https://he04.tci-thaijo.org/index.php/hciyasohos/issue/feed ยโสธรเวชสาร 2025-09-17T00:00:00+07:00 นพ.บพิตร สัสสี academicyhos@gmail.com Open Journal Systems <p style="margin: 0cm;"><strong>ยโสธรเวชสาร </strong>เป็นวารสารวิชาการจัดทำขึ้นเพื่อเผยแพร่ผลงานทางวิชาการ และเป็นเวทีเสนอผลงานทางวิชาการและงานวิจัยแก่ผู้ที่อยู่ในวงการสาธารณสุข มีความยินดีรับลงพิมพ์บทความวิชาการ ตลอดจนบทความด้านอื่นๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนางานด้านการแพทย์ พยาบาล วิทยาศาสตร์สุขภาพ และสาธารณสุขทั้งในและนอกองค์กร รวมทั้งผู้สนใจสืบค้นข้อมูล</p> <p style="margin: 0cm;"> </p> <p style="margin: 0cm;"><strong>วัตถุประสงค์</strong></p> <p>เพื่อเผยแพร่และฟื้นฟูผลงานทางวิชาการและงานวิจัยทางการแพทย์และสาธารณสุข</p> https://he04.tci-thaijo.org/index.php/hciyasohos/article/view/2950 การศึกษาเปรียบเทียบผลลัพธ์ทางคลินิกของการผ่าตัดและไม่ผ่าตัดในผู้ป่วยกระดูกสะโพกหัก ในหอผู้ป่วยศัลยกรรมกระดูก โรงพยาบาลมุกดาหาร 2025-07-01T10:04:50+07:00 เพ็ญพิชญา วิญคาม penpitchaya938@gmail.com <p> </p> <p><strong>หลักการและเหตุผล: </strong>กระดูกสะโพกหักเป็นปัญหาสำคัญในผู้สูงอายุ โดยเฉพาะเพศหญิง มีอุบัติการณ์สูงและอาจก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง การรักษาแบ่งเป็น 2 วิธีหลัก คือ การรักษาโดยไม่ผ่าตัดและการผ่าตัด ซึ่งขึ้นอยู่กับสภาพผู้ป่วยและลักษณะการหัก</p> <p><strong>วัตถุประสงค์:</strong> เพื่อเปรียบเทียบผลลัพธ์ทางคลินิกและคุณภาพชีวิตในผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาโดยการไม่ผ่าตัด (Non-Surgical Treatment) และการรักษาโดยการผ่าตัด (Surgical Treatment) ในผู้ป่วยที่มีอาการกระดูกสะโพกหัก ในหอผู้ป่วยศัลยกรรมกระดูก โรงพยาบาลมุกดาหาร</p> <p><strong>วิธีการศึกษา:</strong> การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบย้อนหลัง (Retrospective Study) มีการเก็บข้อมูลของผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาโดยการไม่ผ่าตัด (Non-Surgical Treatment) และการรักษาโดยการผ่าตัด (Surgical Treatment) ในผู้ป่วยที่มีอาการกระดูกสะโพกหัก ในหอผู้ป่วยศัลยกรรมกระดูก โรงพยาบาลมุกดาหาร ที่รับการรับการรักษาระหว่างเดือน มกราคม - ตุลาคม พ.ศ. 2567 กลุ่มละ 50 คน จากฐานข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ Independent t-test</p> <p><strong>ผลการศึกษา:</strong> ระยะเวลานอนโรงพยาบาล: กลุ่มผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยการผ่าตัดมีระยะเวลานอนโรงพยาบาลเฉลี่ยสั้นกว่ากลุ่มไม่ผ่าตัด อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p &lt; 0.05) อัตราการเกิดภาวะแทรกซ้อน: กลุ่มผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดมีอัตราการเกิดภาวะแทรกซ้อนต่ำกว่ากลุ่มไม่ผ่าตัด อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p &lt; 0.01) ระยะเวลาการฟื้นตัว: ผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยการผ่าตัดมีระยะเวลาการฟื้นตัวที่เร็วกว่ากลุ่มไม่ผ่าตัด อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p &lt; 0.05) การฟื้นฟูการเคลื่อนไหว: สัดส่วนผู้ป่วยที่สามารถฟื้นฟูการเคลื่อนไหวได้ดีขึ้นในกลุ่มที่ได้รับการผ่าตัดสูงกว่ากลุ่มไม่ผ่าตัด อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p &lt; 0.05) และคุณภาพชีวิตหลังการรักษา: คะแนนคุณภาพชีวิตหลังการรักษาของกลุ่มผ่าตัดมีค่าเฉลี่ยสูงกว่ากลุ่มไม่ผ่าตัดอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p &lt; 0.05)</p> <p><strong>สรุป:</strong> การผ่าตัดเป็นแนวทางหลักในการรักษาผู้ป่วยกระดูกสะโพกหักที่มีความพร้อมและสามารถเข้ารับการผ่าตัดได้ การรักษาด้วยการผ่าตัดควรเป็นทางเลือกแรกสำหรับผู้ป่วยที่มีสภาพร่างกายที่พร้อมรับการผ่าตัด การผ่าตัดช่วยให้ผู้ป่วยฟื้นฟูได้เร็ว ลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการนอนรักษาตัวนาน และเพิ่มความสามารถในการเคลื่อนไหว ผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดมักมีคุณภาพชีวิตหลังการรักษาที่ดีขึ้น ซึ่งช่วยให้กลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้เร็วกว่า ดังนั้น การรักษาด้วยการผ่าตัดจึงเป็นแนวทางที่เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยที่มีข้อจำกัดทางสุขภาพน้อย และควรเป็นแนวทางหลักในการรักษากระดูกสะโพกหักในผู้ป่วยกลุ่มนี้</p> <p><strong>คำสำคัญ: </strong>การผ่าตัด, ผู้ป่วยกระดูกสะโพกหัก, ผลลัพธ์ทางคลินิก, คุณภาพชีวิต</p> 2025-09-23T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ยโสธรเวชสาร https://he04.tci-thaijo.org/index.php/hciyasohos/article/view/2977 การศึกษาเปรียบเทียบลักษณะทางรังสีวิทยาระหว่างมะเร็งรังไข่ชนิดปฐมภูมิและทุติยภูมิ 2025-07-02T11:28:18+07:00 ศุภางค์พร อุปริมาตร์ supangporn31@gmail.com <p><strong>ที่มา: </strong>มะเร็งรังไข่เป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญ การวินิจฉัยแยกระหว่างมะเร็งรังไข่ชนิดปฐมภูมิและทุติยภูมิมีความสำคัญต่อการวางแผนการรักษา แต่ยังขาดข้อมูลเฉพาะเกี่ยวกับลักษณะทางรังสีวิทยาที่ช่วยในการวินิจฉัยแยกโรค</p> <p><strong>วัตถุประสงค์:</strong> เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบลักษณะทางรังสีวิทยาด้วยภาพเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ช่องท้องที่สามารถใช้แยกมะเร็งรังไข่ชนิดปฐมภูมิและทุติยภูมิ</p> <p><strong>วิธีการศึกษา: </strong>การวิจัยเชิงวิเคราะห์แบบย้อนหลัง (Retrospective Analytical Study) ในผู้ป่วยมะเร็งรังไข่ ที่ได้รับการวินิจฉัยและรักษาที่โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ อุบลราชธานี ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2564 ถึง 30 กันยายน 2567 จำนวน 255 ราย วิเคราะห์ลักษณะทางรังสีวิทยาจากภาพเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ช่องท้อง โดยใช้ผลพยาธิวิทยาเป็นมาตรฐานอ้างอิง <strong>การวิเคราะห์ทางสถิติ</strong><strong> ข้อมูลเชิงปริมาณ:</strong> ค่าเฉลี่ย ± ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน, วิเคราะห์ด้วย Independent T-Test <strong>ข้อมูลเชิงคุณภาพ: </strong>จำนวนและร้อยละ, วิเคราะห์ด้วย Chi-Square Test ส่วนการวิเคราะห์ปัจจัยที่สัมพันธ์กับชนิดมะเร็งใช้ Multivariate Logistic Regression และ ประเมินความสอดคล้องระหว่างรังสีแพทย์ผู้อ่านภาพด้วย Kappa Statistics โดยกำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ p &lt; 0.05</p> <p><strong>ผลการศึกษา:</strong> พบมะเร็งรังไข่ปฐมภูมิ 165 ราย (64.7%) และทุติยภูมิ 90 ราย (35.3%) มะเร็งรังไข่ปฐมภูมิ มักพบเป็นก้อนข้างเดียว (67.9%) ขนาดใหญ่ (14.8±5.2 เซ็นติเมตร) ลักษณะก้อนที่มีส่วนของเนื้อและของเหลวในสัดส่วนใกล้เคียงกัน (Mixed Solid-Cystic) (43.6%) ส่วนมะเร็งทุติยภูมิมักพบเป็นก้อนสองข้าง (61.1%) ขนาดเล็ก (8.9±3.7 เซ็นติเมตร) ลักษณะก้อนมีส่วนที่เป็นเนื้อมากกว่า 2/3 ของก้อนทั้งหมด (Predominantly Solid) (55.5%) และพบการกระจายในเยื่อบุช่องท้อง (Peritoneal Deposit) (80.0%) ต่อมน้ำเหลืองโตในช่องท้อง (Lymphadenopathy) (72.2%) มากกว่า ปัจจัยที่สัมพันธ์กับมะเร็งทุติยภูมิอย่างมีนัยสำคัญ ได้แก่ การกระจายในเยื่อบุช่องท้อง (Peritoneal Deposit) และต่อมน้ำเหลืองโตในช่องท้อง (Lymphadenopathy) (OR 6.93) ลักษณะก้อนมีส่วนที่เป็นเนื้อมากกว่า 2/3 ของก้อนทั้งหมด (Predominantly Solid Pattern) (OR 5.53) และพบก้อนทั้งสองข้าง (Bilateral Mass) (OR 3.31)</p> <p><strong>สรุป: </strong>ลักษณะทางรังสีวิทยาสามารถช่วยแยกมะเร็งรังไข่ปฐมภูมิและทุติยภูมิได้ โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาลักษณะต่าง ๆ ร่วมกัน ได้แก่ ตำแหน่งข้างของก้อน, ขนาดก้อน, ลักษณะเนื้อก้อน และการกระจายของโรค</p> <p><strong>คำสำคัญ:</strong> มะเร็งรังไข่ปฐมภูมิ, มะเร็งรังไข่ทุติยภูมิ, เอกซเรย์คอมพิวเตอร์, การวินิจฉัยทางรังสีวิทยา</p> 2025-09-23T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ยโสธรเวชสาร https://he04.tci-thaijo.org/index.php/hciyasohos/article/view/2901 ประสิทธิภาพของ Carcinoembryonic Antigen (CEA) ในการตรวจหาการกลับเป็นซ้ำของมะเร็งเต้านม ในโรงพยาบาลอำนาจเจริญ 