วารสารกุมารเวชศาสตร์ https://he04.tci-thaijo.org/index.php/TJP <p>วารสารกุมารเวชศาสตร์ (Thai Journal of Pediatrics) เป็นวารสารวิชาการทางการแพทย์ที่เผยแพร่ผลงานทางวิชาการ เกี่ยวกับกุมารเวชศาสตร์ เป็นภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษ</p> th-TH veerachaiw@yahoo.com (พลตรี ศ. วีระชัย วัฒนวีรเดช) chalinya.pr@gmail.com (ชลิญญา ปรีการ) Sat, 30 Mar 2024 00:00:00 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 ความชุกของภูมิคุ้มกันต่อโรคหัด สุกใส ในบุคลากรทางการแพทย์จังหวัดชลบุรีระหว่างเดือนตุลาคม 2565-มกราคม 2566 https://he04.tci-thaijo.org/index.php/TJP/article/view/888 <p><strong>ความเป็นมา:</strong> บุคลากรทางการแพทย์เป็นกลุ่มเสี่ยงต่อการติดเชื้อ และแพร่เชื้อโรคติดต่อที่สามารถป้องกันได้ด้วยวัคซีน เช่น หัด สุกใส การประเมินภูมิคุ้มกันของบุคลากรทางการแพทย์ เป็นสิ่งสำคัญในการวางนโยบายการฉีดวัคซีนที่มีประสิทธิภาพ งานวิจัยนี้มุ่งเน้นประเมินอัตราการตรวจพบภูมิคุ้มกันต่อโรคหัดและสุกใส ตามช่วงอายุของบุคลากรทางการแพทย์ ในจังหวัดชลบุรี เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการกำหนดนโยบายการฉีดวัคซีนให้บุคลากรทางการแพทย์</p> <p><strong>วัตถุประสงค์: </strong>ศึกษาความชุกของการปรากฏของภูมิคุ้มกันต่อเชื้อหัดและสุกใสในบุคลากรทางการแพทย์</p> <p><strong>วิธีการศึกษา:</strong> บุคลากรทางการแพทย์ในจังหวัดชลบุรี ประเทศไทย จำนวน 266 คน ได้รับการตรวจหาภูมิคุ้มกันต่อโรคหัด และสุกใส ระหว่างเดือนตุลาคม พ.ศ. 2565 ถึง มกราคม พ.ศ. 2566 แบ่งกลุ่มอายุ 6 กลุ่ม คือกลุ่มอายุ 21-30, 31-40, 41-50, 51-60, 61-70 และ &gt;70 ปี โดยวิธีการตรวจด้วย ELISA (EUROIMMUN), Lubeck, Germany)</p> <p><strong>ผลการศึกษา:</strong> ตรวจพบภูมิคุ้มกัน (IgG) ในกลุ่มศึกษาต่อโรคหัด ร้อยละ 85.0 และโรคสุกใส ร้อยละ 81.2 ตามลำดับ กลุ่มอายุ 21-30 ปี มีอัตราการตรวจพบได้น้อยที่สุด และตรวจพบเพิ่มขึ้นตามอายุ โดยตรวจพบเป็น ร้อยละ 100 เมื่ออายุมากกว่า 60 ปี</p> <p><strong>สรุป:</strong> เพื่อป้องกันการระบาดของโรคหัด และสุกใสในบุคลากรทางการแพทย์ การกำหนดนโยบายการฉีดวัคซีนป้องกันโรคทั้งสองจะมีผลกระทบสำคัญต่อการป้องกันการระบาดของโรคในโรงพยาบาล โดยเฉพาะในกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ ที่มีอายุต่ำกว่า 30 ปี</p> อภิรัต กตัญญุตานนท์, วิชัย ธนาโสภณ, ชนินันท์ สนธิไชย , ปิยดา อังศุวัชรากร, จิระ จันท์แสนโรจน์, รัชต์ธร นาคะบุตร, สรัญทร นริชภวรัญชน์, ญาณเทพ ประสิทธิ์สมสกุล, ภรัญญู สุระโคตร, ภูวิช ป้อมพิมพ์, ณศมน วรรลภากร, ยง ภู่วรวรรณ Copyright (c) 2024 ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย และ สมาคมกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he04.tci-thaijo.org/index.php/TJP/article/view/888 Fri, 29 Mar 2024 00:00:00 +0700 การทำนาย Intubation-Surfactant-Extubationไม่สำเร็จ ในทารกเกิดก่อนกำหนด ที่มีภาวะ Respiratory Distress Syndrome ด้วยลักษณะพื้นฐานของทารกเมื่อแรกเกิด https://he04.tci-thaijo.org/index.php/TJP/article/view/755 <p><strong>ความเป็นมา</strong><strong>: </strong>การรักษาโรค respiratory distress syndrome (RDS) ในทารกเกิดก่อนกำหนด ด้วย surfactant โดยวิธี INSURE (INtubation-SURfactant-Extubation) มีการใช้อย่างแพร่หลาย เพื่อลดภาวะแทรกซ้อนจากการใช้เครื่องช่วยหายใจแบบรุกราน ซึ่งพบว่าหาก INSURE ไม่สำเร็จ คือใส่ท่อช่วยหายใจซ้ำภายในเวลา 72 ชั่วโมงหลังถอด อัตราการเสียชีวิต ภาวะปอดอักเสบเรื้อรังจะเพิ่มมากขึ้น</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>: </strong>เพื่อสร้างคะแนนทำนายโอกาส INSURE ไม่สำเร็จ โดยใช้ลักษณะพื้นฐานของทารกแรกเกิด</p> <p><strong>รูปแบบ สถานที่ และผู้ป่วย</strong><strong>:</strong> เป็นการศึกษาแบบ prognostic prediction research รูปแบบ retrospective observational design ในช่วง 1 มกราคม พ.ศ. 2561 ถึง 31 ธันวาคม พ.ศ. 2565 ในทารกเกิดก่อนกำหนด อายุครรภ์น้อยกว่าหรือเท่ากับ 34 สัปดาห์ ที่มีภาวะ RDS ที่ได้รับการรักษาด้วยวิธี INSURE ของโรงพยาบาลพัทลุงหากมีการใส่ท่อช่วยหายใจใหม่หลังจากถอดภายใน 72 ชั่วโมง ถือว่า INSURE ไม่สำเร็จ</p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong><strong>:</strong> ศึกษาข้อมูลย้อนหลังจากเวชระเบียน ลักษณะพื้นฐานของทารกและมารดา ที่มีผลต่อ INSURE ไม่สำเร็จ สร้างชุดทำนาย INSURE ไม่สำเร็จ ด้วย multivariable logistic regression โดยกำหนดคะแนนความเสี่ยงจากค่า coefficient ของตัวแปรในสมการ</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong><strong>: </strong>ผู้ป่วยที่ศึกษา 159 ราย ติดตามจนจำหน่าย มีผู้ป่วยที่รักษาด้วย INSURE ไม่สำเร็จ 26 คน (ร้อยละ 16.4) ลักษณะที่ทำนาย INSURE ไม่สำเร็จมี 4 ตัวแปร คือ 1. อายุครรภ์ของมารดา 2. น้ำหนักตัวแรกเกิดของทารก 3. คะแนน APGARs ที่ 1 นาที และ 4. ความรุนแรงของ RDS ทารกที่มีคะแนนสูง (มากกว่า 16) เพิ่มความเสี่ยง 6 เท่า ในภาพรวม คะแนนที่ &gt;16 มีค่าความไว (sensitivity) ร้อยละ 80.8, ความจำเพาะ (specificity) ร้อยละ 87.2 และ AuROC 0.86, 95%CI (0.77-0.96)</p> <p><strong>สรุป</strong><strong>: </strong>การสร้างคะแนนที่ทำนาย INSURE ไม่สำเร็จ มีความสำคัญในการช่วยระบุความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการรักษาโรค RDS ในทารกเกิดก่อนกำหนดด้วยวิธี INSURE คะแนนทำนายช่วยให้ทีมแพทย์สามารถเลือกใช้วิธีการรักษาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับทารกแต่ละราย</p> อรุณี ประพฤติตรง Copyright (c) 2024 ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย และ สมาคมกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he04.tci-thaijo.org/index.php/TJP/article/view/755 Fri, 29 Mar 2024 00:00:00 +0700 ผลกระทบต่อทารกแรกเกิดที่คลอดจากมารดาติดโรคโควิด-19 ในโรงพยาบาลอุดรธานี https://he04.tci-thaijo.org/index.php/TJP/article/view/754 <p><strong>ความเป็นมา</strong><strong>: </strong>โรคโควิด-19 เป็นโรคระบาดใหญ่แพร่กระจายไปทั่วโลกเกิดจากการติดเชื้อ SARS-CoV-2 พบสตรีมีครรภ์ติดเชื้อ SARS-CoV-2 และคลอดทารกในขณะยังมีการติดเชื้อของมารดา ยังมีข้อมูลจำกัดเกี่ยวกับผลกระทบต่อตัวทารกและปัจจัยเสี่ยงของทารกที่ต้องใช้อุปกรณ์ช่วยการหายใจ</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>:</strong> เพื่อศึกษาผลกระทบต่อทารกแรกเกิดที่เกิดจากมารดาติดเชื้อ SARS-CoV-2 และเพื่อหาปัจจัยเสี่ยงของทารกที่ต้องใช้อุปกรณ์ช่วยการหายใจ </p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong><strong>:</strong> การศึกษาย้อนหลังรวบรวมข้อมูลจากเวชระเบียนทารกแรกเกิดที่คลอดจากมารดาที่ติดเชื้อ SARS-CoV-2 ทุกราย ที่โรงพยาบาลอุดรธานีตั้งแต่ 1 มกราคม พ.ศ. 2564 ถึงวันที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2565 เก็บข้อมูลพื้นฐานของทารกและมารดา อาการทางคลินิก การรับวัคซีน ผลตรวจทางห้องปฏิบัติการและผลการรักษา วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติ STATA (version 15)</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong><strong>: </strong>ทารกทั้งหมด 98 ราย (ทารกแฝด 1 คู่) จากมารดาติดเชื้อ SARS-CoV-2 97 ราย เป็นเพศชายร้อยละ 53.9 คลอด caesarean section ร้อยละ 68.4 คลอดก่อนกำหนดร้อยละ 22.5 ทารกน้ำหนักน้อยร้อยละ 20.4 หายใจเร็วหอบเหนื่อยร้อยละ 39.8 neonatal jaundice ร้อยละ 40.8 fetal distress ร้อยละ 22.5 early onset sepsis ร้อยละ 13.3 hypoglycemia ร้อยละ 5.1 anemia ร้อยละ 4.1 feeding intolerance ร้อยละ 4.1 early neonatal death ร้อยละ 1.0 และ late neonatal death ร้อยละ 1.0 ทารกทุกรายไม่พบสารพันธุกรรมเชื้อ SARS-CoV-2 ทารกกลุ่มที่มีอาการหอบเป็นทารกคลอดก่อนกำหนดร้อยละ 43.6 มีภาวะพร่องออกซิเจนเมื่อแรกคลอด (SpO<sub>2</sub> &lt;95) ร้อยละ 97.4 ได้รับอุปกรณ์ช่วยหายใจด้วย oxygen cannula ร้อยละ 51.3 ใส่ท่อช่วยหายใจร้อยละ 20.5 เครื่องอัดอากาศแรงดันบวก (NCPAP) ร้อยละ 15.4 ออกซิเจนแบบผสมอากาศแรงดันบวก (HHHFNC) ร้อยละ 12.8 สาเหตุของอาการหอบเหนื่อยได้แก่ TTNB ร้อยละ 38.5 early onset sepsis ร้อยละ 30.8 และ respiratory distress syndrome ร้อยละ 28.2 เป็นต้น ปัจจัยเสี่ยงของทารกที่ทำให้ต้องใช้อุปกรณ์ช่วยการหายใจคือทารกคลอดก่อนกำหนด (อายุครรภ์ 28-36<sup>+6</sup> สัปดาห์) โดยเพิ่มความเสี่ยง 6.6 เท่า (OR 6.6, 95% CI 2.1-20.5, p value 0.001)</p> <p><strong>สรุป</strong><strong>: </strong>ทารกแรกเกิดที่เกิดจากมารดาติดเชื้อ SARS-CoV-2 หลังคลอดมีอาการหายใจเร็วหอบเหนื่อยร้อยละ 39.8 โดยไม่พบทารกติดเชื้อตามมา ทารกที่คลอดก่อนกำหนดเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ต้องใช้อุปกรณ์ช่วยการหายใจเป็น 6.6 เท่า</p> กนกพรรณ รงค์นพรัตน์ Copyright (c) 2024 ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย และ สมาคมกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he04.tci-thaijo.org/index.php/TJP/article/view/754 Fri, 29 Mar 2024 00:00:00 +0700 ปัจจัยพยากรณ์การเกิดโรคปอดอักเสบรุนแรงจากโรคโควิด-19 ในเด็กโรงพยาบาลปัตตานี https://he04.tci-thaijo.org/index.php/TJP/article/view/797 <p><strong>ความเป็นมา</strong><strong>: </strong>ปอดอักเสบของโรคโควิด-19 ในเด็กพบได้น้อยกว่าเมื่อเทียบกับผู้ใหญ่ ส่วนใหญ่มักมีอาการไม่รุนแรงและมีพยากรณ์โรคดี ไม่มีอาการหายใจลำบาก แม้ว่าจะมีภาวะพร่องออกซิเจนที่ต่ำกว่า ร้อยละ 95 แต่มักให้การรักษาด้วยออกซิเจนเพียงอย่างเดียว อย่างไรก็ตามในผู้ป่วยบางรายมีโอกาสเกิดโรคปอดอักเสบรุนแรง ต้องใส่ท่อช่วยหายใจและมีโอกาสเสียชีวิต</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>: </strong>เพื่อศึกษาถึงลักษณะส่วนบุคคล ผลการตรวจเลือดทางห้องปฏิบัติการพื้นฐาน ที่อาจเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อโรคปอดอักเสบรุนแรงจากโรคโควิด-19 ในผู้ป่วยเด็ก</p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong><strong>: </strong>เป็นการศึกษาเชิง prognostic factor research รูปแบบ retrospective observational cohort design ที่กลุ่มงานกุมารเวชกรรม โรงพยาบาลปัตตานี ศึกษาในผู้ป่วยเด็ก COVID-19 pneumonia อายุน้อยกว่า 15 ปี ที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลปัตตานี ช่วงเวลา 1 ตุลาคม2564 ถึง 31 ธันวาคม 2565 ค้นหาข้อมูลลักษณะพื้นฐานผู้ป่วยเด็ก covid pneumonia และผลการตรวจเลือดทางห้องปฏิบัติการจากเวชระเบียนผู้ป่วยและโปรแกรม Hos-XP เปรียบเทียบ 1. กลุ่มที่ไม่ใช้ออกซิเจน 2. กลุ่มที่ใช้ O<sub>2</sub> cannula, O<sub>2</sub> mask หรือ O<sub>2</sub> high flow nasal cannula กับ 3. กลุ่มที่ใส่ท่อช่วยหายใจ หรือเสียชีวิตด้วย non-parametric trend test, Exact probability test นำเสนอและวิเคราะห์ลักษณะพยากรณ์ ด้วย ordinal odds ratio (OR) จาก multivariable ordinal regression analysis สำหรับข้อมูล 3 กลุ่ม</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong><strong>: </strong>ผู้ป่วยเด็กปอดอักเสบจากโรคโควิด-19 ทั้งหมด 162 ราย ใส่ท่อช่วยหายใจ 19 ราย เมื่อนำลักษณะที่เป็นปัจจัยพยากรณ์การเกิดความรุนแรงของโรคปอดอักเสบจากโรคโควิด-19 มาวิเคราะห์ร่วมกันด้วย multivariable ordinal regression มี 4 ลักษณะที่ยังคงมีนัยสำคัญทางสถิติได้แก่ 1. อายุน้อยกว่า 1 ปี (OR 6.32) 2. น้ำหนักน้อย (OR 3.83) หรืออ้วน (OR 9.67) 3.ไข้สูง&gt; 38.5 c (OR 7.85) และ 4.ภาวะซีด (OR 7.28)</p> <p><strong>สรุป</strong><strong>: </strong>ผู้ป่วยเด็กปอดอักเสบจากโรคโควิด-19 ที่มีลักษณะเสี่ยงต่อการเกิดปอดอักเสบในระดับที่รุนแรงเพิ่มขึ้น ควรพิจารณารับไว้รักษาตัวในโรงพยาบาล รวมถึงรักษาหรือแก้ไขภาวะซีด เพื่อลดการใส่ท่อช่วยหายใจและเสียชีวต</p> รชยา พิทักษ์กรณ์ Copyright (c) 2024 ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย และ สมาคมกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he04.tci-thaijo.org/index.php/TJP/article/view/797 Fri, 29 Mar 2024 00:00:00 +0700 ปัจจัยพยากรณ์การเสียชีวิตในผู้ป่วยเด็กที่มีภาวะช็อกจากการติดเชื้อที่โรงพยาบาลปัตตานี https://he04.tci-thaijo.org/index.php/TJP/article/view/750 <p><strong>ความเป็นมา</strong><strong>: </strong>ภาวะช็อกจากการติดเชื้อเป็นสาเหตุการตายในเด็กทั่วโลก แม้จะมีแนวทางการวินิจฉัยและการรักษา แต่อัตราการเสียชีวิตจากภาวะดังกล่าวยังสูง</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>:</strong> เพื่อศึกษาปัจจัยพยากรณ์การเสียชีวิตในผู้ป่วยเด็กที่มีภาวะช็อกจากการติดเชื้อ</p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong>: เป็นการศึกษาเชิง prognostic factor research รูปแบบ retrospective observational cohort design ที่หอผู้ป่วยวิกฤตเด็ก โรงพยาบาลปัตตานี ศึกษาในผู้ป่วยเด็กที่มีภาวะช็อกจากการติดเชื้ออายุมากกว่า 1 เดือน ถึง 15 ปี ตั้งแต่ 1 มกราคม พ.ศ. 2560 ถึง 31 ธันวาคม พ.