https://he04.tci-thaijo.org/index.php/hciyasohos/issue/feed
ยโสธรเวชสาร
2025-02-28T08:59:27+07:00
นพ.บพิตร สัสสี
academicyhos@gmail.com
Open Journal Systems
<p style="margin: 0cm;"><strong>ยโสธรเวชสาร </strong>เป็นวารสารวิชาการจัดทำขึ้นเพื่อเผยแพร่ผลงานทางวิชาการ และเป็นเวทีเสนอผลงานทางวิชาการและงานวิจัยแก่ผู้ที่อยู่ในวงการสาธารณสุข มีความยินดีรับลงพิมพ์บทความวิชาการ ตลอดจนบทความด้านอื่นๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนางานด้านการแพทย์ พยาบาล วิทยาศาสตร์สุขภาพ และสาธารณสุขทั้งในและนอกองค์กร รวมทั้งผู้สนใจสืบค้นข้อมูล</p> <p style="margin: 0cm;"> </p> <p style="margin: 0cm;"><strong>วัตถุประสงค์</strong></p> <p>เพื่อเผยแพร่และฟื้นฟูผลงานทางวิชาการและงานวิจัยทางการแพทย์และสาธารณสุข</p>
https://he04.tci-thaijo.org/index.php/hciyasohos/article/view/2916
ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อการเกิดภาวะหายใจล้มเหลวกำเริบรุนแรงเฉียบพลันในผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง โรงพยาบาลยโสธร
2025-02-27T14:36:53+07:00
ทัศพงษ์ บุญล้น
littlekung_l2@hotmail.com
<p><strong>หลักการและเหตุผล:</strong> โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD) เป็นปัญหาสำคัญทางสาธารณสุขทั่วโลกและเป็นสาเหตุการตายที่สำคัญ โดยเฉพาะในประเทศไทยที่มีผู้ป่วยจำนวนมาก การเกิดภาวะหายใจล้มเหลวกำเริบรุนแรงเฉียบพลันในผู้ป่วย COPD เป็นภาวะที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินโรคอย่างรุนแรง ต้องได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีเพื่อลดอัตราการตายและภาวะแทรกซ้อน</p> <p><strong>วัตถุประสงค์: </strong>เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อการเกิดภาวะหายใจล้มเหลวกำเริบรุนแรงเฉียบพลันในผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง โรงพยาบาลยโสธร</p> <p><strong>วิธีการวิจัย: </strong>การวิจัยนี้เป็นการศึกษาย้อนหลัง (Retrospective Chart Review) โดยทบทวนเวชระเบียนของผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังและมีภาวะการหายใจล้มเหลวกำเริบรุนแรงเฉียบพลัน รวมทั้งผู้ป่วยที่ไม่มีภาวะการหายใจล้มเหลวกำเริบรุนแรงเฉียบพลันที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลยโสธรระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2565 ถึง 30 กันยายน พ.ศ. 2566 โดยศึกษาปัจจัยที่เกี่ยวข้อง เช่น ข้อมูลพื้นฐานของผู้ป่วย สัญญาณชีพ การตรวจทางห้องปฏิบัติการและประวัติการรักษา วิเคราะห์ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์เสี่ยงต่อการเกิดภาวะหายใจล้มเหลวกำเริบรุนแรงเฉียบพลันโดยใช้สถิติ Logistic Regression</p> <p><strong>ผลการวิจัย:</strong> เวชระเบียนผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังทั้งหมด 348 ฉบับ ถูกแบ่งออกเป็นกลุ่มที่มีภาวะการหายใจล้มเหลวกำเริบรุนแรงเฉียบพลัน 61 ฉบับ และกลุ่มที่ไม่มีภาวะการหายใจล้มเหลวกำเริบรุนแรงเฉียบพลัน 287 ฉบับ ผลการวิเคราะห์พบว่าปัจจัยที่สัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญต่อการเกิดภาวะการหายใจล้มเหลวกำเริบรุนแรงเฉียบพลัน ได้แก่ การติดเชื้อระบบทางเดินหายใจ (OR 4.51; 95% CI: 1.76-11.56; p-value = 0.002), ภาวะพิษเหตุติดเชื้อ (Sepsis) (OR 4.09; 95% CI: 1.79-9.32; p-value = 0.001), ประวัติการใส่ท่อช่วยหายใจในรอบ 1 ปี (OR 3.70; 95% CI: 1.41-9.72; p-value < 0.001), อัตราการหายใจมากกว่า 30 ครั้งต่อนาที (OR 2.80; 95% CI: 1.70-4.64; p-value < 0.001), ชีพจรมากกว่า 125 ครั้งต่อนาที (OR 3.31; 95% CI: 1.73-7.02; p-value < 0.001) และระดับออกซิเจนในเลือดต่ำกว่า 90% (OR 5.75; 95% CI: 3.02-10.95; p-value < 0.001)</p> <p><strong>สรุป:</strong> ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์อย่างชัดเจนกับการเกิดภาวะหายใจล้มเหลวกำเริบรุนแรงเฉียบพลันในผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง ได้แก่ การติดเชื้อระบบทางเดินหายใจ ภาวะพิษเหตุติดเชื้อ ประวัติการใส่ท่อช่วยหายใจและสัญญาณชีพบางอย่าง เช่น อัตราการหายใจ ชีพจร และระดับออกซิเจนในเลือด ผลการศึกษานี้เน้นถึงความสำคัญของการเฝ้าระวังและการจัดการภาวะดังกล่าวเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น</p>
2025-01-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 http://yasohospital.moph.go.th/Journal/
https://he04.tci-thaijo.org/index.php/hciyasohos/article/view/2923
การศึกษาความชุกและทำนายปัจจัยเสี่ยงคลอดก่อนกำหนดในสตรีตั้งครรภ์ โรงพยาบาลเสลภูมิ
2025-02-28T08:33:58+07:00
ภัทราวดี จันทร์เจริญ
princessannekim@gmail.com
<p><strong>หลักการและเหตุผล:</strong> อัตราการคลอดก่อนกำหนดในประเทศพัฒนาแล้วยังพบสูงขึ้น ภาวะเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนดเป็นสาเหตุที่สำคัญของการตายและภาวะทุพพลภาพของทารกแรกคลอดที่พบได้บ่อยหลังคลอด และเป็นสาเหตุหลักของการเจ็บป่วยและการตายของทารกปริกำเนิดมากกว่า ร้อยละ 50 นับเป็นปัญหาสาธารณสุขทั่วโลก</p> <p><strong>วัตถุประสงค์:</strong> เพื่อศึกษาความชุกและทำนายปัจจัยเสี่ยงคลอดก่อนกำหนดในสตรีตั้งครรภ์ โรงพยาบาลเสลภูมิ</p> <p><strong>วิธีการศึกษา:</strong> การศึกษาเชิงพรรณนาย้อนหลัง (Retrospective Descriptive Study) กลุ่มตัวอย่าง คือ เวชระเบียนผู้ป่วยสตรีตั้งครรภ์ที่มาคลอด ณ โรงพยาบาลเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด ที่มาคลอดในช่วงเวลา ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2565 ถึง 30 กันยายน พ.ศ. 2566 แบ่งเป็น 2 กลุ่ม ดังนี้ กลุ่มศึกษา อายุครรภ์น้อยกว่า 37 สัปดาห์ และกลุ่มควบคุม อายุครรภ์มากกว่า 37 สัปดาห์ โดยศึกษาเวชระเบียนผู้ป่วยในและสมุดบันทึกการคลอดในห้องคลอดและในระบบ HOSxP โดยศึกษา อายุสตรีตั้งครรภ์ (ปี) ค่าดัชนีมวลกาย (BMI) อาชีพ ระดับการศึกษา จำนวนครั้งของการตั้งครรภ์ และประวัติความเสี่ยงของของมารดาต่อการคลอดก่อนกำหนด เช่น ประวัติเคยคลอดก่อนกำหนด คุณภาพของการฝากครรภ์ ภาวะซีด ความดันโลหิตสูง ติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ ภาวะแทรกซ้อนทางอายุรกรรม ปัจจัยด้านทารก เช่น ภาวะโตช้าในครรภ์ รกเกาะต่ำ นำเสนอข้อมูลเชิงพรรณนาและวิเคราะห์ปัจจัยเสี่ยงโดยใช้ Multiple Logistic Regression กำหนดค่านัยสำคัญทางสถิติที่ p < 0.05</p> <p><strong>ผลการศึกษา:</strong> สตรีตั้งครรภ์ที่มาคลอดที่โรงพยาบาลเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด จำนวน 577 ราย เป็นการคลอดก่อนกำหนด 51 ราย ร้อยละ 10.04 โดยปัจจัยเสี่ยงที่มีความสัมพันธ์ต่อการคลอดก่อนกำหนด ได้แก่ มีภาวะน้ำคร่ำรั่วก่อนเจ็บครรภ์ (AOR=27.98, 95%CI 10.68-73.59, p<0.001) การฝากครรภ์ไม่ครบตามเกณฑ์คุณภาพ (AOR=1.99, 95%CI 1.20-3.58, p<0.001) สตรีตั้งครรภ์มีภาวะแทรกซ้อนทางอายุรกรรม (AOR=4.44, 95%CI 1.41-12.59, p=0.010) การใช้สารเสพติดระหว่างตั้งครรภ์ (AOR=18.89, 95%CI 3.00-118.82, p=0.008) ภาวะความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์ (AOR=5.01, 95%CI 2.11-12.59, p<0.001) ทารกมีภาวะโตช้าในครรภ์ (AOR=11.82, 95%CI 1.98-87.89, p=0.001) และภาวะรกเกาะต่ำ (AOR=4.55, 95%CI 0.22-94.85, p=0.010)</p> <p><strong>สรุปผลการศึกษา:</strong> การศึกษาครั้งนี้ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการเฝ้าระวังและการจัดการปัจจัยเสี่ยงที่มีความสัมพันธ์กับการคลอดก่อนกำหนด ซึ่งสามารถนำไปสู่การปรับปรุงคุณภาพการดูแลสตรีตั้งครรภ์และลดอัตราการคลอดก่อนกำหนดได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p>
2025-01-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 ยโสธรเวชสาร
https://he04.tci-thaijo.org/index.php/hciyasohos/article/view/2922
อุบัติการณ์ของโรคหลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตันเฉียบพลันที่ได้รับการรักษาด้วยยาละลายลิ่มเลือด ทางหลอดเลือดดำในโรงพยาบาลโพนทอง จังหวัดร้อยเอ็ด
2025-02-27T15:46:54+07:00
พรพิมล จอมทอง
pm_som_oh@hotmail.com
<p><strong>หลักการและเหตุผล:</strong> โรคหลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตันเฉียบพลันเป็นภาวะฉุกเฉินทางระบบประสาท ที่ีต้องได้รับการรักษาที่ถูกต้องและรวดเร็ว มิเช่นนั้นจะมีอัตราการเสียชีวิตสูง การติดตามการรักษาอย่างใกล้ชิดและประเมินการเปลี่ยนแปลงทางคลินิกในผู้ปวยกลุ่มนี้มีความสำคัญเพื่อประเมินผลการรักษาและป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้ภายหลังการรักษา</p> <p><strong>วัตถุประสงค์:</strong> เพื่อศึกษาอุบัติการณ์ของโรคหลอดเลือดสมองและค้นหาปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญของการเกิดโรคหลอดเลือดสมองในโรงพยาบาลโพนทอง จังหวัดร้อยเอ็ด ผลการรักษาโรคหลอดเลือดสมองภายหลังการให้การรักษาด้วยยาละลายลิ่มเลือดและประเมินอุบัติการณ์ของการเกิดภาวะแทรกซ้อนหลังการรักษาโรคหลอดเลือดสมองด้วยยาละลายลิ่มเลือด</p> <p><strong>วิธีการศึกษา: </strong>การศึกษาข้อมูลย้อนหลัง (Retrospective Analysis Study) จากเวชระเบียนอิเล็กทรอนิกส์ผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยโรคหลอดเลือดสองตีบหรืออุดตันเฉียบพลัน ที่ได้รับยาละลายลิ่มเลือดที่ีเข้ารับการรักษาในหอผู้ป่วยหลอดเลือดสมองของโรงพยาบาลโพนทอง จังหวัดร้อยเอ็ด ในช่วงระยะเวลาตั้งแต่ตุลาคม พ.