2025-03-22T15:40:08+07:00 อภิษฎา เวชกรณ์ apisadawetchakorn@gmail.com <p><strong>หลักการและเหตุผล: </strong>มะเร็งเต้านมเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญ การติดตามการกลับเป็นซ้ำมักอาศัยการตรวจร่างกายร่วมกับสารบ่งชี้มะเร็ง โดยเฉพาะ CEA อย่างไรก็ตาม ประสิทธิภาพของ CEA ในการติดตามผู้ป่วยยังมีข้อถกเถียง</p> <p><strong>วัตถุประสงค์: </strong>เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างระดับ CEA ในเลือดกับการกลับเป็นซ้ำของมะเร็งเต้านม รวมถึงประเมินประสิทธิภาพของ CEA ในการทำนายการกลับเป็นซ้ำในผู้ป่วยกลุ่มต่าง ๆ</p> <p><strong>วิธีการศึกษา: </strong>การวิจัยแบบ Prospective Cohort Study ในผู้ป่วยมะเร็งเต้านม 200 ราย แบ่งเป็น 2 กลุ่ม ๆ ละ 100 ราย ได้แก่ กลุ่มติดตามด้วยการตรวจร่างกายอย่างเดียว และกลุ่มติดตามร่วมกับการตรวจ CEA ติดตามผู้ป่วยทุก 3 เดือน เป็นเวลา 5 ปี วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและเชิงอนุมาน</p> <p><strong>ผลการศึกษา:</strong> พบว่าระดับ CEA ตั้งแต่ 10.0 ng/mL ขึ้นไปมีความเสี่ยงต่อการกลับเป็นซ้ำสูงกว่ากลุ่มที่มีค่า CEA น้อยกว่า 5.0 ng/mL ถึง 3.17 เท่า (95% CI 1.92-5.24) และสามารถตรวจพบการเปลี่ยนแปลงได้ก่อนการวินิจฉัยทางคลินิกเฉลี่ย 3.2 เดือน โดย CEA มีประสิทธิภาพสูงสุดในผู้ป่วย Triple Negative Breast Cancer, ผู้ป่วยระยะ 3 และผู้ป่วย Hormone Receptor Negative</p> <p><strong>สรุป:</strong> CEA เป็นสารบ่งชี้มะเร็งที่มีประสิทธิภาพในการติดตามการกลับเป็นซ้ำของมะเร็งเต้านม โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง สามารถนำไปพัฒนาเป็นแนวทางการติดตามที่เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยแต่ละกลุ่มในบริบทของโรงพยาบาลทั่วไป</p> <p><strong>คำสำคัญ: </strong>มะเร็งเต้านม, การกลับเป็นซ้ำ, CEA, Tumor Marker, การติดตาม</p> 2025-09-23T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ยโสธรเวชสาร https://he04.tci-thaijo.org/index.php/hciyasohos/article/view/3027 โรคไซนัสอักเสบจากราชนิดก้อนราในโรงพยาบาลวารินชำราบ 2025-06-26T08:43:42+07:00 พรทิพย์ สุขพาณิชยิ่งยง tuizson@hotmail.com <p><strong>หลักการและเหตุผล:</strong> โรคไซนัสอักเสบจากราชนิดก้อนราเป็นชนิดไม่ลุกลาม ซึ่งเป็นโรคไซนัสอักเสบจากราที่พบได้บ่อยที่สุด มักจะมาด้วยอาการคัดจมูก ปวดใบหน้า ไอเรื้อรัง มีกลิ่นเหม็นในจมูกคล้ายโรคไซนัสอักเสบจากเชื้อแบคทีเรียแต่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยาต้านจุลชีพ ผู้ป่วยมักจะมีภูมิต้านทานปกติ ส่วนใหญ่พบในไซนัสข้างเดียว</p> <p><strong>วัตถุประสงค์:</strong> ศึกษาอุบัติการณ์โรคไซนัสอักเสบจากราชนิดก้อนราในโรงพยาบาลวารินชำราบ ศึกษาอาการ อาการแสดงของ ลักษณะภาพ CT Scan ทบทวนผลตรวจทางพยาธิวิทยาและเทคนิคการผ่าตัด</p> <p><strong>วิธีการศึกษา: </strong>Retrospective Case Series Study เก็บข้อมูลผู้ป่วยผู้ใหญ่ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคไซนัสอักเสบจากราชนิดก้อนรา ที่เข้ารับการรักษาที่แผนกหูคอจมูก โรงพยาบาลวารินชำราบ ตั้งแต่ 1 มกราคม พ.ศ. 2560 ถึง 31 ธันวาคม พ.ศ. 2567 โดยได้รับการตรวจ CT Scan Paranasal Sinus หรือ CT Brain ผ่าตัด Endoscopic Sinus Surgery (ESS) และมีผลชิ้นเนื้อพบก้อนเชื้อรา (Fungal Ball) </p> <p><strong>ผลการศึกษา:</strong> มีผู้ป่วยที่เป็นโรคไซนัสอักเสบจากราชนิดก้อนรา จำนวน 35 คน เป็นผู้หญิง ร้อยละ 62.9 อายุเฉลี่ย 60 ปี อาการของผู้ป่วยที่พบมากที่สุด คือ คัดจมูก ร้อยละ 54.3 โรคประจำตัวผู้ป่วยที่พบมากที่สุด คือ ความดันโลหิตสูง ร้อยละ 40 พบไซนัสอักเสบจากก้อนราเป็นข้างเดียว ร้อยละ 94.3 ตำแหน่งของไซนัสที่พบก้อนรามากที่สุด คือ Maxillary Sinus ร้อยละ 80 รองลงมา Sphenoid Sinus ร้อยละ 17.1 ลักษณะภาพ CT Scan พบ Sclerotic Bone Change ร้อยละ 94.3, Calcifications ร้อยละ 71.4 และ Complete Opacity of Sinus ร้อยละ 71.4 ผลตรวจทางพยาธิวิทยาของก้อนราพบชนิด <em>Aspergillus </em>ร้อยละ 60 และ <em>Mucormycosis </em>ร้อยละ 5.7 </p> <p><strong>สรุป: </strong>โรคไซนัสอักเสบจากราชนิดก้อนราพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย ในวัยกลางคนและมีภูมิคุ้มกันปกติ มักพบในไซนัสข้างเดียว ก่อนผ่าตัดต้องส่องกล้องจมูก Nasal Endoscopy และส่งภาพ CT Scan การรักษาที่ดีที่สุดคือ การผ่าตัด ESS ไม่มีความจำเป็นต้องให้ยาต้านรา พยากรณ์ของโรคดีมาก จากการศึกษานี้ไม่พบการเกิดโรคซ้ำ หลังผ่าตัดควรนัดผู้ป่วยส่องกล้องจมูกเป็นระยะ</p> <p><strong>คำสำคัญ: </strong>Fungal Ball, Fungal Rhinosinusitis, Endoscopic Sinus Surgery</p> <p> </p> 2025-09-23T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ยโสธรเวชสาร https://he04.tci-thaijo.org/index.php/hciyasohos/article/view/3013 การพัฒนารูปแบบการส่งเสริมการจัดการดูแลตนเองในผู้ป่วยภาวะหัวใจล้มเหลว ในคลินิกหัวใจล้มเหลว โรงพยาบาลยโสธร 2025-07-02T09:54:28+07:00 เบญจรัตน์ เสงี่ยมวิบูล pui3050@gmail.com <p>การวิจัยและพัฒนานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อการพัฒนารูปแบบการส่งเสริมการจัดการดูแลตนเองในผู้ป่วยภาวะหัวใจล้มเหลว ในคลินิกหัวใจล้มเหลว โรงพยาบาลยโสธร และศึกษาผลลัพธ์หลังพัฒนารูปแบบการส่งเสริมการจัดการดูแลตนเองในผู้ป่วยภาวะหัวใจล้มเหลว กลุ่มตัวอย่างแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คัดเลือกแบบเฉพาะเจาะจง ได้แก่ ทีมสหสาขาวิชาชีพ จำนวน 9 คน และผู้ป่วยโรคหัวใจล้มเหลวที่ได้รับบริการในคลินิกหัวใจล้มเหลว จำนวน 90 คน ขั้นตอนการวิจัยแบ่งออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 ระยะวิเคราะห์และสังเคราะห์ร่างต้นแบบ (Draft Prototype) (R1D1) ศึกษา สำรวจปัญหา และวิเคราะห์สถานการณ์ จากเวชระเบียน ทบทวนตัวชี้วัดการดำเนินงาน และสังเคราะห์เพื่อร่างต้นแบบการพัฒนารูปแบบการจัดการดูแลตนเองในผู้ป่วยภาวะหัวใจล้มเหลว ระยะที่ 2 การพัฒนาต้นแบบ (Prototype) (R2D2) นำรูปแบบที่พัฒนาขึ้นไปทดลองใช้ และนำผลการศึกษามาปรับและพัฒนา ระยะที่ 3 ระยะทดสอบประสิทธิผลของต้นแบบองค์ความรู้ใหม่ (R3D3) ใช้รูปแบบการจัดการดูแลตนเองในผู้ป่วยภาวะหัวใจล้มเหลวที่พัฒนาแล้วและสรุปผล ดำเนินการวิจัยเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2567 – เมษายน พ.ศ. 2568 เครื่องมือในการวิจัย ประกอบด้วย ระยะที่ 1 คือ แบบบันทึกเวชระเบียนและแนวคำถามปลายเปิด ระยะที่ 2 คือ รูปแบบส่งเสริมการจัดการดูแลตนเองสำหรับผู้ป่วยภาวะหัวใจล้มเหลว และระยะที่ 3 คือ แบบประเมินการดูแลตนเองของผู้ป่วยภาวะหัวใจล้มเหลว แบบประเมินคุณภาพชีวิตของภาวะหัวใจล้มเหลว แบบบันทึกความสามารถในการเดินบนพื้นราบในเวลา 6 นาที (6-MWT) วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติทดสอบที</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า ได้มีการพัฒนารูปแบบการส่งเสริมการจัดการดูแลตนเองในผู้ป่วยภาวะหัวใจล้มเหลว โดยมีทีมสหสาขาวิชาชีพร่วมกันดูแลผู้ป่วยอย่างเป็นระบบ และผู้ป่วยภาวะหัวใจล้มเหลวภายหลังได้รับรูปแบบการส่งเสริมการการดูแลตนเอง มีความสามารถในการดูแลตนเอง คุณภาพชีวิต ความสามารถในการทำหน้าที่ของร่างกาย (6-MWT) ดีกว่าก่อนการศึกษาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p &lt; .05) และไม่มีการกลับเข้ารักษาซ้ำภายใน 6 เดือน</p> <p> ผลจากการศึกษาครั้งนี้แสดงให้เห็นว่า ควรนำรูปแบบการส่งเสริมการจัดการดูแลตนเองไปใช้ในคลินิกหัวใจล้มเหลว และในผู้ป่วยโรคเรื้อรังอื่น ๆ เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถดูแลตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีคุณภาพชีวิต ความสามารถในการทำหน้าที่ของร่างกายดีขึ้น (6-MWT) และลดอัตราการกลับมารักษาซ้ำ</p> <p><strong>คำสำคัญ:</strong> ผู้ป่วยภาวะหัวใจล้มเหลว, คลินิกหัวใจล้มเหลว, การจัดการดูแลตนเอง, คุณภาพชีวิต</p> 2025-09-23T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ยโสธรเวชสาร https://he04.tci-thaijo.org/index.php/hciyasohos/article/view/3116 ปัจจัยที่ส่งผลต่อการคลอดก่อนกำหนดของหญิงตั้งครรภ์ที่มาฝากครรภ์ โรงพยาบาลยโสธร จังหวัดยโสธร 2025-06-19T09:00:51+07:00 พัชรีญา ศิริพานทอง Patchareeya2506@gmail.com ดวงพร วัฒนเรืองโกวิท Patchareeya2506@gmail.com สถาพร มุ่งทวีพงษา Patchareeya2506@gmail.com <p><strong> สถาพร มุ่งทวีพงษา<sup>3</sup></strong></p> <p><strong>ที่มาและความสำคัญ</strong>: การคลอดก่อนกำหนดยังคงพบอุบัติการณ์ที่สูงขึ้น ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการเสียชีวิตของทารกปริกำเนิดและภาวะทุพพลภาพของทารกแรกเกิด รวมถึงเป็นสาเหตุหลักของการเจ็บป่วยเนื่องจากความไม่สมบูรณ์ของร่างกาย ถือเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญทั่วโลก</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong>: เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการคลอดก่อนกำหนดของหญิงตั้งครรภ์ที่มาฝากครรภ์ที่โรงพยาบาลยโสธร จังหวัดยโสธร</p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong>: การวิจัยเชิงวิเคราะห์แบบย้อนหลัง (Retrospective cohort design) ในกลุ่มตัวอย่างหญิงตั้งครรภ์ที่มาฝากครรภ์ที่โรงพยาบาลยโสธร ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2566 - 30 กันยายน 2567 จำนวน 185 ราย โดยใช้แบบบันทึกข้อมูลจากเวชระเบียน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา (จำนวน ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน) และสถิติถดถอยเชิงเส้นแบบพหุ Multible Linear Regression เพื่อหาความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร</p> <p><strong>ผลการวิจัย</strong>: กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีอายุ 20-34 ปี ปัจจัยที่ส่งผลต่อการคลอดก่อนกำหนดอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p &lt; 0.05) ได้แก่ 1) การตั้งครรภ์แฝด 2) ภาวะความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์ 3) ภาวะเบาหวานขณะตั้งครรภ์ 4) ภาวะน้ำเดินขณะตั้งครรภ์ และ 5) จำนวนครั้งของการตั้งครรภ์ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้สามารถร่วมทำนายการคลอดก่อนกำหนดได้ร้อยละ 43.7 นอกจากนี้ยังพบภาวะแทรกซ้อนทางสูติศาสตร์ที่พบมากที่สุดในสตรีตั้งครรภ์ที่คลอดก่อนกำหนด คือ ภาวะโลหิตจาง ระบบทางเดินปัสสาวะติดเชื้อ โรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ และภาวะแท้งคุกคาม ส่วนปัจจัยร่วมที่มีผลต่อการคลอดก่อนกำหนด คือ ภาวะโลหิตจางและการเป็นพาหะของโรคธาลัสซีเมีย</p> <p><strong>ข้อเสนอแนะ</strong>: ควรมีการคัดกรองและซักประวัติความเสี่ยงต่อการคลอดก่อนกำหนด การให้บริการฝากครรภ์ที่มีคุณภาพทั้งในกลุ่มปกติและกลุ่มความเสี่ยงสูง รวมถึงการส่งเสริมความรู้ในการดูแลตนเองอย่างเหมาะสมในขณะตั้งครรภ์ และการส่งเสริมความรอบรู้ให้กับหญิงตั้งครรภ์ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยลดอัตราการคลอดก่อนกำหนดได้</p> <p><strong>คำสำคัญ</strong>: หญิงตั้งครรภ์, ปัจจัยที่มีผลต่อการคลอดก่อนกำหนด</p> 2025-09-23T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ยโสธรเวชสาร https://he04.tci-thaijo.org/index.php/hciyasohos/article/view/3255 ผลของโปรแกรมการจัดการความรู้ต่อการจัดการมูลฝอยในครัวเรือนของประชาชน ตำบลกระจาย อำเภอป่าติ้ว จังหวัดยโสธร 2025-07-02T09:39:32+07:00 ทิพย์สุดา อัตเนย์ tipsuda.eyeye@gmail.com ประชุมพร เลาห์ประเสริฐ tipsuda.eyeye@gmail.com จตุพร เหลืองอุบล tipsuda.eyeye@gmail.com <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;ปัญหาปริมาณขยะมูลฝอยที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นับเป็นประเด็นสำคัญด้านสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะในชุมชนชนบทที่ยังขาดระบบการจัดการมูลฝอยที่มีโครงสร้างชัดเจน การวิจัยกึ่งทดลองครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินประสิทธิผลของโปรแกรมการจัดการความรู้ต่อการจัดการมูลฝอยในครัวเรือนของประชาชน ตำบลกระจาย อำเภอป่าติ้ว จังหวัดยโสธร โดยมีผู้เข้าร่วมการวิจัยจำนวน 78 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม กลุ่มละ 39 คน โปรแกรมการจัดการความรู้ จัดขึ้นเป็นระยะเวลา 8 สัปดาห์ ประกอบด้วยกิจกรรมถ่ายทอดความรู้เชิงโครงสร้าง การสาธิตเชิงปฏิบัติ การแจกจ่ายถังขยะอินทรีย์ประจำครัวเรือน และการติดตามผลร่วมกับแรงจูงใจ การเก็บรวบรวมข้อมูลใช้แบบสอบถามที่ผ่านการตรวจสอบความตรงและความเชื่อมั่น เพื่อประเมินระดับความรู้และพฤติกรรมในการจัดการมูลฝอยอินทรีย์ และมีการบันทึกปริมาณมูลฝอยรายวัน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ Paired Samples&nbsp; &nbsp; &nbsp; t-test และ Independent Samples t-test ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.05</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลการศึกษาพบว่า ก่อนการทดลอง กลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมมีคะแนนเฉลี่ยความรู้ไม่แตกต่างกันทางสถิติ (p = 0.869) แต่หลังการทดลอง กลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยความรู้และพฤติกรรม ที่สูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p &lt; 0.001) รวมถึงสูงกว่าคะแนนก่อนการทดลอง&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;(p &lt; 0.001) ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความสำเร็จของโปรแกรม ได้แก่ กิจกรรมสาธิตและฝึกปฏิบัติที่ผู้เข้าร่วมได้ลงมือทำถังขยะอินทรีย์ประจำครัวเรือนด้วยตนเอง ร่วมกับการติดตามและมอบรางวัลอย่างต่อเนื่อง โดยกลุ่มทดลองมีอัตราการใช้ถังขยะอินทรีย์ประจำครัวเรือนครบ 100% และสามารถลดปริมาณมูลฝอยอินทรีย์ในชีวิตประจำวันได้อย่างมีนัยสำคัญ</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; โดยสรุป การวิจัยครั้งนี้กระบวนการการจัดการความรู้แบบมีส่วนร่วมในชุมชน ที่เน้นการเรียนรู้จากประสบการณ์ การเสริมแรงทางสังคม และความเหมาะสมตามบริบท สามารถแก้ไขปัญหาการจัดการมูลฝอยได้ สามารถประยุกต์ใช้เป็นต้นแบบสำหรับพื้นที่ที่มีทรัพยากรจำกัด เพื่อเสริมสร้างพฤติกรรมการจัดการขยะที่ยั่งยืนในระดับครัวเรือน</p> <p><strong>คำสำคัญ</strong>: การจัดการความรู้, การจัดการมูลฝอยในครัวเรือน, ถังขยะอินทรีย์ประจำครัวเรือน</p> 2025-09-23T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ยโสธรเวชสาร https://he04.tci-thaijo.org/index.php/hciyasohos/article/view/3264 การพัฒนารูปแบบในการควบคุมลูกน้ำเพื่อป้องกันโรคติดต่อจากยุงลาย โดยการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายในเขตเทศบาลเมืองยโสธร จังหวัดยโสธร 2025-07-02T09:38:24+07:00 ปริยวรรณ สัตบุตร 65011481034@msu.ac.th ประชุมพร เลาห์ประเสริฐ 65011481034@msu.ac.th จตุพร เหลืองอุบล 65011481034@msu.ac.th <p>การระบาดของโรคไข้เลือดออกและโรคติดต่อนำโดยยุงลายยังคงเป็นปัญหาสาธารณสุขระดับประเทศ โดยเฉพาะในเขตเมืองซึ่งมีปัจจัยแวดล้อมเอื้อต่อการเพาะพันธุ์ยุงลาย งานวิจัยนี้มุ่งพัฒนารูปแบบการควบคุมลูกน้ำเพื่อป้องกันโรคติดต่อจากยุงลายโดยอาศัยกระบวนการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่าย ในเขตเทศบาลเมืองยโสธร จังหวัดยโสธร โดยใช้การวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม (Participatory Action Research: PAR) ตามวงจร &nbsp;&nbsp;P-A-O-R ประกอบด้วยการวางแผน (Plan) ปฏิบัติ (Action) สังเกตผล (Observation) และสะท้อนผล (Reflection) กลุ่มเป้าหมายคือภาคีเครือข่ายประกอบด้วย 1) องค์กรภาครัฐ/เอกชนที่ปฏิบัติงานในพื้นที่เขตเทศบาลเมืองยโสธร 23 ชุมชน ได้แก่ บุคลากรขององคการปกครองสวนทองถิ่น/เอกชน บุคลากรในสวนสาธารณสุข บุคลากรในสวนของศึกษาธิการ จำนวน 53 คน 2) องค์กรชุมชนในพื้นที่เขตเทศบาลเมืองยโสธร &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;23 ชุมชน ได้แก่ อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมูบ้าน และคณะกรรมการชุมชน จำนวน 148 คน&nbsp; เก็บรวบรวมข้อมูลทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ วิเคราะห์ด้วยสถิติเชิงพรรณนา สถิติเชิงอนุมาน (paired t-test) และการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า หลังการพัฒนาโมเดล BANTHA ซึ่งประกอบด้วย 1) การระดมสมอง (Brainstorming; B) 2) การทำข้อตกลงร่วมกัน (Agreement; A) 3) ภาคีเครือข่าย (Network; N) 4) การทำงานเป็นทีม (Team; T) 5) การมีสุขอนามัยที่ดี (Hygiene; H) 6) มีการยอมรับ (Acceptance; A) ) ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติใน 3 ด้าน คือ ความรู้เกี่ยวกับการป้องกันและควบคุมโรคติดต่อนำโดยยุงลายสูงกว่าก่อนพัฒนา (p &lt; 