ศ. 2564 เปรียบเทียบกลุ่มที่เสียชีวิตและรอดชีวิตด้วย t-test, Fisher exact probability test และวิเคราะห์ลักษณะพยากรณ์ ด้วย risk ratio จาก multivariable logistic regression analysis</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong><strong>: </strong>ผู้ป่วยเด็กที่มีภาวะช็อกจากการติดเชื้อทั้งหมด 84 ราย เสียชีวิตระหว่างนอนโรงพยาบาล 51 ราย เมื่อนำลักษณะที่เป็นปัจจัยพยากรณ์การเสียชีวิตในผู้ป่วยเด็ก 10 ปัจจัยจาก univariable analysis มาวิเคราะห์ร่วมกัน ลักษณะที่ยังคงมีนัยสำคัญทางสถิติ ได้แก่ 1. การดำเนินโรคของการติดเชื้อไปเป็นการติดเชื้อและมีภาวะช็อกภายใน 7 วัน (risk ratio [RR] 5.5995% CI 2.07-15.09) 2. มีภาวะเลือดเป็นกรด (RR 1.65, 95% CI 1.13-2.42)</p> <p><strong>สรุป</strong><strong>: </strong>ผู้ป่วยเด็กที่มีภาวะติดเชื้อต้องเฝ้าระวังการดำเนินโรค โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน 7 วันแรกและในเด็กที่มีภาวะเลือดเป็นกรด</p> นันธิดา โลหะวิจารณ์ Copyright (c) 2024 ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย และ สมาคมกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he04.tci-thaijo.org/index.php/TJP/article/view/750 Fri, 29 Mar 2024 00:00:00 +0700 ปัจจัยเสี่ยงของการเกิดภาวะอุดกั้นทางเดินหายใจส่วนบนหลังถอดท่อช่วยหายใจ ผู้ป่วยเด็กที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา https://he04.tci-thaijo.org/index.php/TJP/article/view/756 <p><strong>ความเป็นมา</strong><strong>:</strong> ภาวะอุดกั้นทางเดินหายใจส่วนบนหลังถอดท่อช่วยหายใจ เป็นภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นทันทีหลังถอดท่อช่วยหายใจ เป็นสาเหตุที่ทำให้การถอดท่อช่วยหายใจล้มเหลว นำไปสู่การใส่ท่อช่วยหายใจซ้ำ เพิ่มโอกาสการเกิดปอดติดเชื้อ ทำให้มีระยะเวลานอนโรงพยาบาล และอัตราตายที่มากขึ้น แต่ในประเทศไทยยังมีการศึกษาเรื่องปัจจัยเสี่ยงที่สัมพันธ์กับการเกิดภาวะอุดกั้นทางเดินหายใจส่วนบนหลังถอดท่อช่วยหายใจในเด็กน้อย<strong> </strong></p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>:</strong> ศึกษาปัจจัยเสี่ยงที่สัมพันธ์กับการเกิดภาวะอุดกั้นทางเดินหายใจส่วนบนหลังถอดท่อช่วยหายใจในผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาในหอผู้ป่วยวิกฤตเด็ก โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา</p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong><strong>:</strong> เป็นรูปแบบการศึกษาแบบไปข้างหน้า โดยผู้ป่วยอายุตั้งแต่ 29 วัน ถึง 15 ปี ที่เข้ารับการรักษาที่หอผู้ป่วยวิกฤตเด็ก โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ถึง 30 พฤศจิกายน 2563 และใส่ท่อช่วยหายใจอย่างน้อย 12 ชั่วโมง พร้อมทั้งได้รับการถอดท่อช่วยหายใจในหอผู้ป่วยวิกฤตเด็ก โดยเก็บข้อมูล เช่น ชนิดของท่อช่วยหายใจ ยาสลบที่ใช้ระหว่างการใส่ท่อช่วยหายใจ ระยะเวลาการใส่ท่อช่วยหายใจ จนกระทั่งถอดท่อช่วยหายใจและติตตามการเกิดภาวะอุดกั้นทางเดินหายใจส่วนบนหลังถอดท่อช่วยหายใจจนกว่าผู้ป่วยจะกลับบ้านหรือเสียชีวิต และนำข้อมูลมาวิเคราะห์ด้วย multiple logistic regression</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong><strong>: </strong>มีผู้ป่วยเข้ารับการรักษาในหอผู้ป่วยวิกฤตเด็กจำนวน 386 ราย เข้าเกณฑ์การศึกษา 251 ราย คัดผู้ป่วยตามเกณฑ์การคัดออก เหลือผู้ป่วยเข้าการศึกษาทั้งหมด 134 ราย โดยเป็นเพศชาย 82 ราย (ร้อยละ 61.2) อายุมัธยฐาน 1 ปี 9 เดือน มีโรคประจำตัว 62 ราย (ร้อยละ 46.3) ข้อบ่งชี้ที่เข้ารับการรักษาในหอผู้ป่วยวิกฤตเด็ก ได้แก่ ข้อบ่งชี้ทางคลินิก 104 ราย (ร้อยละ 77.6) และข้อบ่งชี้ทางการผ่าตัด 30 ราย (ร้อยละ 22.4) พบอัตราการเกิดภาวะอุดกั้นทางเดินหายใจส่วนบนหลังถอดท่อช่วยหายใจร้อยละ 37.3 โดยปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการเกิดภาวะอุดกั้นทางเดินหายใจส่วนบนหลังถอดท่อช่วยหายใจ ได้แก่ อายุของผู้ป่วยที่มากขึ้น มีโอกาสเกิดภาวะอุดกั้นทางเดินหายใจส่วนบนหลังถอดท่อช่วยหายใจลดลง (OR 0.81, 95%CI 0.68-0.95, p value 0.01) และขนาดของท่อช่วยหายใจ โดยกลุ่มที่ใส่ท่อช่วยหายใจขนาดเล็ก และขนาดใหญ่กว่าที่ควรจะเป็น มีโอกาสเกิดภาวะอุดกั้นทางเดินหายใจส่วนบนหลังถอดท่อช่วยหายใจมากกว่ากลุ่มที่ใส่ท่อช่วยหายใจขนาดเหมาะสม เป็น 7.6 เท่า (OR 7.6, 95%CI 2.23-25.59, p value &lt;0.01) และ 10.4 เท่า (OR 10.4, 95%CI 2.4-44.81, p-value &lt;0.01) ตามลำดับ</p> <p><strong>สรุป</strong><strong>: </strong>ผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาในหอผู้ป่วยวิกฤตเด็ก โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา มีอัตราการเกิดภาวะอุดกั้นทางเดินหายในส่วนบนหลังถอดท่อช่วยหายใจร้อยละ 37.3 ปัจจัยที่มีผลต่อการเกิดภาวะอุดกั้นทางเดินหายใจส่วนบนหลังถอดท่อช่วยหายใจได้แก่ อายุน้อย และขนาดของท่อช่วยหายใจที่ไม่เหมาะสมกับอายุ</p> ณัฐธิดา ภานิชาภัทร, ปวีณา วิจักษณ์ประเสริฐ Copyright (c) 2024 ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย และ สมาคมกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he04.tci-thaijo.org/index.php/TJP/article/view/756 Fri, 29 Mar 2024 00:00:00 +0700 ผลลัพธ์ของการรักษาแบบป้องกันด้วยแฟคเตอร์แปดเข้มข้นในผู้ป่วยโรคฮีโมฟีเลียเอ ในโรงพยาบาลลำปาง https://he04.tci-thaijo.org/index.php/TJP/article/view/762 <p><strong>ความเป็นมา</strong><strong>: </strong>ฮีโมฟีเลีย เป็นโรคเลือดออกง่ายหยุดยากแต่กำเนิด ผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นโรคฮีโมฟีเลียเอที่เกิดจากการขาดปัจจัยการแข็งตัวของเลือดหรือแฟคเตอร์แปด การเกิดเลือดออกส่งผลกระทบต่อผู้ป่วยทั้งทางร่างกายและคุณภาพชีวิต หลักสำคัญของการรักษาเป็นการป้องกันและหยุดอาการเลือดออกโดยการให้แฟคเตอร์ทดแทน ซึ่งแบ่งเป็นแบบตามอาการและแบบป้องกัน ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2557 โรงพยาบาลลำปางได้เริ่มจัดสรรแฟคเตอร์แปดเข้มข้นเป็นการรักษาแบบป้องกันให้แก่ผู้ป่วยโรคฮีโมฟีเลียชนิดรุนแรงระดับปานกลางและรุนแรงมาก</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>: </strong>วัตถุประสงค์หลัก เพื่อศึกษาผลลัพธ์ทางการแพทย์ในผู้ป่วยโรคฮีโมฟีเลียเอ ก่อนและหลังได้รับการรักษาด้วยแฟคเตอร์แปดแบบป้องกันในโรงพยาบาลลำปาง วัตถุประสงค์รอง เพื่อศึกษาคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยโรคฮีโมฟีเลียเอ หลังได้รับการรักษาด้วยแฟคเตอร์แปดแบบป้องกัน</p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong><strong>: </strong>การศึกษาเป็นแบบ retrospective historical cohort study และ cross-sectional study รวบรวมข้อมูลจากเวชระเบียนของโรงพยาบาลลำปาง ในผู้ป่วยโรคฮีโมฟีเลียเอทุกรายในโรงพยาบาลลำปางที่ได้รับการรักษาแบบป้องกันด้วยแฟคเตอร์แปดเข้มข้นตั้งแต่ 1 มกราคม พ.ศ. 2557 ถึง 31 ธันวาคม พ.ศ. 2562 โดยวิเคราะห์เปรียบเทียบผลลัพธ์ของการรักษาก่อนและหลังการรักษาแบบป้องกัน</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong><strong>: </strong>มีผู้ป่วยที่เข้าเกณฑ์การวิจัยจำนวน 18 ราย เป็นเพศชายร้อยละ 100 เป็นโรคฮีโมฟีเลียเอชนิดรุนแรงมาก 13 ราย (ร้อยละ 72) และชนิดรุนแรงปานกลาง 5 ราย (ร้อยละ 28) ค่ามัธยฐานของอายุที่วินิจฉัยโรคฮีโมฟีเลียเอคือ 20 เดือน ค่ามัธยฐานของอายุ ณ ช่วงที่เก็บข้อมูลวิจัยคือ 17 ปี ผลลัพธ์ทางการแพทย์ที่มีข้อมูลเปรียบเทียบก่อนและหลังการรักษาแบบป้องกัน ได้แก่ จำนวนแฟคเตอร์แปดเข้มข้นที่ใช้ พบว่าจำนวนแฟคเตอร์ที่ใช้ทั้งหมดและที่ใช้ในผู้ป่วยนอก หลังให้การรักษาแบบป้องกันมีปริมาณมากกว่าอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p value &lt;0.001) ระยะเวลาที่นอนโรงพยาบาลด้วยเรื่องเลือดออก หลังให้การรักษาแบบป้องกันมีระยะเวลาน้อยกว่าอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p value 0.007) อัตราการนอนโรงพยาบาลด้วยเรื่องเลือดออกต่อปี และจำนวนครั้งต่อปีที่มีเลือดออกไม่มีความแตกต่างกัน ด้านภาวะแทรกซ้อนก่อนและหลังให้การรักษาแบบป้องกัน พบผู้ติดเชื้อไวรัสเอชไอวีร้อยละ 5.6 ไวรัสตับอักเสบบีร้อยละ 11.1 และไวรัสตับอักเสบซีร้อยละ 16.7 ส่วนการตรวจพบสารต้านปัจจัยการแข็งตัวของเลือด การเกิดความผิดปกติของข้อเข่าและข้อเท้า และผลลัพธ์ทางด้านคุณภาพชีวิต มีเพียงข้อมูลช่วงหลังให้การรักษาแบบป้องกัน คือ ตรวจพบสารต้านปัจจัยการแข็งตัวของเลือดร้อยละ 17.7 แบ่งเป็น ระดับต่ำร้อยละ 33.3 และระดับสูงร้อยละ 66.7 การเกิดความผิดปกติของข้อ จากการประเมินภาพถ่ายทางรังสี โดยใช้ Arnold-Hilgartner classification ระยะที่พบมากที่สุดทั้งข้อเข่าและข้อเท้า คือ ระยะที่ 0 (ข้อปกติ) จากการประเมินคะแนนสุขภาพข้อ โดยใช้แบบให้คะแนนสุขภาพข้อของผู้ป่วยโรคฮีโมฟีเลีย เวอร์ชัน 2.1 พบค่ามัธยฐานและค่าพิสัยระหว่างควอไทล์ที่ 1 และ 3 ที่ 15 (5, 29) คะแนน จากคะแนนรวมสูงสุดที่เป็นไปได้ 124 คะแนน คะแนนคุณภาพชีวิตจากแบบประเมิน EQ-5D-5L ฉบับภาษาไทย พบคะแนนอรรถประโยชน์เฉลี่ย 0.8 คะแนน (ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.2) คะแนนสภาวะสุขภาพทางตรงเฉลี่ย 79 คะแนน (ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 18.6) จากแบบประเมิน SF-36 ฉบับภาษาไทย พบว่า คะแนนคุณภาพชีวิตสูงที่สุดคือด้านสุขภาพจิตทั่วไปเฉลี่ย 79 คะแนน (ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 15.5) และคะแนนคุณภาพชีวิตน้อยที่สุดคือด้านการทำหน้าที่ทางกายเฉลี่ย 65 คะแนน (ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 