https://he04.tci-thaijo.org/index.php/hciyasohos/issue/feed ยโสธรเวชสาร 2025-11-03T14:16:27+07:00 นพ.บพิตร สัสสี academicyhos@gmail.com Open Journal Systems <p style="margin: 0cm;"><strong>ยโสธรเวชสาร </strong>เป็นวารสารวิชาการจัดทำขึ้นเพื่อเผยแพร่ผลงานทางวิชาการ และเป็นเวทีเสนอผลงานทางวิชาการและงานวิจัยแก่ผู้ที่อยู่ในวงการสาธารณสุข มีความยินดีรับลงพิมพ์บทความวิชาการ ตลอดจนบทความด้านอื่นๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนางานด้านการแพทย์ พยาบาล วิทยาศาสตร์สุขภาพ และสาธารณสุขทั้งในและนอกองค์กร รวมทั้งผู้สนใจสืบค้นข้อมูล</p> <p style="margin: 0cm;"> </p> <p style="margin: 0cm;"><strong>วัตถุประสงค์</strong></p> <p>เพื่อเผยแพร่และฟื้นฟูผลงานทางวิชาการและงานวิจัยทางการแพทย์และสาธารณสุข</p> https://he04.tci-thaijo.org/index.php/hciyasohos/article/view/3439 การพัฒนารูปแบบการพยาบาลผู้ป่วยกระดูกรอบข้อสะโพกหักที่ได้รับการผ่าตัดยึดตรึงกระดูกภายใน หอผู้ป่วยศัลยกรรมกระดูกและข้อหญิง โรงพยาบาลมหาสารคาม 2025-10-28T10:46:57+07:00 นิตวิภา อุ่นทรวง Nid119119@gmail.com อนุชา ไทยวงษ์ anucha.smnc@gmail.com รัศมี เกตุธานี Nid119119@gmail.com นภัทร วรรณโนมัย Nid119119@gmail.com <p><strong>ความสำคัญ: </strong>ภาวะกระดูกรอบข้อสะโพกหักเป็นปัญหาสุขภาพที่สำคัญ จำเป็นต้องได้รับการผ่าตัดยึดตรึงกระดูกภายในร่วมกับการวางแผนการดูแลที่ชัดเจน เพื่อส่งเสริมการฟื้นฟูสภาพและการมีคุณภาพชีวิตที่ดี</p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong>: การวิจัยและพัฒนา ประกอบด้วย 4 ระยะ ได้แก่ การวิเคราะห์สถานการณ์ การพัฒนาและตรวจสอบคุณภาพรูปแบบ การนำไปใช้จริง และการประเมินผล กลุ่มตัวอย่าง ประกอบด้วย พยาบาลวิชาชีพ 13 คน และผู้ป่วย 60 คน แบ่งเป็นกลุ่มก่อนพัฒนาและหลังพัฒนารูปแบบ กลุ่มละ 30 คน เครื่องมือวิจัย ประกอบด้วย แนวคำถามสำหรับการสนทนากลุ่ม แบบบันทึกข้อมูลทั่วไปและข้อมูลผลลัพธ์ด้านผู้ป่วย แบบวัดความรู้ แบบประเมินสมรรถนะการปฏิบัติการพยาบาล แบบประเมินความพึงพอใจของพยาบาล และแบบประเมินความพึงพอใจของผู้ป่วย วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา สถิติทดสอบทีแบบรายคู่ สถิติทดสอบไคสแควร์ และการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong> : ระยะวิเคราะห์สถานการณ์พบว่า รูปแบบการพยาบาลผู้ป่วยกระดูกรอบข้อสะโพกหักที่ได้รับการผ่าตัดยึดตรึงกระดูกภายในยังไม่ชัดเจนและไม่เป็นรูปธรรม ตลอดจนการปฏิบัติการพยาบาลมีความหลากหลายขึ้นอยู่กับทักษะและประสบการณ์ ระยะพัฒนาพบว่า เกิดรูปแบบการพยาบาลที่เป็นรูปธรรม สอดคล้องกับบริบทของหน่วยงาน เรียกว่า HIP CARE Model ประกอบด้วย 7 หมวดกิจกรรม ได้แก่ 1) การดูแลแบบองค์รวม 2) ทีมสหวิชาชีพ 3) การจัดการความปวด 4) การดูแลต่อเนื่อง 5) การส่งเสริมการเคลื่อนไหวร่างกายโดยเร็ว 6) การฟื้นฟูร่างกาย และ 7) การให้ความรู้และวางแผนจำหน่าย ผ่านการตรวจสอบคุณภาพโดยผู้ทรงคุณวุฒิ ภายหลังการนำไปใช้ภายใต้บริบทของหน่วยงานพบว่า ผลลัพธ์ด้านผู้ป่วยกลุ่มหลังการพัฒนารูปแบบ ได้แก่ การเกิดแผลกดทับ ลิ่มเลือดอุดตันในปอด และระดับความปวดลดลงและน้อยกว่ากลุ่มก่อนพัฒนาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ และผลลัพธ์ด้านการพยาบาลพบว่าพยาบาลผู้ปฏิบัติมีความรู้ สมรรถนะ และความพึงพอใจเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ</p> <p><strong>สรุปผลการศึกษา: </strong>รูปแบบ HIP CARE Model ที่พัฒนาขึ้นสามารถยกระดับการดูแลผู้ป่วยกระดูกรอบข้อสะโพกหักได้อย่างมีประสิทธิภาพ เหมาะสมในการนำไปใช้ในบริบทโรงพยาบาล</p> 2025-11-25T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ยโสธรเวชสาร https://he04.tci-thaijo.org/index.php/hciyasohos/article/view/3581 ผลของโปรแกรมการดูแลผู้สูงอายุด้วยระบบ 3 หมอ ต่อการลดความเสี่ยงต่อการพลัดตกหกล้มในผู้สูงอายุในพื้นที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านทุ่งเกษม ตำบลโนนผึ้ง อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี 2025-10-06T13:31:10+07:00 ใจเพชร นิลบารันต์ Jaiphet477@gmail.com สุคนธ์ทิพย์ อรุณกมลพัฒน์ sukhontip@scphub.ac.th <p>การวิจัยแบบกึ่งทดลองครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการดูแลผู้สูงอายุด้วยระบบ 3 หมอ ในการลดความเสี่ยงต่อการพลัดตกหกล้มของผู้สูงอายุในพื้นที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านทุ่งเกษม ตำบลโนนผึ้ง อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้สูงอายุที่มีความเสี่ยงต่อการพลัดตกหกล้มจากแบบคัดกรอง Thai FRAT ตั้งแต่ระดับคะแนน 4 คะแนนขึ้นไป โดยใช้การคำนวณขนาดตัวอย่าง กลุ่มละ 34 คน กลุ่มทดลอง คือ ผู้สูงอายุที่มีความเสี่ยงต่อการพลัดตกหกล้มในเขตรับผิดชอบของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลโนนผึ้ง และกลุ่มเปรียบเทียบ คือ ผู้สูงอายุที่มีความเสี่ยงต่อการพลัดตกหกล้มในเขตรับผิดชอบของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลก่อ ตำบลแสนสุข อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี โดยกลุ่มทดลองได้รับโปรแกรมการดูแลผู้สูงอายุด้วยระบบ 3 หมอ ที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้น ส่วนกลุ่มเปรียบเทียบได้รับการดูแลสุขภาพตามมาตรฐานกระทรวงสาธารณสุข เป็นระยะเวลา 12 สัปดาห์ เก็บข้อมูลก่อนและหลังการทดลอง ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์–เมษายน 2568 โดยใช้แบบสอบถามการรับรู้ ความสามารถแห่งตน พฤติกรรมการป้องกันการหกล้มที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นโดยมีระดับความเชื่อมั่นมากกว่า 0.7 ขึ้นไป และการประเมินความความเสี่ยงต่อภาวะหกล้มของผู้สูงอายุ การประเมินความสามารถในการเคลื่อนไหวและการทรงตัว และความแข็งแรงของกล้ามเนื้อขา วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและค่ามัธยฐาน วิเคราะห์ความแตกต่างของค่าเฉลี่ยของกลุ่มทดลองและกลุ่มเปรียบเทียบ ก่อนและหลังการทดลองด้วยสถิติ t-test กำหนดนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p> <p> </p> <p> </p> <p> </p> <p> ผลการวิจัยพบว่า หลังการได้รับโปรแกรม กลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยความรู้เกี่ยวกับการป้องกันการหกล้มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ (p &lt; 0.001) สะท้อนถึงความเข้าใจในการระบุปัจจัยเสี่ยงและการปรับสิ่งแวดล้อมภายในบ้านให้ปลอดภัยมากขึ้น ในด้านการรับรู้ตามทฤษฎีแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพ พบว่ามีการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งด้านการรับรู้ความรุนแรงของผลกระทบจากการหกล้ม (p &lt; 0.001) การรับรู้โอกาสเสี่ยง (p &lt; 0.001) การรับรู้ประโยชน์และอุปสรรคต่อการปฏิบัติตัว (p &lt; 0.001) รวมถึง การรับรู้ความสามารถแห่งตน (p = 0.043) แสดงถึงความมั่นใจของผู้สูงอายุในการดูแลตนเองเพิ่มขึ้น ด้านพฤติกรรมการป้องกันการพลัดตกหกล้ม มีค่าเฉลี่ยสูงกว่ากลุ่มเปรียบเทียบอย่างมีนัยสำคัญ (p &lt; 0.001) โดยผู้สูงอายุมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เช่น การออกกำลังกายสม่ำเสมอ การใช้ราวจับในห้องน้ำ และการสวมรองเท้าที่เหมาะสมมากขึ้น นอกจากนี้ยังพบว่า ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อขา การเคลื่อนไหว และการทรงตัวดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ (p = 0.001) และระดับความเสี่ยงต่อการพลัดตกหกล้มลดลงอย่างชัดเจน</p> <p>สรุปได้ว่าโปรแกรมการดูแลผู้สูงอายุด้วยระบบ 3 หมอมีประสิทธิภาพในการเสริมสร้างความรู้ การรับรู้ และพฤติกรรมการป้องกันการหกล้ม รวมทั้งพัฒนาสมรรถภาพทางกาย ส่งผลให้ผู้สูงอายุสามารถลดความเสี่ยงต่อการพลัดตกหกล้มได้อย่างมีประสิทธิผล</p> 2025-11-03T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ยโสธรเวชสาร