรายปีต่อคนอยู่ระหว่าง 204-11,432 ดอลลาร์สหรัฐ ผู้ป่วยโรคลมชัก 1 ใน 3 ดื้อต่อยากันชัก การหาปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้ผู้ป่วยไม่ตอบสนองต่อยากันชักจึงมีความจำเป็น</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>: </strong></p> <ol> <li>เพื่อศึกษาปัจจัยที่เกี่ยวข้องต่อการเกิดโรคลมชักที่ไม่ตอบสนองต่อยา (drug resistant epilepsy: DRE)</li> <li>เพื่อศึกษาค่ายารักษาโรคลมชักและค่าผลตรวจทางห้องปฏิบัติการในปีที่ทำการศึกษาของผู้ป่วยโรคลมชักกลุ่มที่ไม่ตอบสนองต่อยาและกลุ่มที่ตอบสนองต่อยากันชัก</li> </ol> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong><strong>:</strong> การศึกษาเชิงสังเกตุย้อนหลังจากเวชระเบียน เพื่อค้นหาผู้ป่วยเด็กทุกรายที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคลมชักในโรงพยาบาลอุดรธานีระหว่างวันที่ 1 มกราคม - 31 ธันวาคม 2561 และมาติดตามการรักษาต่อเนื่องอย่างน้อย 2 ปี เก็บข้อมูลและวิเคราะห์โดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติ STATA version 15</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong><strong>:</strong> ผู้ป่วยเด็กโรคลมชักทั้งหมด 277 ราย เป็น DRE ร้อยละ 30.7 univariate analysis พบปัจจัยที่มีผลต่อการเกิด DRE อย่างมีนัยสำคัญ (p value &lt; 0.05)ได้แก่ อายุที่เริ่มแสดงอาการชักก่อนหนึ่งปี OR 0.51 (95% CI 0.30–0.86) มีโรคเกิดร่วมทางระบบประสาทและพัฒนาการ OR 5.54 (95% CI 3.10–93.90) สาเหตุการชักจาก structural cause OR 4.73 (95% CI 2.56–8.73) ภาพถ่ายสมองผิดปกติ OR 2.55 (95% CI 1.16–5.59) คลื่นไฟฟ้าสมองผิดปกติ OR 3.69 (95% CI 1.47-9.28) ผู้ป่วยยังไม่หยุดชักภายในระยะเวลา 2 ปีแรกหลังเริ่มรักษา OR 76.95 (95% CI 26.59–222.68) multivariate analysis พบปัจจัย ผู้ป่วยยังไม่หยุดชักภายในระยะเวลา 2 ปีแรกหลังเริ่มรักษา OR 95.11 (95% CI 8.42-1073.67) กลุ่ม DRE ค่ายารายวันเฉลี่ย 94.6 <u>+</u> 105.8 บาท/วัน (95% CI 71.79 – 117.42) ส่วนกลุ่ม drug responsive epilepsy 21.9 <u>+</u> 37.9 บาท/วัน (95% CI 15.08 – 28.78) (p value &lt;0.05) ค่ายากันชักรายวันรวม 10,672.75 บาท/วัน เกิดจากกลุ่ม DRE ร้อยละ 75.3 ค่าตรวจระดับยากันชักรวม 40,890 บาท (จากกลุ่ม DRE ร้อยละ 88.3) ค่าตรวจคลื่นไฟฟ้าสมองรวม 36,000 บาท (จากกลุ่ม DRE ร้อยละ 55.6) ค่าตรวจ CT brain รวมทั้งหมดจากกลุ่ม DRE (ร้อยละ 100) ค่าตรวจ MRI brain รวม 124,000 บาท (จากกลุ่ม DRE ร้อยละ 75)</p> <p><strong>สรุป</strong><strong>:</strong> ผู้ป่วยที่ยังไม่หยุดชักภายในระยะเวลา 2 ปีแรกหลังเริ่มรักษาเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิด DRE 95.11 เท่าอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ค่ายาและค่าตรวจทางห้องปฏิบัติการมากกว่าครึ่งหนึ่งเกิดจากกลุ่ม DRE ซึ่งมีผู้ป่วยร้อยละ 30.7 ของผู้ป่วยทั้งหมด</p> กนกพรรณ รงค์นพรัตน์ Copyright (c) 2024 ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย และ สมาคมกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-09-30 2024-09-30 63 3 145 158 แนวทางการสื่อสารวัคซีนโดยการแจ้ง https://he04.tci-thaijo.org/index.php/TJP/article/view/1302 <p>ในปัจจุบันพบปัญหาความลังเลในการรับวัคซีนหลายชนิด เช่น โควิด-19 เอชพีวี หัด-หัดเยอรมัน-คางทูม ส่งผลให้อัตราการรับวัคซีนลดลงและเกิดการระบาดของโรคทั้งที่สามารถป้องกันได้ด้วยวัคซีน การให้ความรู้แก่ประชาชนหรือพ่อแม่เพียงอย่างเดียวอาจไม่ได้ผลในการแก้ปัญหาดังกล่าว และอาจทำให้เกิดผลในทางตรงกันข้าม การสื่อสารโดยตรงจากแพทย์และบุคลากรสาธารณสุขมีความสำคัญอย่างมากในการเพิ่มการฉีดวัคซีน บทความนี้นำเสนอแนวทางการสื่อสารวัคซีนโดยการแจ้ง (announcement approach) ซึ่งเป็นวิธีที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าสามารถเพิ่มอัตราการรับวัคซีนได้อย่างมีประสิทธิภาพ วิธีนี้ประกอบด้วยสามขั้นตอนหลัก ได้แก่ การแจ้ง (announce) การรับฟังและชี้แจง (connect and counsel) และการลองใหม่ (try again) โดยการใช้ภาษาที่สื่อถึงความคาดหวังและการแจ้ง เป็นปัจจัยสำคัญในการทำให้คำแนะนำมีความหนักแน่นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น การศึกษาแสดงให้เห็นว่าผู้ให้บริการด้านสุขภาพที่ใช้วิธีนี้สามารถเพิ่มอัตราการรับวัคซีนได้สูงขึ้น ผู้เขียนแนะนำให้ใช้แนวทางนี้เป็นแนวทางปฏิบัติในสถานพยาบาลสำหรับการฉีดวัคซีนทุกชนิด </p> เทอดพงศ์ ทองศรีราช พุทธิชาติ ขันตี ณัฐพร จันทร์ดียิ่ง ศิรดา พืชไพบูลย์ Copyright (c) 2024 ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย และ สมาคมกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-09-30 2024-09-30 63 3 1 11