24.5)</p> <p><strong>สรุป</strong><strong>: </strong>ผลลัพธ์ทางด้านการแพทย์ ระยะเวลาที่นอนโรงพยาบาลด้วยเรื่องเลือดออก หลังให้การรักษาแบบป้องกันมีระยะเวลาน้อยกว่าก่อนให้การรักษาแบบป้องกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ผลลัพธ์ทางด้านคุณภาพชีวิต จากแบบประเมิน EQ-5D-5L ฉบับภาษาไทย คะแนนคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยอยู่ในเกณฑ์ดี จากแบบประเมิน SF-36 ฉบับภาษาไทย คะแนนคุณภาพชีวิตน้อยที่สุดคือด้านการทำหน้าที่ทางกาย คะแนนคุณภาพชีวิตมากที่สุดคือด้านสุขภาพจิตทั่วไป</p> ณัฐวดี คำโสภา, ศิราณี วงศ์เรืองศรี Copyright (c) 2024 ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย และ สมาคมกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he04.tci-thaijo.org/index.php/TJP/article/view/762 Fri, 29 Mar 2024 00:00:00 +0700 การศึกษาเรื่องการเจริญเติบโตในผู้ป่วยโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียชนิดพึ่งพาเลือด https://he04.tci-thaijo.org/index.php/TJP/article/view/791 <p><strong>ความเป็นมา</strong><strong>: </strong>ผู้ป่วยโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียชนิดพึ่งพาเลือดแม้จะได้รับการรักษาด้วยการให้เลือดอย่างสม่ำเสมอและได้รับยาขับธาตุเหล็กในผู้ป่วยที่มีภาวะเหล็กเกินแล้วแต่ผู้ป่วยบางรายก็ยังพบว่ามีการเจริญเติบโตที่ผิดปกติ</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>: </strong>เพื่อศึกษาเรื่องการเจริญเติบโตในผู้ป่วยโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียชนิดพึ่งพาเลือด</p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong><strong>: </strong>การศึกษาย้อนหลังเชิงพรรณนาของผู้ป่วยโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียชนิดพึ่งพาเลือดที่มารับการรักษาที่โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ เกณฑ์การคัดเลือกอาสาสมัครเข้าคือ ผู้ป่วยอายุ 6 ปี ถึง 18 ปี ได้รับการวินิจฉัยเป็นผู้ป่วยโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียชนิดพึ่งพาเลือด เกณฑ์การคัดเลือกอาสาสมัครออกคือ ผู้ป่วยที่มีความเจ็บป่วยที่อาจส่งผลต่อการเจริญเติบโตในระยะยาวโดยไม่ได้มีความสัมพันธ์กับโรคโลหิตจางธาลัสซีเมีย เช่น ผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง/ไตวาย, เป็นโรคระบบกล้ามเนื้อและกระดูกแบบปฐมภูมิหรือรับประทานยาที่มีผลต่อการเจริญเติบโตในระยะยาว</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong><strong>: </strong>ผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยที่อายุมากกว่าเท่ากับ 2 ปี จะมีโอกาสเสี่ยงที่จะมีการเจริญเติบโตผิดปกติคือส่วนสูงน้อยกว่าเกณฑ์ที่ควรเพิ่มต่อปีมากกว่ากลุ่มที่ได้รับการวินิจฉัยที่อายุน้อยกว่า 2 ปี โดยไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ (p value 0.81) เช่นเดียวกันกับกลุ่มที่มีฮีมาโตคริตหรือค่าความเข้มข้นเลือดน้อยกว่าร้อยละ 27 ก่อนให้เลือด (p value 0.38) และกลุ่มที่มีภาวะเหล็กเกิน (p value 0.42) ในทางกลับกัน กลุ่มที่ระยะห่างของการเติมเลือดมากกว่าเท่ากับ 5 สัปดาห์จะมีโอกาสเสี่ยงที่จะมีการเจริญเติบโตผิดปกติน้อยกว่ากลุ่มที่ระยะห่างของการให้เลือดน้อยกว่า 5 สัปดาห์โดยไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ (p value 0.34)</p> <p><strong>สรุป</strong><strong>: </strong>ผู้ป่วยโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียชนิดพึ่งพาเลือดที่ได้รับการวินิจฉัยที่อายุมากกว่าเท่ากับ 2 ปี ค่าความเข้มข้นเลือดน้อยกว่าร้อยละ 27 ก่อนให้เลือด และกลุ่มที่มีภาวะเหล็กเกินมีโอกาสเจริญเติบโตผิดปกติมากกว่า แต่กลุ่มที่ระยะห่างของการให้เลือดมากกว่าเท่ากับ 5 สัปดาห์จะมีโอกาสเสี่ยงที่จะมีการเจริญเติบโตผิดปกติน้อยกว่าโดยไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ</p> ธารธรรม โชคแสน, คริน วนธารกุล, ศรัญญา สุวรรณสิงห์ Copyright (c) 2024 ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย และ สมาคมกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he04.tci-thaijo.org/index.php/TJP/article/view/791 Fri, 29 Mar 2024 00:00:00 +0700 คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยเด็กที่มีภาวะแพ้อาหารในโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ https://he04.tci-thaijo.org/index.php/TJP/article/view/765 <p><strong>ความเป็นมา:</strong> ภาวะแพ้อาหารกำลังเป็นปัญหาด้านสุขภาพทั่วโลก