0.001), การมีส่วนร่วมของชุมชนสูงกว่าก่อนพัฒนา (p &lt; 0.001) และความพึงพอใจต่อการดำเนินงานสูงกว่าก่อนพัฒนา (p &lt; 0.001) อีกทั้งค่าดัชนีลูกน้ำยุงลาย (House Index, Container Index, Breteau Index) ลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p &lt; .001) โดยสรุปผลการวิจัยนี้แสดงถึงศักยภาพของชุมชนในการป้องกันโรคอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะเมื่อได้รับการสนับสนุนผ่านกลไกที่ส่งเสริมการมีส่วนร่วมและการเสริมพลังอำนาจ (empowerment) ผลลัพธ์สามารถขยายผลสู่การวางแผนนโยบายสุขภาพเชิงพื้นที่และการป้องกันโรคติดต่อนำโดยแมลงในระดับประเทศ</p> <p>&nbsp;</p> <p><strong>คำสำคัญ:</strong> การควบคุมลูกน้ำ, ยุงลาย, การมีส่วนร่วมของชุมชน, PAR, โมเดล BANTHA</p> 2025-09-24T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ยโสธรเวชสาร https://he04.tci-thaijo.org/index.php/hciyasohos/article/view/3228 ความชุกและปัจจัยเสี่ยงต่อการพลัดตกหกล้มในผู้สูงอายุที่เข้ารับบริการในคลินิกโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง โรงพยาบาลทรายมูล 2025-06-16T14:56:40+07:00 ธรรมนิตย์ เรืองชัยจตุพร thammaknight@gmail.com <p><strong>หลักการและเหตุผล</strong><strong>: </strong>การหกล้มเป็นปัญหาสุขภาพที่สำคัญในผู้สูงอายุ ทำให้เกิดการบาดเจ็บที่รุนแรงและส่งผลต่อสุขภาพผู้สูงอายุ ครอบครัวและสังคม เป็นสาเหตุของการเสียชีวิตในผู้สูงอายุ การประเมินปัจจัยเสี่ยงต่อการหกล้มจะเป็นการเตรียมความพร้อมในการดูแลและวางแผนในการป้องกันการหกล้มในผู้สูงอายุโรคเรื้อรังให้เหมาะสมกับบริบทสังคมของผู้สูงอายุได้</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>: </strong>&nbsp;เพื่อศึกษาความชุกของการพลัดตกหกล้มและวิเคราะห์ปัจจัยเสี่ยงที่มีความสัมพันธ์กับการพลัดตกหกล้มในผู้สูงอายุที่เข้ารับบริการในคลินิกโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง โรงพยาบาลทรายมูล จังหวัดยโสธร</p> <p><strong>วิธีการวิจัย: </strong>การวิจัยนี้เป็นการศึกษาเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวาง (Cross-sectional Descriptive Study) โดยศึกษาผู้สูงอายุ (อายุ 60 ปีขึ้นไป) ที่เข้ารับบริการในคลินิกโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง โรงพยาบาลทรายมูล จำนวน 300 คน ระหว่างวันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567 ถึง 30 มิถุนายน พ.ศ. 2568 โดยศึกษาปัจจัยที่เกี่ยวข้อง เช่น ข้อมูลส่วนบุคคล ประวัติการพลัดตกหกล้ม การใช้ยา และข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อม เครื่องมือที่ใช้ประกอบด้วย แบบสอบถามข้อมูลทั่วไป แบบประเมินความเสี่ยงต่อการพลัดตกหกล้มในผู้สูงอายุไทยในชุมชน (Thai Fall Risk Assessment Test; Thai-FRAT) และแบบทดสอบความสามารถในการทรงตัว (Time Up and Go Test; TUGT) วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาสำหรับข้อมูลทั่วไปและสถิติการถดถอยโลจิสติกส์แบบทวิ (Binary Logistic Regression) เพื่อวิเคราะห์ปัจจัยเสี่ยงต่อการพลัดตกหกล้ม นำเสนอผลเป็นค่าอัตราส่วนออดส์ที่ปรับแล้ว (Adjusted Odds Ratio) พร้อมช่วงความเชื่อมั่น 95% กำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ p-value &lt; 0.05</p> <p><strong>ผลการวิจัย: </strong>ผู้สูงอายุมีประวัติการพลัดตกหกล้มร้อยละ 18.7 ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง (58.7%) มีอายุเฉลี่ย 67 ปี การประเมินความเสี่ยงด้วย Thai-FRAT พบผู้มีความเสี่ยงร้อยละ 52.3 และด้วย TUGT พบร้อยละ 55.7 ปัจจัยเสี่ยงที่มีนัยสำคัญทางสถิติ ได้แก่ เพศหญิง (Adj.OR=2.3, 95% CI=1.2-4.4, p=0.012) ระดับความดันโลหิตสูงกว่าปกติ (Adj.OR=2.1, 95% CI=1.1-4.0, p=0.025) การเดินในบ้านโดยใส่ถุงเท้า (Adj.OR=2.8, 95% CI=1.3-6.2, p=0.011) และลักษณะพื้นในตัวบ้านเป็นพื้นไม้เป็นปัจจัยป้องกัน (Adj.OR=0.4, 95% CI=0.2-0.8, p=0.018) แบบจำลองสามารถทำนายโอกาสเกิดการพลัดตกหกล้มได้ร้อยละ 28.5 (Nagelkerke R² = 0.285)</p> <p><strong>สรุป: </strong>ผู้สูงอายุโรคเรื้อรังมีความชุกการพลัดตกหกล้มร้อยละ 18.7 ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ ได้แก่ เพศหญิง ความดันโลหิตสูง และการใส่ถุงเท้าเดินในบ้าน ในขณะที่พื้นไม้เป็นปัจจัยป้องกัน ผลการศึกษาสามารถนำไปใช้ในการพัฒนาแนวทางป้องกันการพลัดตกหกล้มในผู้สูงอายุอย่างมีประสิทธิภาพ</p> <p><strong>คำสำคัญ: </strong>การพลัดตกหกล้ม, ผู้สูงอายุ, โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง, ปัจจัยเสี่ยง, Thai-FRAT, Time Up and Go Test</p> 2025-09-24T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ยโสธรเวชสาร https://he04.tci-thaijo.org/index.php/hciyasohos/article/view/3357 ความสัมพันธ์ของระดับน้ำตาลในเลือดกับผลการมองเห็นหลังการผ่าตัดต้อกระจกในผู้ป่วยเบาหวาน โรงพยาบาลยโสธร 2025-07-07T17:22:04+07:00 จิรวัฒน์ วิวัฒนโสภา jirawat.wiw@gmail.com <p><strong>หลักการและเหตุผล</strong><strong>: </strong>ต้อกระจกเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการสูญเสียการมองเห็นที่แก้ไขได้โดยการผ่าตัด การเตรียมผู้ป่วยก่อนการผ่าตัดที่ดีจะทำให้มีผลลัพธ์หลังการผ่าตัดเป็นที่น่าพอใจ โดยเฉพาะในผู้ป่วยเบาหวานที่ได้รับการผ่าตัดต้อกระจกควรควบคุมระดับน้ำตาลให้เหมาะสมก่อนการผ่าตัดเพื่อที่จะได้มีผลลัพธ์การมองเห็นที่ดีและไม่มีภาวะแทรกซ้อนต่างๆ เกิดขึ้น</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong>: &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างระดับน้ำตาลในเลือดหลังอดอาหาร (Fasting Blood Sugar) ที่เจาะช่วงเช้าก่อนการผ่าตัดต้อกระจกกับผลลัพธ์การมองเห็นและภาวะแทรกซ้อนหลังการผ่าตัดในผู้ป่วยเบาหวาน โรงพยาบาลยโสธร</p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong>: &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; การวิจัยนี้เป็นการศึกษาแบบย้อนหลัง (Retrospective Chart Review) โดยเก็บข้อมูลจากเวชระเบียนผู้ป่วยเบาหวานที่ได้รับการผ่าตัดต้อกระจกที่โรงพยาบาลยโสธร ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2567 – 31 ธันวาคม พ.ศ. 2567 แบ่งเป็น 3 กลุ่มตามระดับน้ำตาลในเลือดหลังอดอาหารที่เจาะช่วงเช้าก่อนการผ่าตัด คือ กลุ่มที่ 1 ระดับน้ำตาลในเลือดน้อยกว่า 140 มก./ดล. กลุ่มที่ 2 ที่ระดับน้ำตาลในเลือด 140-179 มก./ดล. กลุ่มที่ 3 ระดับน้ำตาลในเลือด 180 มก./ดล. ขึ้นไป โดยดูผลลัพธ์การมองเห็นหลังการผ่าตัด (LogMAR VA) และภาวะแทรกซ้อนที่อาจจะเกิดขึ้นหลังการผ่าตัดต้อกระจก ได้แก่ กระจกตาบวม ความดันตาสูง ถุงหุ้มเลนส์ขุ่น จุดรับภาพชัดบวม เบาหวานขึ้นจอประสาทตา และการติดเชื้อในลูกตา ที่ 1 สัปดาห์, 1 เดือน, 3 เดือน นำผลที่ได้มาเปรียบเทียบที่ระยะเวลาต่างๆ</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong>: &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผู้ป่วยเบาหวานที่ได้รับการผ่าตัดต้อกระจกในโรงพยาบาลยโสธรทั้งหมด 283 ตา แบ่งเป็น 3 ได้แก่ กลุ่มที่ 1 ทั้งหมด 164 ตา, กลุ่มที่ 2 ทั้งหมด 76 ตา, กลุ่มที่ 3 ทั้งหมด 44 ตา เมื่อติดตามผู้ป่วยจนครบ 3 เดือน พบว่าผลลัพธ์การมองเห็น ผู้ป่วยกลุ่มที่ 1 อยู่ที่ 0.34 ± 0.34, กลุ่มที่ 2 อยู่ที่ 0.30 ± 0.24, กลุ่มที่ 3 อยู่ที่ 0.33 ± 0.28 ซึ่งไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value = 0.581) และเมื่อดูภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นหลังการผ่าตัด ได้แก่ กระจกตาบวม ความดันตาสูง ถุงหุ้มเลนส์ขุ่น จุดรับภาพชัดบวม เบาหวานขึ้นจอประสาทตา พบว่าทั้ง 3 กลุ่มไม่ได้มีภาวะแทรกซ้อนต่างๆ เหล่านี้เกิดขึ้นแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ</p> <p><strong>สรุป</strong>:&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ระดับน้ำตาลในเลือดหลังอดอาหารที่เจาะช่วงเช้าก่อนการผ่าตัดต้อกระจกในผู้ป่วยเบาหวานไม่ได้มีความสัมพันธ์กับผลลัพธ์การมองเห็นและภาวะแทรกซ้อนต่างๆ หลังการผ่าตัด เมื่อติดตามเป็นระยะเวลา 3 เดือน</p> <p><strong>คำสำคัญ</strong>:&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ต้อกระจก, ระดับน้ำตาลในเลือดหลังอดอาหาร, ผู้ป่วยเบาหวาน, ผลลัพธ์การมองเห็น, ภาวะแทรกซ้อนหลังการผ่าตัดต้อกระจก</p> 2025-09-24T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ยโสธรเวชสาร