วารสารกุมารเวชศาสตร์
https://he04.tci-thaijo.org/index.php/TJP
<p>วารสารกุมารเวชศาสตร์ (Thai Journal of Pediatrics) เป็นวารสารวิชาการทางการแพทย์ที่เผยแพร่ผลงานทางวิชาการ เกี่ยวกับกุมารเวชศาสตร์ เป็นภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษ</p>
ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย / สมาคมกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย
th-TH
วารสารกุมารเวชศาสตร์
3027-8422
-
รายงานผู้ป่วยเด็กโรค Severe Combined Immune Deficiency หลังรับการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดจากไขกระดูกแล้วติดโรคติดเชื้อ COVID-19 ในปี ค.ศ. 2022
https://he04.tci-thaijo.org/index.php/TJP/article/view/1810
<p><strong>ความเป็นมา</strong><strong>: </strong>ผู้ป่วยเด็กที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องแต่กำเนิดมีโอกาสที่จะติดเชื้อโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (COVID-19) ที่รุนแรงกว่าในกลุ่มประชากรเด็กปกติ ในรายงานผู้ป่วยตัวอย่างนี้จะมุ่งเน้นถึงอาการ การรักษาและผลการรักษาในผู้ป่วยเด็ก severe combined immune deficiency (SCID) หลังได้รับการรักษาโดยการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดจากไขกระดูก (hematopoietic stem cell transplantation; HSCT) และมีการติดโรคติดเชื้อ COVID-19</p> <p><strong>รายงานผู้ป่วย</strong><strong>:</strong> ผู้ป่วย 3 รายเป็นผู้ป่วยเด็กที่ได้รับการวินิจฉัยเป็นโรค SCID โดย ผู้ป่วย 2 รายได้รับการรักษาด้วยการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดจากไขกระดูกชนิด haploidentical HSCT ที่อายุ 6 เดือน และ 2.8 เดือนตามลำดับ และ ผู้ป่วย 1 ราย ได้รับปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดจากไขกระดูกชนิด match related HSCT ที่อายุ 9 เดือน ผลการการรักษาได้ผลดีทั้ง 3 ราย การทำงานของ T cell อยู่ในเกณฑ์ปกติ และสามารถหยุดยายากดภูมิคุ้มกันได้ อย่างไรก็ตามมีผู้ป่วย 1 ราย ต้องได้รับการทดแทนอิมมูโนโกลบูลินทางชั้นใต้ผิวหนังอย่างต่อเนื่อง ช่วงการระบาดของโรค COVID-19 ในปี ค.ศ. 2022 ซึ่งเป็นระยะเวลาหลังการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดจากไขกระดูกเป็นระยะเวลา 10 ปี 6 ปี และ 8 ปี ตามลำดับ ผู้ป่วยติดโรคติดเชื้อ COVID-19 โดยมีการตรวจยืนยันด้วย real-time polymerase chain reaction (RT-PCR) ผู้ป่วยทั้งสามรายมีอาการไม่รุนแรง มีอาการ ไข้ต่ำ ๆ ไอ น้ำมูก ผู้ป่วย 2 ใน 3 รายได้รับยาต้านไวรัส favipiravir และทั้งหมดไม่ต้องได้รับออกซิเจน และมีการฟื้นตัวได้ดี ไม่มีผลแทรกซ้อนในเวลาที่รายงานผู้ป่วยทั้ง 3 ราย ไม่มีอาการของภาวะ long COVID-19</p> <p><strong>สรุป</strong><strong>:</strong> ในผู้ป่วยโรค SCID หลังได้รับการรักษาด้วยการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดจากไขกระดูกและมีการติดโรคCOVID-19 มีอาการที่ไม่รุนแรง ไม่มีผู้ป่วยที่เสียชีวิต</p>
ปิยะพงษ์ เลาห์ภากรณ์
แพรวกัลยา สุกใส
ศุภมาศ หรินทจินดา
เกวลี ธรรมจำรัสศรี
ณัฐชนัญ กลางกัลยา
วัชรุตม์ กันจงกิตติพร
วิภารัตน์ มนุญากร
Copyright (c) 2024 ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย และ สมาคมกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-12-27
2024-12-27
63 4
128
139
-
ความชุกและปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อการตรวจพบความผิดปกติจากการตรวจไฟฟ้าวินิจฉัยในกลุ่มผู้ป่วยเด็กที่สงสัยว่ามีภาวะเส้นประสาทผิดปกติหลายเส้น: การศึกษาแบบย้อนหลัง ณ ช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง
https://he04.tci-thaijo.org/index.php/TJP/article/view/1865