ศ. 2563 ถึง กันยายน พ.ศ. 2566</p> <p><strong>ผลการศึกษา: </strong>จากการศึกษาผู้ป่วยทั้งหมด 128 ราย พบว่าผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง 71 ราย (ร้อยละ 55.47) และเพศชาย 57 ราย (ร้อยละ 45.53) ผู้ป่วยมีอายุเฉลี่ยอยู่ที่ 67.8±10.9 ปี หลังจากการรักษาด้วยยาละลายลิ่มเลือดทางหลอดเลือดดำ ผู้ป่วย 100 ราย (ร้อยละ 78.13) มีอาการดีขึ้นหรือคงที่ ระยะเวลาเฉลี่ยตั้งแต่เริ่มมีอาการจนถึงได้รับยาละลายลิ่มเลือดคือ 158.5±42.2 นาที ส่วนระยะเวลาเฉลี่ยตั้งแต่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลจนถึงได้รับยาละลายลิ่มเลือดทางหลอดเลือดดำคือ 71.8±28.4 นาที และระยะเวลาเฉลี่ยตั้งแต่เริ่มมีอาการจนถึงมาถึงโรงพยาบาลคือ 89±41.2 นาที ค่า NIHSS เฉลี่ยในขณะที่ผู้ป่วยเข้ารับการรักษาที่ห้องฉุกเฉินอยู่ที่ 11.1±5.8 พบว่ามีผู้ป่วย 23 ราย (ร้อยละ 17.97) ที่เกิดภาวะเลือดออกในสมองหลังการรักษาด้วยยาละลายลิ่มเลือด ภาวะเลือดออกในสมองนี้มีการทำนายผลการรักษาที่แย่ลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (OR=144.66, 95% CI: 13.19-1585.60, p-value < 0.0001) ปัจจัยเสี่ยงที่มีการทำนายอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติกับผลการรักษาที่แย่ลง ได้แก่ อายุมากกว่า 65 ปี (OR=0.12, 95% CI: 0.02-0.58, p-value=0.008*) ความดันโลหิตสูง (OR=0.19, 95% CI: 0.04-0.91, p-value=0.03*) ผู้ป่วยที่มี AF (OR=0.22, 95% CI: 0.08-0.94, p-value=0.04*) และภาวะเลือดออกในสมองมีความสัมพันธ์กับผลการรักษาที่แย่ลงที่มีนัยสำคัญทางสถิติ</p> <p><strong>สรุป:</strong> การรักษาโรคหลอดเลือดสมองเฉียบพลันด้วยยาละลายลิ่มเลือดทางหลอดเลือดดำมีประสิทธิภาพสูงในการฟื้นฟูอาการและลดความพิการ การควบคุมปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ เช่น อายุ ความดันโลหิตและการป้องกันภาวะเลือดออกในสมองหลังการรักษาสามารถช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมองและปรับปรุงผลลัพธ์การรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p>
2025-01-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 ยโสธรเวชสาร
https://he04.tci-thaijo.org/index.php/hciyasohos/article/view/2924
เปรียบเทียบผลการผ่าตัดไทรอยด์ 1 ข้างด้วยใบมีด Harmonic กับ เครื่องจี้ห้ามเลือดและตัดเนื้อเยื่อด้วยไฟฟ้า ในโรงพยาบาลอำนาจเจริญ
2025-02-28T08:40:59+07:00
สุธีรา มณีชิษณุพงศ์
fomatosuteera@gmail.com