และส่งผลกระทบอย่างมากต่อทั้งผู้ป่วยเด็กและครอบครัว ทั้งต่อร่างกายและอารมณ์</p> <p><strong>วัตถุประสงค์:</strong> เพื่อศึกษาคุณภาพชีวิต (QoL) ของผู้ป่วยเด็กที่มีภาวะแพ้อาหาร และศึกษาปัจจัยเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการมีคุณภาพชีวิตที่แย่กว่าในกลุ่มเด็กที่มีภาวะแพ้อาหารของจังหวัดเชียงราย</p> <p><strong>วิธีการศึกษา:</strong> เป็นการวิจัยแบบตัดขวาง โดยเก็บข้อมูลในผู้ป่วยเด็กอายุ 0-12 ปีที่มีภาวะแพ้อาหาร ที่มาเข้ารับการรักษาที่หอผู้ป่วยนอกแผนกกุมารเวชกรรม คลินิกโรคภูมิแพ้เด็ก โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ที่เข้าเกณฑ์การคัดเลือกเข้าร่วมงานวิจัย โดยสัมภาษณ์ผ่านแบบสอบถามคุณภาพชีวิตภาวะแพ้อาหาร - แบบฟอร์มผู้ปกครอง ฉบับภาษาไทย (the Food Allergy Quality of Life Questionnaire-Parent Form : FAQLQ-PF) แบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ ผลกระทบทางอารมณ์ (EI) ความวิตกกังวลด้านอาหาร (FA) และข้อจำกัดทางสังคมและอาหาร (SDL) อายุของผู้เข้าร่วมแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มคือ 0-3 ปี, 4-6 ปี และ 7-12 ปี เปรียบเทียบคะแนนโดยใช้โปรแกรม Stata เวอร์ชัน 14.2</p> <p><strong>ผลการศึกษา:</strong> จากการศึกษานี้พบว่ามีผู้เข้าร่วมการศึกษาวิจัย โดยการตอบแบบสอบถามจำนวน 75 คน โดยมีอายุเฉลี่ย 3.6 ± 0.3 ปี คะแนน FAQLQ-PF เฉลี่ยอยู่ที่ 1.92 ± 1.23 ซึ่งแสดงว่าการมีภาวะแพ้อาหารส่งผลกระทบน้อยมากต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยเด็กที่มีภาวะแพ้อาหารในจังหวัดเชียงราย อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตที่แย่ลงนั้น ได้แก่ ผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยว่ามีภาวะแพ้อาหารในช่วงอายุ 7-12 ปี, ความถี่ของการเกิดอาการแพ้, การแพ้อาหารหลายชนิด และการมีโรคประจำตัวอื่นร่วมด้วย ในการศึกษานี้ พบว่าอาหารที่เด็กแพ้มากที่สุด ได้แก่ ไข่ขาว และประเภทของอาหารที่แพ้ไม่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยเด็กในทุกด้าน</p> <p><strong>สรุป:</strong> คุณภาพชีวิตของเด็กที่แพ้อาหารในจังหวัดเชียงรายค่อนข้างดี โดยเด็กโตที่มีภาวะแพ้อาหารมีผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตมากกว่าเด็กเล็กในทุกด้าน</p> ธีรยา ไพศาลสุขวิทยา, สุชฎาวีร์ ไทยใหม่, นันทนา ศิริพิพัฒนมงคล Copyright (c) 2024 ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย และ สมาคมกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he04.tci-thaijo.org/index.php/TJP/article/view/765 Fri, 29 Mar 2024 00:00:00 +0700 ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการในภาวะชักจากไข้ และปัจจัยเสี่ยงของการชักซ้ำใน 24 ชั่วโมง ในโรงพยาบาลอุตรดิตถ์ https://he04.tci-thaijo.org/index.php/TJP/article/view/784 <p><strong>ความเป็นมา</strong><strong>:</strong> ภาวะชักจากไข้ คือ ภาวะที่มีอาการชักร่วมกับมีไข้ตั้งแต่ 38 องศาเซลเซียส (°C ) ขึ้นไป พบได้ร้อยละ 2 ถึง 5 ในเด็กอายุตั้งแต่ 6 เดือน ถึง 5 ปี ต้องไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อทางระบบประสาท หรือสาเหตุอื่นๆที่ทำให้เกิดอาการชัก การศึกษาผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการในผู้ป่วยชักจากไข้จะช่วยลดการส่งตรวจที่ไม่จำเป็นลง และการศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการเกิดชักจากไข้ซ้ำใน 24 ชั่วโมง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของชักจากไข้แบบซับซ้อน</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>:</strong> เพื่อศึกษาผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการในผู้ป่วยชักจากไข้ และศึกษาหาปัจจัยที่มีผลต่อการเกิดชักซ้ำใน 24 ชั่วโมง</p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong><strong>:</strong> ศึกษาข้อมูลย้อนหลัง ผู้ป่วยอายุ 6 เดือน ถึง 5 ปี ที่ได้รับการวินิจฉัยภาวะชักจากไข้ และรักษาในโรงพยาบาลอุตรดิตถ์ ระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2561 ถึง 31 ธันวาคม 2564 เก็บข้อมูลทางคลินิกและข้อมูลทางห้องปฏิบัติการและวิเคราะห์โดยใช้โปรแกรม SPSS</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong><strong>: </strong>ผู้ป่วยชักจากไข้ 272 ราย อายุเฉลี่ย 21.5 เดือน เพศชาย ร้อยละ 60 อุณภูมิกายเฉลี่ย 39 °C จากผลตรวจทางห้องปฏิบัติการพบภาวะโลหิตจาง ร้อยละ 26.5 เลือดเป็นกรด ร้อยละ 83 โซเดียมต่ำ ร้อยละ 43.5 แมกนีเซียมสูง ร้อยละ 2.8 โพแทสเซียมต่ำ ร้อยละ 0.8 ขณะที่ภาวะโซเดียมสูง แคลเซียมต่ำ แคลเซียมสูง และฟอสฟอรัสสูง พบชนิดละ 1 ราย นอกจากภาวะโพแทสเซียมต่ำแล้ว ภาวะอื่น ๆ ไม่ได้รับการรักษาหรือหาสาเหตุ พบน้ำตาลสูงชั่วคราว ร้อยละ 18 ระดับน้ำตาลสามารถลดลงได้เอง ไม่พบน้ำตาลในเลือดต่ำและครีเอทินีนสูง ตรวจปัสสาวะพบ เม็ดเลือดขาวสูง ร้อยละ 5 ตรวจพบเชื้อในปัสสาวะ ร้อยละ 18 <strong> </strong>มีชักซ้ำใน 24 ชั่วโมง ร้อยละ 17.6 ระหว่าง 2 ถึง 4 ครั้ง พบกลุ่มไข้สูงกว่า 39 °C และระดับโซเดียมมากกว่า 135 mEq/L มีโอกาสเกิดชักซ้ำใน 24 ชั่วโมง เป็น 2 เท่า และ 2.6 เท่า ตามลำดับ (OR 2.044, p value 0.045 และ OR 2.624, p value=0.011 ตามลำดับ) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิต</p> <p><strong style="font-size: 0.875rem;">สรุป</strong><strong style="font-size: 0.875rem;">:</strong><span style="font-size: 0.875rem;"> ไม่แนะนำให้ตรวจค่าเกลือแร่ แคลเซียม แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส ระดับน้ำตาล การทำงานของไต การทำงานของตับในผู้ป่วยทุกรายที่มาด้วยชักจากไข้เพื่อหาสาเหตุของการชัก แต่สามารถพิจารณาส่งตรวจได้หากสงสัยภาวะเกลือแร่ผิดปกติที่ต้องได้รับการแก้ไข แนะนำให้เจาะค่าความสมบูรณ์ของเลือด ตรวจปัสสาวะ น้ำไขสันหลังหากมีข้อบ่งชี้ หรือการตรวจอื่น เพื่อหาสาเหตุไข้ตามความเหมาะสม ปัจจัยเสี่ยงของการชักซ้ำใน 24 ชั่วโมง คือ ไข้สูงกว่า 39 °C และระดับโซเดียมในเลือดมากกว่า 135 mEq/L</span></p> ภานุรัตน์ เชื้อเย็น Copyright (c) 2024 ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย และ สมาคมกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he04.tci-thaijo.org/index.php/TJP/article/view/784 Fri, 29 Mar 2024 00:00:00 +0700 ไวรัสเดงกี่ จีโนม และระบาดวิทยาเบื้องต้น https://he04.tci-thaijo.org/index.php/TJP/article/view/961 วีระชัย วัฒนวีรเดช Copyright (c) 2024 ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย และ สมาคมกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he04.tci-thaijo.org/index.php/TJP/article/view/961 Fri, 29 Mar 2024 00:00:00 +0700 โรคติดเชื้อไซโตเมกาโลไวรัสแต่กำเนิดที่มีภาวะท้องมานรุนแรง: รายงานผู้ป่วย 1 ราย https://he04.tci-thaijo.org/index.php/TJP/article/view/759 <p><strong> </strong>รายงานผู้ป่วยทารกแรกเกิด ที่มีการติดเชื้อ cytomegalovirus (CMV) แต่กำเนิดโดยทารกมีอาการท้องโต จุดจ้ำเลือดตามตัว ตรวจร่างกายพบจุดเลือดออก และภาวะท้องมานอย่างมาก ตรวจทางห้องปฏิบัติการพบเกร็ดเลือดต่ำ และพบเชื้อ CMV ในปัสสาวะ ทารกได้รับการรักษาจนหายดีเป็นปกติ</p> <p> </p> <p> </p> วัลภา อุดชาชน Copyright (c) 2024 ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย และ สมาคมกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he04.tci-thaijo.org/index.php/TJP/article/view/759 Fri, 29 Mar 2024 00:00:00 +0700 รายงานและทบทวนวรรณกรรมผู้ป่วยที่มาด้วยอาการปวดท้องเรื้อรังและท้องร่วงเรื้อรังเป็นอาการแรกของโรคเอสแอลอีในเด็ก https://he04.tci-thaijo.org/index.php/TJP/article/view/751 <p><strong>ความเป็นมา</strong><strong>:</strong> อาการทางคลินิกของโรคแอสเอลอีมีได้หลายระบบหลายรูปแบบ จึงมักทำให้วินิจฉัยได้ล่าช้า อาการนำด้วยระบบทางเดินอาหารเพียงอย่างเดียวพบได้น้อยมากในแอสเอลอีอาการปวดท้องเรื้อรังและท้องร่วงเรื้อรังเป็นอาการแรกของโรคแอสเอลอี พบน้อยมาก</p> <p><strong>รายงานผู้ป่วย</strong><strong>:</strong> เด็กหญิงอายุ 10 ปี มาด้วยอาการปวดท้องเรื้อรัง อุจจาระร่วงเรื้อรัง และภาวะขาดสารอาหารรุนแรงโดยไม่พบอาการและอาการแสดงของระบบอื่น ภายหลังที่ผู้ป่วยรายนี้ได้รับการวินิจฉัยโรคจากเกณฑ์วินิจฉัยโรคเอสแอลอี EULAR/ACR ผู้ป่วยได้รับการรักษาด้วยสเตียรอยด์ และโภชนบำบัด พบว่ามีการตอบสนองต่อการรักษาที่ดี น้ำหนักเพิ่มขึ้นจนกลับมาเป็นปกติ รวมทั้งไม่มีอาการปวดท้องเรื้อรังและอุจจาระร่วงเรื้อรังอีกตลอด 12 เดือนที่ติดตามอาการ</p> <p><strong>สรุป</strong><strong>:</strong> กุมารแพทย์ควรตระหนักถึงโรคเอสแอลอีในเด็กที่มีอาการทางระบบทางเดินอาหารอย่างเดียวเป็นอาการนำ</p> ยศ วีระวัฒนตระกูล, ภิเษก ยิ้มแย้ม, อำนวยพร อภิรักษากร, มนสิตา ตันยะ Copyright (c) 2024 ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย และ สมาคมกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he04.tci-thaijo.org/index.php/TJP/article/view/751 Fri, 29 Mar 2024 00:00:00 +0700