<p><strong>ความเป็นมา</strong><strong>: </strong>การตรวจไฟฟ้าวินิจฉัย เป็นเครื่องมือที่มีความสำคัญในการวินิจฉัยโรคทางระบบประสาทและกล้ามเนื้อในผู้ป่วยเด็กมาเป็นเวลายาวนาน แต่อย่างไรก็ตามยังไม่มีงานวิจัยที่ศึกษาความชุกและปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อการตรวจพบความผิดปกติจากการตรวจไฟฟ้าวินิจฉัย ในกลุ่มผู้ป่วยเด็กที่สงสัยว่ามีภาวะเส้นประสาทผิดปกติหลายเส้น</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>: </strong>เพื่อศึกษาความชุกและปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อการตรวจพบความผิดปกติจากการตรวจไฟฟ้าวินิจฉัย ในกลุ่มผู้ป่วยเด็กที่สงสัยว่ามีภาวะเส้นประสาทผิดปกติหลายเส้น</p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong><strong>: </strong>งานวิจัยนี้เป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลย้อนหลังจากเวชระเบียนผู้ป่วยในสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี โดยประกอบไปด้วยข้อมูลทั่วไป และข้อมูลที่ได้จากผลการตรวจไฟฟ้าวินิจฉัย นำข้อมูลไปวิเคราะห์ด้วยโปรแกรมทางสถิติ</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong><strong>: </strong>จากกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด 48 คน มี 29 คน พบภาวะเส้นประสาทผิดปกติหลายเส้น จากการตรวจไฟฟ้าวินิจฉัย ความชุกร้อยละ 60.4 (95%CI: 45.3, 74.2) ไม่พบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติของอายุ เพศ น้ำหนัก ส่วนสูง ระยะเวลาที่มีอาการ และประวัติคลอด และการตรวจพบความผิดปกติทางไฟฟ้า ระหว่าง 2 กลุ่ม โดยเส้นประสาทสั่งการที่ตรวจพบความผิดปกติมากที่สุด คือเส้นประสาท peroneal (38 เส้นจาก 47 เส้น คิดเป็นร้อยละ 80.9) และเส้นประสาทรับความรู้สึกที่ตรวจพบความผิดปกติมากที่สุด คือเส้นประสาท sural (29 เส้นจาก 32 เส้น คิดเป็นร้อยละ 90.6)</p> <p><strong>สรุป</strong><strong>: </strong> ความชุกของการตรวจพบความผิดปกติทางไฟฟ้าเท่ากับร้อยละ 60.4 ไม่พบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติของปัจจัยที่ศึกษาและการตรวจพบความผิดปกติทางไฟฟ้าระหว่าง 2 กลุ่ม โดยเส้นประสาทสั่งการและเส้นประสาทรับความรู้สึกที่ตรวจพบความผิดปกติมากที่สุด คือเส้นประสาท peroneal และ เส้นประสาท sural ตามลำดับ</p>
ภัทราภา แย้มดี
Copyright (c) 2024 ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย และ สมาคมกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-12-27
2024-12-27
63 4
1
9
-
การศึกษานำร่องของความรู้ เจตคติ ความกังวล และการปฏิบัติของผู้ปกครองที่บุตรไม่เคยมีอาการชักต่อภาวะชักจากไข้
https://he04.tci-thaijo.org/index.php/TJP/article/view/2264
<p><strong>ความเป็นมา</strong><strong>: </strong>ภาวะชักจากไข้พบได้บ่อยในเด็กที่มีอายุระหว่าง 6 เดือนถึง 5 ปี ภาวะนี้ไม่เป็นอันตรายและไม่ส่งผลต่อความสามารถในการเรียนรู้ เชาว์ปัญญา หรือพฤติกรรมในอนาคต จากการทบทวนวรรณกรรมจากต่างประเทศพบว่าผู้ปกครองส่วนใหญ่ยังขาดความรู้ที่ถูกต้อง ทำให้ผู้ปกครองเกิดความกังวล ให้การดูแลรักษาเบื้องต้นที่ไม่เหมาะสม และมีมุมมองที่ไม่ดีต่อภาวะนี้</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>:</strong> เพื่อสร้างแบบสอบถามเบื้องต้นสำหรับประเมินความรู้ เจตคติ ความกังวล และการปฏิบัติตัวของผู้ปกครองไทย (ที่บุตรไม่เคยมีอาการชัก) ต่อภาวะชักจากไข้</p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong><strong>:</strong> สร้างแบบสอบถามโดยอ้างอิงจากแนวทางการให้คำแนะนำภาวะไข้ในเด็ก และความรู้เกี่ยวกับ FS จากวรรณกรรมที่ได้ทบทวนมา ให้แพทย์ที่เชี่ยวชาญ 3 ท่าน ประเมินความถูกต้องของและความชัดเจนของเนื้อหา ได้ทำการตรวจสอบความเที่ยงตรง (content validity) ของเนื้อหาซึ่งมีค่า