<p><strong>หลักการและเหตุผล:</strong> การผ่าตัดไทรอยด์ออกข้างเดียวด้วยวิธีการหนีบ ตัด ผูก และเครื่องจี้ห้ามเลือดและตัดเนื้อเยื่อด้วยไฟฟ้า มีอันตรายต่อเส้นประสาทกล่องเสียง จึงมีการนำ Harmonic Scalpel มาใช้ในการผ่าตัดไทรอยด์ออกข้างเดียว แม้ว่าจะมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าก็ตาม แต่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง ซึ่งพบว่าอาจจะลดระยะเวลาการผ่าตัด ลดปริมาณเลือดออกและลดอันตรายต่อเส้นประสาทกล่องเสียงลงได้</p> <p><strong>วัตถุประสงค์: </strong>เพื่อศึกษาเปรียบเทียบความเจ็บปวดหลังผ่าตัดไทรอยด์ออกข้างเดียวโดยใช้ Harmonic Scalpel กับเครื่องจี้ห้ามเลือดและตัดเนื้อเยื่อด้วยไฟฟ้า ศึกษาข้อมูลผู้ป่วยเปรียบเทียบระยะเวลาในการผ่าตัด ระยะเวลาการนอนโรงพยาบาล และภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากการใช้อุปกรณ์ในการผ่าตัดในแต่ละวิธี</p> <p><strong>วิธีการศึกษา: </strong>เป็นการวิจัยเชิงทดลองทางคลินิก (Experimental Study) โดยศึกษาในผู้ป่วยที่่ได้รับการผ่าตัดต่อมไทรอยด์ออกข้างเดียวที่มารักษาที่โรงพยาบาลอำนาจเจริญ ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567 ถึง กันยายน พ.ศ. 2567 จำนวน 104 ราย โดยแบ่งผู้ป่วยแบบสุ่มเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ได้รับการผ่าตัดด้วย Harmonic Scalpel 52 ราย และกลุ่มที่ได้รับการผ่าตัดด้วยเครื่องจี้ห้ามเลือดและตัดเนื้อเยื่อด้วยไฟฟ้า 52 ราย เปรียบเทียบข้อมูลผู้ป่วย ปริมาณเลือดออกระหว่างและหลังผ่าตัด อัมพาตของสายเสียงไทรอยด์ทำงานต่ำหลังผ่าตัดและระยะเวลานอนโรงพยาบาล ความเจ็บปวดหลังผ่าตัด คุณภาพชีวิตและความพึงพอใจของผู้ป่วยรวมถึงภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ โดยใช้สถิติวิเคราะห์และเปรียบเทียบข้อมูลต่อเนื่องด้วย Mann-Whitney U Test วิเคราะห์และเปรียบเทียบข้อมูลไม่ต่อเนื่องด้วย Chi-Square Test และ Fisher’s Exact Test</p> <p><strong>ผลการศึกษา:</strong> กลุ่มผู้ป่วยที่ผ่าตัดด้วย Harmonic Scalpel มีระยะเวลาการผ่าตัดสั้นกว่า (65.0 นาที vs 97.5 นาที, p=0.006) ปริมาณเลือดออกน้อยกว่า (15.67 มล. vs 50 มล., p<0.001) ระดับความเจ็บปวดต่ำกว่าในช่วง 7 วันแรกหลังผ่าตัด (p<0.05) ใช้ยาแก้ปวดน้อยกว่า (3.06 วัน vs 5.55 วัน, p<0.001) และมีระยะเวลานอนโรงพยาบาลสั้นกว่า (3.23 วัน vs 4 วัน, p<0.001) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ไม่พบความแตกต่างในเรื่องภาวะแทรกซ้อนและการทำงานของต่อมไทรอยด์หลังผ่าตัดระหว่างสองกลุ่ม</p> <p><strong>สรุป:</strong> การผ่าตัดต่อมไทรอยด์ออกข้างเดียวโดยใช้ Harmonic Scalpel สามารถลดปริมาณเลือดออกขณะผ่าตัด ลดระยะเวลาการผ่าตัด ลดปริมาณเลือดออกหลังผ่าตัด ลดความเจ็บปวดหลังผ่าตัด ลดการใช้ยาแก้ปวดและระยะเวลานอนโรงพยาบาลได้ โดยไม่เพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อน</p>
2025-01-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 ยโสธรเวชสาร
https://he04.tci-thaijo.org/index.php/hciyasohos/article/view/2926
ผลการศึกษาเปรียบเทียบการผ่าตัดไส้เลื่อนที่ขาหนีบโดยใช้วิธีระงับความรู้สึกด้วยการใช้ยาชาเฉพาะที่กับการให้ยาชาทางช่องไขสันหลัง โรงพยาบาลยโสธร
2025-02-28T08:49:22+07:00
ณรงค์ เชื้อศุภโรบล
maihenjayark@gmail.com