Index of Item Objective Congruence (IOC) เกิน 0.5 (ถือว่ามีความเที่ยงตรง) และจากนั้นนำแบบสอบถามมาทดสอบนำร่องในผู้ปกครองของเด็กที่มีอายุอยู่ในช่วง 6 เดือน ถึง 5 ปีที่ไม่เคยมีภาวะชัก รวมทั้งสิ้น 20 คน รวบรวมข้อมูลมาวิเคราะห์ด้วยสถิติเชิงพรรณนา</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong><strong>:</strong> มีผู้ปกครอง 20 ท่านเข้าร่วมตอบแบบสอบถาม พบว่า ผู้ปกครองส่วนใหญ่ยังมีความเข้าใจเกี่ยวกับการพยากรณ์โรคของภาวะนี้ไม่ถูกต้อง ร้อยละ 95 เชื่อว่าเด็กทุกคนจะมีอาการชักซ้ำหากมีไข้ครั้งต่อไป และคิดว่า ภาวะนี้ส่งผลอันตรายถึงชีวิต และ ทำให้เด็กมีสติปัญญาบกพร่องและพัฒนาการช้า ร้อยละ 75 และ 60 ตามลำดับ ร้อยละ 95 คิดว่าการตรวจเลือดพื้นฐานนั้นจำเป็นในผู้ป่วยทุกราย ร้อยละ 70 คิดว่าควรนำส่งผู้ป่วยไปโรงพยาบาล ในการปฏิบัติตัวขณะชักพบว่า ร้อยละ 65 คิดว่าควรหาสิ่งของสอดเข้าในปากขณะมีอาการชัก ผู้ปกครองส่วนใหญ่มีความกังวลต่อภาวะนี้ในระดับมากถึงมากสุด</p> <p><strong>สรุป</strong><strong>: </strong>จากการศึกษาพบว่าผู้ปกครองมากกว่าครึ่งยังมีความรู้เกี่ยวกับภาวะชักจากไข้ไม่ถูกต้อง นำไปสู่ความกังวล ความเครียด และการปฏิบัติตัวที่ไม่เหมาะสม</p>
ภัททิยา นิมมานเกียรติกุล
สุรชัย ลิขสิทธิ์วัฒนกุล
Copyright (c) 2024 ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย และ สมาคมกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-12-27
2024-12-27
63 4
10
25
-
ผลการรักษาด้วยยา aminophylline ในทารกเกิดก่อนกำหนด
https://he04.tci-thaijo.org/index.php/TJP/article/view/1151
<p><strong>ความเป็นมา</strong>: ภาวะหยุดหายใจในทารกเกิดก่อนกำหนดเป็นปัญหาที่พบได้บ่อย ยากลุ่ม methylxanthines เป็นยาหลักที่ใช้ในการรักษา โดยมีข้อบ่งชี้เพื่อป้องกันและรักษาภาวะหยุดหายใจ ช่วยให้การถอดท่อช่วยหายใจประสบความสำเร็จ และมีการศึกษาพบว่าอาจช่วยลดการเกิดโรคปอดเรื้อรัง</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong>: ศึกษาผลการรักษาด้วยยา aminophylline ในทารกเกิดก่อนกำหนดในข้อบ่งชี้ที่แตกต่างกัน ได้แก่ การป้องกัน และรักษาภาวะหยุดหายใจ การช่วยในการเอาท่อช่วยหายใจออกสำเร็จ รวมถึงปัจจัย<br />ที่มีผลต่อประสิทธิผลของการรักษา</p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong>: ทำการศึกษาไปข้างหน้า โดยเก็บข้อมูลทางคลินิกในทารกเกิดก่อนกำหนดอายุครรภ์น้อยกว่าหรือเท่ากับ 30 สัปดาห์ที่ได้รับการรักษาที่โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมาภายใน 24 ชั่วโมงแรก ระหว่างเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2564 ถึงเดือนเมษายน พ.ศ. 2565 วิเคราะห์ข้อมูลด้วย multivariable logistic regression เพื่อหาปัจจัยที่สัมพันธ์กับความสำเร็จของการให้ยา</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong>: มีทารกที่ได้รับการรักษาด้วย aminophylline ตามข้อบ่งชี้ที่แตกต่างกันรวม 78 คนโดยการให้ยาได้ผลสำเร็จ 38 คน (ร้อยละ 48.7) ปัจจัยที่มีผลต่อผลสำเร็จของการให้ยาได้แก่ อายุครรภ์ (AUC =0.72, 95%CI 0.54-0.9)โดยมีค่า cut-off ที่ 28.9 สัปดาห์ และปัจจัยที่สัมพันธ์กับการได้ยาแล้วไม่ประสบความสำเร็จ ได้แก่ ค่า Mean airway pressure (MAP) มากที่สุดในช่วง 3 วันแรกที่มากกว่า 16 cmH<sub>2</sub>O (AUC = 0.68, 95%CI 0.52-0.84)</p> <p><strong>สรุป</strong>: การให้ยา aminophylline ในทารกเกิดก่อนกำหนดอายุครรภ์น้อยกว่าหรือเท่ากับ 30 สัปดาห์มีประสิทธิผลร้อยละ 48.7 ปัจจัยที่สัมพันธ์กับประสิทธิภาพของการรักษาคือ อายุครรภ์ และค่า MAP <br />มากที่สุดในช่วง 3 วันแรก </p>
พรทิพา ศรีวัฒนา
พิชญา ถนอมสิงห์
Copyright (c) 2024 ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย และ สมาคมกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-12-27
2024-12-27
63 4
26
41
-
เกณฑ์ทางคลินิกเพื่อทำนายภาวะล้มเหลวจากการช่วยหายใจด้วยแรงดันบวกในการรักษาภาวะหายใจลำบากในทารกเกิดก่อนกำหนด
https://he04.tci-thaijo.org/index.php/TJP/article/view/1772
<p><strong>ความเป็นมา:</strong> การใช้ continuous positive airway pressure(CPAP) ตั้งแต่แรกเกิด และการให้สารลดแรงตึงผิวตามข้อบ่งชี้เป็นการรักษามาตรฐานของภาวะหายใจลำบากจากการขาดสารลดแรงตึงผิวในทารกเกิดก่อนกำหนด (respiratory distress syndrome) แต่พบว่าทารกที่ได้รับการรักษาด้วย CPAP ไม่สำเร็จมีความเสี่ยงที่จะเสียชีวิตและเกิดภาวะแทรกซ้อนเพิ่มมากขึ้น</p> <p><strong>วัตถุประสงค์:</strong> เพื่อสร้างเกณฑ์ทำนายทางคลินิกสำหรับภาวะใช้ CPAP ไม่สำเร็จ (CPAP failure)</p> <p><strong>วิธีการศึกษา:</strong> ดำเนินการเก็บข้อมูลไปข้างหน้าในทารกเกิดก่อนกำหนดอายุครรภ์น้อยกว่าหรือเท่ากับ 32 สัปดาห์ ที่ได้รับการรักษาด้วย CPAP ตั้งแต่แรกเกิดที่โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา ระหว่าง 1 เมษายน พ.ศ. 2563 ถึง 30 เมษายน พ.ศ. 2564 ทารกที่เริ่มต้นให้การรักษาด้วย CPAP หลังเกิดที่ต้องได้รับการใส่ท่อช่วยหายใจหรือได้รับสารลดแรงตึงผิวหลังจากนั้น ภายในอายุ 48 ชั่วโมงหลังเกิด จะได้รับการวินิจฉัยเป็นภาวะ CPAP failure จากนั้นนำตัวแปรทางคลินิกมาเปรียบเทียบระหว่าง 2 กลุ่มคือ กลุ่มใส่ CPAP สำเร็จ (CPAP success) และ CPAP failure และใช้สถิติ multivariable logistic regression เพื่อสร้างเกณฑ์ทำนายทางคลินิก</p> <p><strong>ผลการศึกษา:</strong> ทารกที่เข้าร่วมการศึกษา 107 ราย เกิด CPAP failure ร้อยละ 32.7 โดยมีปัจจัยที่สัมพันธ์กับการเกิด CPAP failure ได้แก่ อายุครรภ์ ระดับ CPAP ค่า FiO<sub>2</sub> และ pCO<sub>2 </sub>ที่อายุ 1 ชั่วโมง เมื่อนำปัจจัยเหล่านี้มาสร้างเกณฑ์ทำนายทางคลินิก จะมีค่า AUC ร้อยละ 89.2 (95%CI 82.6-95.8) ในกลุ่มที่มีความเสี่ยงต่ำต่อการเกิด CPAP failure จะมีค่า positive likelihood ratio 0.12 (95%CI 0.03-0.45) ส่วนกลุ่มเสี่ยงสูงต่อการเกิด CPAP failure จะมีค่า positive likelihood ratio 5.02 (95%CI 2.72-9.25)</p> <p><strong>สรุป:</strong> การศึกษานี้พบว่าตัวแปรที่สามารถใช้ในการบ่งชี้เรื่องของภาวะล้มเหลวจากการช่วยหายใจด้วยแรงดันบวกมี 4 ตัวแปร ได้แก่ อายุครรภ์ ระดับ CPAP level ค่า FiO2 และค่า pCO2 ที่ 1 ชั่วโมงหลังเกิด และสามารถนำมาสร้างเป็นเกณฑ์ทำนายทางคลินิกในการในการทำนายภาวะ CPAP failure ได้ โดยสามารถนำไปใช้ในการ early intervention เพื่อให้การรักษาด้วยการช่วยหายใจที่เหมาะสม</p>
ชนิกานต์ เพิ่มทองชูชัย
พิชญา ถนอมสิงห์
Copyright (c) 2024 ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย และ สมาคมกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-12-27
2024-12-27
63 4
42
56
-
ประสิทธิผลของโปรแกรมการดูแลรักษาเด็กน้ำหนักเกินและอ้วนโดยทีมสหสาขาวิชาชีพ
https://he04.tci-thaijo.org/index.php/TJP/article/view/1481
<p><strong>ความเป็นมา</strong><strong>:</strong> ปัญหาความชุกของภาวะน้ำหนักเกินและโรคอ้วนในเด็กวัยเรียนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้เกิดปัญหาโรคไม่ติดต่อเรื้อรังเพิ่มขึ้นในผู้ใหญ่ การแก้ไขปัญหาต้องมีรูปแบบที่สอดคล้องกับช่วงวัย และความร่วมมือจากสหสาขาวิชาชีพ ครอบครัว และ สังคม</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>:</strong> การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินผลรูปแบบการดูแลโรคอ้วนในเด็กวัยเรียนอายุ 8-14 ปีโดยอ้างอิงจากคู่มือนักจัดการน้ำหนักเด็กวัยเรียน (Smart Kids Coacher) สำนักโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข </p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong><strong>:</strong> วิธีการศึกษาเป็น quasi experimental study ในเด็กนักเรียนอายุ 8-14 ปีที่คัดกรองแล้วมีภาวะน้ำหนักเกินหรืออ้วน โดยมีร้อยละน้ำหนักต่อส่วนสูงเกิน 120 เข้าร่วมโปรแกรมการจัดการน้ำหนักโดยทีมสหสาขาวิชาชีพจำนวน 3 ครั้ง 5 กิจกรรมในระหว่างเดือน กุมภาพันธ์-กรกฎาคม พ.ศ. 2567 ประกอบด้วยกิจกรรมรู้จักภาวะตั้งเป้าหมาย กิจกรรมจิงโจ้ fun for fit กิจกรรมอาหารตามธงโภชนาการ กิจกรรมการเลือกกินอาหารตามโซนสี และกิจกรรมการทำอาหารเพื่อสุขภาพ โดยสหสาขาวิชาชีพ ได้แก่ กุมารแพทย์ นักสุขศึกษา นักโภชนาการและ นักวิชาการสาธารณสุข ทำการเก็บข้อมูล น้ำหนัก ส่วนสูง รอบเอว รอบสะโพกและค่าคะแนนแบบทดสอบ ก่อนและหลังเข้าร่วมโปรแกรม</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong><strong>:</strong> ผู้เข้าร่วมการศึกษาจำนวน 78 ราย เพศชาย 54 รายคิดเป็นร้อยละ 69.2 อายุเฉลี่ย 9.2 ±1.4 ปี พบการเพิ่มขึ้น ของน้ำหนักและส่วนสูงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P<0.001) โดยน้ำหนักเพิ่มขึ้น จาก 58.4±16.4กก เป็น 60.0±16.0 ส่วนสูงเพิ่มขึ้น จาก 141.1±11.4 ซม เป็น 143.9±11.5 ซม ร้อยละน้ำหนักต่อส่วนสูง (%W/H) ลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p=0.001) จาก 168.9±19.3 เป็น 164.7±17.2 จำนวนเด็กที่มีภาวะอ้วนมากและอ้วนรุนแรง (%W/H >160) ลดลงจาก 46 ราย (62.2%) เหลือ 39 ราย (52.7%) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ0.05 (p=0.041) ค่าคะแนนแบบทดสอบความรู้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ <strong>(</strong>p<0.001) <strong>จาก </strong>4.3±1.9 คะแนน เป็น 5.6±2.5 คะแนน ไม่พบการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติในดัชนีมวลกาย รอบเอว และรอบสะโพก และอัตราส่วนรอบเอวต่อสะโพก</p> <p><strong>สรุป</strong><strong>:</strong> โปรแกรมการจัดการน้ำหนักโดยทีมสหสาขาวิชาชีพน่าจะมีประสิทธิผลต่อการลดลงของร้อยละน้ำหนักต่อส่วนสูง โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีภาวะอ้วนมากและอ้วนรุนแรง และช่วยเพิ่มความรู้ให้แก่ผู้เข้าร่วมโปรแกรม</p>
เมธารี ปัญญานรกุล
Copyright (c) 2024 ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย และ สมาคมกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-12-27
2024-12-27
63 4
57
69
-
การศึกษาระบบให้บริการผู้ป่วยโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียในเด็กชนิดพึ่งพาเลือดในโรงพยาบาลชุมชนของจังหวัดอุดรธานี
https://he04.tci-thaijo.org/index.php/TJP/article/view/2246
<p><strong>ความเป็นมา</strong><strong>: </strong>โรคธาลัสซีเมียเป็นโรคที่เกิดจากความผิดปกติของยีน ส่งผลให้มีภาวะโลหิตจางแต่กำเนิด กลุ่มธาลัสซีเมียชนิดรุนแรงจำเป็นต้องให้เลือดอย่างสม่ำเสมอ การรักษาในปัจจุบันประกอบด้วยการให้เลือดและยาขับเหล็กที่เหมาะสม จังหวัดอุดรธานีมีผู้ป่วยโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียในเด็กชนิดพึ่งพาเลือดจำนวน 287 คน พบว่าครึ่งหนึ่งของจำนวนผู้ป่วยมีภูมิลำเนาที่ต้องได้รับบริการในโรงพยาบาลชุมชน ดังนั้นงานวิจัยนี้จึงศึกษาระบบการให้บริการผู้ป่วยโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียในเด็กชนิดพึ่งพาเลือดในโรงพยาบาลชุมชนของจังหวัดอุดรธานี</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>: </strong>1) เพื่อศึกษาระบบการให้บริการผู้ป่วยโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียในเด็กชนิดพึ่งพาเลือดในโรงพยาบาลชุมชนของจังหวัดอุดรธานี 2) เพื่อศึกษาปัจจัยความสำเร็จ (key success factors) ที่ส่งผลต่อระบบการให้บริการผู้ป่วยโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียในเด็กชนิดพึ่งพาเลือดในโรงพยาบาลชุมชนของจังหวัดอุดรธานี</p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong><strong>: </strong>งานวิจัยครั้งนี้ใช้เครื่องมือวิจัยเชิงคุณภาพ โดยเก็บข้อมูลจากแบบสอบถามแบบคำถามปลายปิด (close ended question) และคำถามปลายเปิด (open ended question) ร่วมกับการอภิปรายกลุ่ม (focus group discussion) กับทีมสหสาขาวิชาชีพ ระหว่างเดือนมิถุนายนถึงกันยายน พ.