<p><strong>หลักการและเหตุผล:</strong> โดยปกติการผ่าตัดไส้เลื่อนที่ขาหนีบในโรงพยาบาลยโสธรจะใช้วิธีการฉีดยาชาเข้าช่องไขสันหลังและการดมยาสลบ ซึ่งพบว่าทั้งสองวิธียังมีภาวะแทรกซ้อนและผู้ป่วยต้องใช้เวลาในการพักฟื้นในโรงพยาบาล</p> <p><strong>วัตถุประสงค์:</strong> เพื่อเปรียบเทียบผลลัพธ์ระหว่างการใช้วิธีฉีดยาชาเฉพาะที่กับการฉีดยาชาทางช่องไขสันหลังในการผ่าตัดไส้เลื่อนที่ขาหนีบ</p> <p><strong>วิธีการศึกษา:</strong> เป็นการศึกษาเปรียบเทียบย้อนหลัง (Retrospective Study) โดยศึกษาในผู้ป่วยโรคไส้เลื่อนที่ขาหนีบที่มารักษาที่โรงพยาบาลยโสธร ในช่วงระหว่างเดือนตุลาคม พ.ศ. 2565 ถึงกันยายน พ.ศ. 2566 จำนวน 162 ราย แบ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับการฉีดยาชาเฉพาะที่ 81 ราย และกลุ่มที่ได้รับการฉีดยาชาทางช่องไขสันหลัง 81 ราย เปรียบเทียบผลลัพธ์ด้านระยะเวลาผ่าตัด ระดับความปวด การใช้ยาแก้ปวด ระยะเวลานอนโรงพยาบาล ภาวะแทรกซ้อน และค่ารักษาพยาบาล ทำการวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติโดยใช้สถิติ Independent Samples T-Test, Chi-Square Test และ Fisher’s Exact Test</p> <p><strong>ผลการศึกษา:</strong> กลุ่มฉีดยาชาเฉพาะที่เมื่อเทียบกับกลุ่มฉีดยาชาทางช่องไขสันหลังพบว่าใช้เวลาผ่าตัดน้อยกว่า 23.86 นาที (95% CI: -29.77 ถึง -17.95, p = 0.002) ระดับการปวดมากกว่าที่ 6 ชั่วโมงหลังผ่าตัดมากกว่า 2.10 คะแนน (95% CI: 1.85 ถึง 2.35, p < 0.001) แต่ไม่แตกต่างที่ 12 ชั่วโมง การใช้ยาแก้ปวด สัดส่วนการใช้ยาสูงกว่าร้อยละ 56.7 (95% CI: 45.37 ถึง 68.21, p < 0.001) ปริมาณยาใน 24 ชั่วโมงแรกมากกว่า 15.34 mg (95% CI: 14.63 ถึง 16.05, p < 0.001) ระยะเวลานอนโรงพยาบาลน้อยกว่า 28.74 ชั่วโมง (95% CI: -32.04 ถึง -25.44, p < 0.001) และค่ารักษาต่ำกว่า 3,884.33 บาท (95% CI: -3,895.35 ถึง -3,873.31, p = 0.001) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05) ส่วนภาวะแทรกซ้อนไม่พบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญระหว่างสองกลุ่ม</p> <p><strong>สรุป: </strong>การฉีดยาชาเฉพาะที่มีความเหมาะสมสำหรับการผ่าตัดไส้เลื่อนที่ขาหนีบ โดยมีข้อดีด้านระยะเวลาผ่าตัด ระยะเวลานอนโรงพยาบาล และค่าใช้จ่ายที่ต่ำกว่า แม้จะมีระดับความปวดที่สูงกว่าในช่วงแรก แต่สามารถควบคุมได้ด้วยยาแก้ปวด และไม่พบความแตกต่างด้านภาวะแทรกซ้อน การเลือกวิธีการระงับความรู้สึกควรพิจารณาตามความเหมาะสมของผู้ป่วยแต่ละราย</p>
2025-01-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 ยโสธรเวชสาร
https://he04.tci-thaijo.org/index.php/hciyasohos/article/view/2927
ผลของโปรแกรมส่งเสริมการดูแลสุขภาพตนเองตามหลัก 3 อ 2 ส ในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 กลุ่มงานบริการด้านปฐมภูมิและองค์รวม โรงพยาบาลมหาชนะชัย จังหวัดยโสธร
2025-02-28T08:59:27+07:00
วาสิฏฐี ศิริชัย
wasit_pg3@hotmail.com
สถาพร มุ่งทวีพงษา
m.family@hotmail.com