ศ. 2567</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong><strong>: </strong>งานวิจัยครั้งนี้พบว่าในจังหวัดอุดรธานีมีโรงพยาบาลชุมชนที่ร่วมโครงการ 18 แห่ง 1) มีการจัดตั้งคลินิกโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียในเด็กชนิดพึ่งพาเลือดที่โรงพยาบาลชุมชน โดยมีแพทย์และพยาบาลประจำคลินิก คิดเป็นร้อยละ 100 2) มีการประสานงานกันในทีมสหสาขาวิชาชีพอย่างเป็นรูปธรรมคิดเป็นร้อยละ 66.7 3) มีการให้เลือดที่โรงพยาบาลชุมชนแล้วเสร็จภายในวันเดียว คิดเป็นร้อยละ 100 4) มีการจัดหาเลือดที่ได้มาตรฐานชนิด LPRC คิดเป็นร้อยละ 83.3 และจัดหาเลือดตามกำหนดนัดหมายคิดเป็นร้อยละ 77.8 โดยงานวิจัยได้ศึกษาปัจจัยความสำเร็จที่ส่งผลต่อระบบการให้บริการผู้ป่วยโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียในเด็กชนิดพึ่งพาเลือดในโรงพยาบาลชุมชนประกอบด้วย 1) ทีมโรงพยาบาลจังหวัดเป็นต้นแบบที่ดี 2) การประสานงานกันระหว่างทีมโรงพยาบาลจังหวัดและโรงพยาบาลชุมชน 3) การทำงานที่มีประสิทธิภาพของแต่ละโรงพยาบาลชุมชน 4) การติดตามผลงานของโรงพยาบาลชุมชนอย่างสม่ำเสมอ และ 5) การสร้างพื้นที่เรียนรู้ร่วมกันระหว่างโรงพยาบาลจังหวัดและโรงพยาบาลชุมชน</p> <p><strong>สรุป</strong><strong>: </strong>จากการศึกษาระบบให้บริการผู้ป่วยโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียในเด็กชนิดพึ่งพาเลือดในโรงพยาบาลชุมชนของจังหวัดอุดรธานี พบว่าระบบให้บริการผู้ป่วยโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียในเด็กชนิดพึ่งพาเลือดในโรงพยาบาลชุมชนของจังหวัดอุดรธานีมีการพัฒนาร่วมกันกับระบบต้นแบบที่ให้บริการผู้ป่วยโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียในเด็กชนิดพึ่งพาเลือดในโรงพยาบาลอุดรธานี โดยมีการปรับตามบริบทของโรงพยาบาลชุมชนแต่ละแห่งเพื่อให้สามารถทำงานได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ และสามารถถอดบทเรียนปัจจัยความสำเร็จ ที่ส่งผลต่อระบบการให้บริการผู้ป่วยโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียในเด็กชนิดพึ่งพาเลือดในโรงพยาบาลชุมชนได้</p>
พิชญานันท์ คู่วัจนกุล
นงค์นุช หวายแก้ว
ศุภวัลย์ คำชาย
Copyright (c) 2024 ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย และ สมาคมกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-12-27
2024-12-27
63 4
70
84
-
ปัจจัยเสี่ยงที่สัมพันธ์กับการเกิดภาวะแทรกซ้อนในผู้ป่วยเด็กโรคหัวใจที่เข้ารับการรักษาแบบนอนโรงพยาบาล ณ โรงพยาบาลปัตตานี
https://he04.tci-thaijo.org/index.php/TJP/article/view/1795
<p><strong>ความสำคัญ</strong><strong>:</strong> โรคหัวใจที่พบในเด็กโดยเฉพาะโรคหัวใจพิการแต่กำเนิดพบได้บ่อยที่สุดในเด็ก มักพบภาวะแทรกซ้อนได้บ่อยกว่าเด็กปกติทั่วไป การดูแลผู้ป่วยโรคหัวใจในเด็กมีเป้าหมายเพื่อป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงจนเป็นสาเหตุให้ผู้ป่วยต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลหรือเสียชีวิต การค้นหาปัจจัยเสี่ยงที่สัมพันธ์กับการเกิดภาวะแทรกซ้อนจึงเป็นหนึ่งในวิธีการนำไปสู่การออกแบบแนวทางป้องกันหรือลดความรุนแรงจากภาวะแทรกซ้อนในผู้ป่วยเด็กโรคหัวใจ</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>:</strong> เพื่อศึกษาปัจจัยเสี่ยงที่สัมพันธ์กับการเกิดภาวะแทรกซ้อนในผู้ป่วยเด็กโรคหัวใจ ที่เข้ารับการรักษาแบบนอนโรงพยาบาล ณ โรงพยาบาลปัตตานี</p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong><strong>:</strong> ค้นหาข้อมูลผู้ป่วยเด็กที่เข้ารับการดูแลรักษา ที่คลินิกโรคหัวใจในเด็ก จากโปรแกรม HOSxP ของโรงพยาบาลปัตตานี จำนวน 117 ราย โดยแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ 1.) ผู้ป่วยเด็กที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคหัวใจ และเกิดภาวะแทรกซ้อนที่ศึกษา ได้แก่ ภาวะปอดอักเสบติดเชื้อ ภาวะหัวใจวาย และติดเชื้อระบบทางเดินหายใจ จนเป็นสาเหตุให้ต้องเข้ารับการรักษาแบบนอนโรงพยาบาล จำนวน 33 ราย (ร้อยละ 28.2) และ 2.) ผู้ป่วยเด็กกลุ่มเดียวกันที่ไม่พบภาวะแทรกซ้อน จำนวน 84 ราย (ร้อยละ 71.8) เปรียบเทียบปัจจัยที่สัมพันธ์กับการเกิดภาวะแทรกซ้อนจะถูกวิเคราะห์ด้วย t-test, exact probability test และ odds ratio (OR) จาก logistic regression analysis</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong><strong>:</strong> ลักษณะที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนที่ศึกษาจนเป็นสาเหตุให้ต้องเข้ารับการรักษาแบบนอนโรงพยาบาล ที่มีนัยสำคัญทางสถิติ ได้แก่ ผู้ป่วยเด็กที่มีภาวะโลหิตจาง (OR 70.47, 95% CI 8.31, 597.28) ภาวะน้ำหนักตัวน้อยกว่าเกณฑ์ (OR 21.96, 95% CI 3.04, 158.46) ผู้ป่วยดาวน์ซินโดรม (OR 8.30, 95% CI 1.48, 46.52) ผู้ป่วยที่ยังไม่ได้รับการผ่าตัดหัวใจ (OR 6.47, 95% CI 1.83, 22.93) ผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจโต (OR 8.16, 95% CI 1.20, 55.68) และการไม่ร่วมมือในการรักษา (OR 13.17, 95%CI 3.31, 52.35)</p> <p><strong>สรุป</strong><strong>:</strong> ปัจจัยเสี่ยงที่พบในผู้ป่วยเด็กโรคหัวใจ ณ คลินิกเด็กโรคหัวใจ โรงพยาบาลปัตตานีสัมพันธ์กับการเกิดภาวะแทรกซ้อนที่ทำให้ผู้ป่วยเข้ารับการรักษาแบบนอนโรงพยาบาล ได้แก่ ภาวะโลหิตจาง น้ำหนักตัวน้อยกว่าเกณฑ์ ผู้ป่วยดาวน์ซินโดรม ผู้ป่วยที่ยังไม่ได้รับการผ่าตัดหัวใจ ผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจโต และผู้ป่วยที่ไม่ร่วมมือในการรักษา ควรใช้ความเสี่ยงดังกล่าว</p>
มานพ หวังเคียงแสง
Copyright (c) 2024 ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย และ สมาคมกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-12-27
2024-12-27
63 4
85
100
-
ความชุกของการถูกรังแกของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 – 6 ในโรงเรียนเขตเทศบาลนครราชสีมา
https://he04.tci-thaijo.org/index.php/TJP/article/view/1161
<p><strong>ความเป็นมา</strong><strong>: </strong>การรังแกเป็นปัญหาที่ทั่วโลกให้ความสำคัญ เนื่องจากการรังแกส่งผลเสียต่อทั้งด้านร่างกาย และ จิตใจ ซึ่งความเข้าใจถึงปัญหาการรังแกในโรงเรียนจะช่วยให้สามารถป้องกันปัญหาได้<br /><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>:</strong> เพื่อศึกษาความชุกของการถูกรังแกของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 – 6 ในโรงเรียนเขตเทศบาลนครราชสีมา</p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong><strong>:.</strong>การศึกษาเชิงพรรณนาโดยเก็บข้อมูลจากนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 – 6ในโรงเรียนเขตเทศบาลเมืองนครราชสีมา ปีการศึกษา 2564 เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถาม 5 ส่วน ได้แก่ ข้อมูลส่วนบุคคลข้อมูลด้านสภาพแวดล้อม ข้อมูลเกี่ยวกับการถูกรังแก การพบเห็นการถูกรังแก และ การรังแกผู้อื่นในโรงเรียนโดยอ้างอิงจากการทบทวนวรรณกรรมพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องรวมไปถึงปัจจัยเสี่ยงที่ส่งผลให้เกิดการรังแกในโรงเรียน</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong><strong>:</strong> นักเรียนทั้งหมด 336 คน มีนักเรียนถูกรังแก 51 คน (ร้อยละ 15) เป็นเพศชาย 25 คน (ร้อยละ 49) เพศหญิง 26 คน (ร้อยละ 51) พบว่าการศึกษาของผู้ปกครอง การเลี้ยงดู และการพบเห็นความรุนแรงในครอบครัว สัมพันธ์กับการถูกรังแกในโรงเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ รูปแบบการรังแกที่เกิดขึ้นมากที่สุด คือการใช้คำพูดหยาบคาย ล้อเลียนที่ทำให้เจ็บปวด หรือ เสียใจ การถูกรังแกมักเกิดจากนักเรียนระดับชั้นเดียวกัน <br /><strong>สรุป</strong><strong>: </strong>การรังแกพบได้อย่างแพร่หลายในปัจจุบัน และพบมากขึ้นในเด็กประถมศึกษา การให้ความรู้ และมีแนวทางการช่วยเหลือ และป้องกันการรังแกกันอย่างเหมาะสม จะช่วยลดการเกิดผลเสียต่อเด็กได้</p>
พชรพล สุขเอม
ปิยวรรณ วัฒนสุนทรสกุล
Copyright (c) 2024 ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย และ สมาคมกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-12-27
2024-12-27
63 4
101
113
-
การประเมินผลลัพธ์ของโปรแกรมเสริมพลังครอบครัวเพื่อปรับพฤติกรรมเด็กสมาธิสั้นในโรงพยาบาลหล่มสัก
https://he04.tci-thaijo.org/index.php/TJP/article/view/2137
<p><strong>บทนำ:</strong> โรคสมาธิสั้น (attention deficit hyperactivity disorder, ADHD) เป็นโรคที่พบมากที่สุดทางจิตเวช เด็กและวัยรุ่น หากไม่ได้รับการรักษาช่วยเหลือที่ดีอาการความผิดปกติที่เป็นจะทำให้เกิดผลกระทบต่อผู้ป่วย ทั้งในด้านการเรียน อาชีพ ครอบครัว และสังคม การปรับพฤติกรรมเป็นสิ่งจำเป็นต่อการรักษา แต่ยังขาดรูปแบบที่มีประสิทธิภาพในการปรับพฤติกรรม</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>: </strong>เพื่อศึกษาผลลัพธ์ของโปรแกรมเสริมพลังครอบครัวเพื่อปรับพฤติกรรมเด็กสมาธิสั้น</p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong><strong>: เป็น</strong>การศึกษา รูปแบบการวิจัยแบบวัดผลการทดลองก่อนและหลังโดยมีกลุ่มควบคุม มีเด็กกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด 56 คน โดยใช้โปรแกรมเสริมพลังครอบครัวอบรมผู้ปกครองในกลุ่มทดลอง และประเมินปัญหาพฤติกรรมของเด็กด้วยแบบประเมิน SNAP – IV และคะแนนประเมินการเลี้ยงดูเด็ก (parenting practice test) ก่อนและหลังเข้าร่วมวิจัย 3 เดือน เปรียบเทียบผลก่อนและหลังวิจัยด้วยสถิติ independent t test, Chi-square test และ Generalized Estimating Equation (GEE)</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong><strong>:</strong> กลุ่มที่ผู้ปกครองเข้าร่วมโปรแกรมเสริมพลังครอบครัวเพื่อปรับพฤติกรรมครบ 3 เดือน พบว่าคะแนน SNAP – IV คะแนนอาการขาดสมาธิ คะแนนอาการอยู่ไม่นิ่ง คะแนนรวมอาการสมาธิสั้นมีคะแนนลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ และคะแนนประเมินการเลี้ยงดูเด็ก (parenting practice test) เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ แต่เมื่อเปรียบเทียบคะแนน SNAP – IV และคะแนนประเมินการเลี้ยงดูเด็ก (parenting practice test) หลังการใช้โปรแกรมฯ ระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมพบว่าไม่แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ</p> <p><strong>สรุป</strong><strong>: </strong>โปรแกรมเสริมพลังครอบครัวเพื่อปรับพฤติกรรมเด็กสมาธิสั้นช่วยให้ผู้ปกครองมีความรู้ความเข้าใจในการปรับพฤติกรรมเด็ก </p>
ปริญญาพร ไหมแพง
Copyright (c) 2024 ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย และ สมาคมกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-12-27
2024-12-27
63 4
114
127