<p><strong>หลักการและเหตุผล:</strong> โรคเบาหวานปัญหาสาธารณสุขของโลก มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เกิดจากระบบการเผาผลาญผิดปกติ ส่งผลให้ภาวะน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ ร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงจนเกิดภาวะแทรกซ้อน เป้าหมายของการควบคุมเบาหวาน คือการควบคุมน้ำตาลสะสมในเลือดให้น้อยกว่า 7 สาเหตุหลักส่วนใหญ่ที่ควบคุมไม่ได้เกิดจากพฤติกรรมการดูแลตนเองที่ไม่เหมาะสม การแบ่งกลุ่มผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 และการส่งเสริมดูแลตนเองตามหลัก 3 อ 2 ส ร่วมกับการเยี่ยมบ้านเป็นวิธีการให้บริการสาธารณสุขเชิงรุก ครอบคลุมการส่งเสริมและป้องกันภาวะแทรกซ้อนในกลุ่มผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ให้สามารถดูแลสุขภาพตนเองและปฏิบัติตนให้มีสุขภาพดี</p> <p><strong>วัตถุประสงค์: </strong>เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมส่งเสริมการดูแลสุขภาพตนเองตามหลัก 3 อ 2 ส ในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 กลุ่มงานบริการด้านปฐมภูมิและองค์รวม โรงพยาบาลมหาชนะชัย จังหวัดยโสธร</p> <p><strong>วิธีการศึกษา:</strong> เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง กลุ่มเดียวเปรียบเทียบก่อนและหลังการทดลอง กลุ่มตัวอย่าง คือประชาชนกลุ่มป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 จำนวน 70 ราย คัดเลือกโดยการสุ่มอย่างง่าย กลุ่มตัวอย่างเข้าร่วมโปรแกรมส่งเสริมการดูแลสุขภาพตนเองตามหลัก 3 อ 2 ส ในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ระยะเวลา 6 เดือน ประกอบด้วย การแบ่งกลุ่มผู้ป่วยเบาหวาน การเยี่ยมบ้าน การเสริมพลังตามกระบวนการ สร้างสัมพันธภาพ สังเกตและให้ข้อเสนอแนะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการส่งเสริมการดูแลตนเอง ประเมินพฤติกรรมการดูแลตนเองและผลลัพธ์ทางคลินิก วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา โดยใช้ความถี่ ร้อยละ และสถิติเชิงอนุมานโดยใช้ Paired Simple T-Test</p> <p><strong>ผลการศึกษา:</strong> พบว่ากลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิงมีอายุเฉลี่ย 54.67 ปี ประกอบอาชีพค้าขาย รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 2,158.70 บาท หลังการเข้าร่วมโปรแกรมส่งเสริมการดูแลสุขภาพตนเองตามหลัก 3 อ 2 ส กลุ่มตัวอย่างมีคะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมการดูแลตนเอง ด้านการรับประทานอาหาร การออกกำลังกาย และการจัดการกับความเครียดเพิ่มสูงขึ้นกว่าก่อนเข้าร่วมโครงการอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ผลลัพธ์ทางคลินิก ได้แก่ ระดับความดันโลหิต ระดับน้ำตาลในเลือด น้ำตาลสะสมในเลือดและดัชนีมวลกายดีขึ้นกว่าก่อนเข้าร่วมโครงการอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> <p><strong>สรุปและข้อเสนอแนะ:</strong> โปรแกรมส่งเสริมตนเองตามหลัก 3 อ 2 ส ทำให้กลุ่มผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 มีพฤติกรรมในการดูแลตนเอง และผลลัพธ์ทางคลินิกดีขึ้น กรณีที่จะนำผลการวิจัยนี้ไปใช้ควรมีการปรับกระบวนการให้เหมาะสมกับบริบท</p>
2025-01-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 ยโสธรเวชสาร