ยโสธรเวชสาร https://he04.tci-thaijo.org/index.php/hciyasohos <p style="margin: 0cm;"><strong>ยโสธรเวชสาร </strong>เป็นวารสารวิชาการจัดทำขึ้นเพื่อเผยแพร่ผลงานทางวิชาการ และเป็นเวทีเสนอผลงานทางวิชาการและงานวิจัยแก่ผู้ที่อยู่ในวงการสาธารณสุข มีความยินดีรับลงพิมพ์บทความวิชาการ ตลอดจนบทความด้านอื่นๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนางานด้านการแพทย์ พยาบาล วิทยาศาสตร์สุขภาพ และสาธารณสุขทั้งในและนอกองค์กร รวมทั้งผู้สนใจสืบค้นข้อมูล</p> <p style="margin: 0cm;"> </p> <p style="margin: 0cm;"><strong>วัตถุประสงค์</strong></p> <p>เพื่อเผยแพร่และฟื้นฟูผลงานทางวิชาการและงานวิจัยทางการแพทย์และสาธารณสุข</p> โรงพยาบาลยโสธร th-TH ยโสธรเวชสาร 2985-0525 <p>บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของยโสธรเวชสาร</p> ผลการพัฒนารูปแบบการเฝ้าระวังและป้องกันปัญหาสุขภาพจิตของผู้ดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงในชุมชน ในเขตตำบลสวาท อำเภอเลิงนกทา จังหวัดยโสธร https://he04.tci-thaijo.org/index.php/hciyasohos/article/view/2841 <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>:</strong> เพื่อพัฒนาและศึกษาผลของรูปแบบการเฝ้าระวังและป้องกันปัญหาสุขภาพจิตต่อความรอบรู้ด้านสุขภาพจิต พฤติกรรมการดูแลสุขภาพจิต และคุณภาพชีวิตด้านสุขภาพของผู้ดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง ในเขตตำบลสวาท อำเภอเลิงนกทา จังหวัดยโสธร</p> <p><strong>วิธีการ</strong><strong>:</strong> การวิจัยเชิงปฏิบัติการ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาและศึกษาผลการพัฒนารูปแบบการเฝ้าระวังและป้องกันปัญหาสุขภาพจิตของผู้ดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงในชุมชน ในเขตตำบลสวาท อำเภอเลิงนกทา จังหวัดยโสธร ศึกษาในกลุ่มผู้พัฒนารูปแบบ และกลุ่มผู้ดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงในชุมชน จำนวน 116 คน ด้วยกระบวนการ PAOR เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแนวคำถามสำหรับการสนทนากลุ่ม แบบสอบถามความรอบรู้ด้านสุขภาพจิต พฤติกรรมการดูแลสุขภาพจิต และคุณภาพชีวิตผู้ดูแลผู้สูงอายุ มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.79 วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณด้วยสถิติเชิงพรรณนา และสถิติเชิงอนุมานด้วย Paired Sample T-test</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong><strong>:</strong> รูปแบบการเฝ้าระวังและป้องกันปัญหาสุขภาพจิตของผู้ดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงในชุมชน ประกอบด้วย 1) พัฒนาทักษะการดูแลผู้สูงอายุและการดูแลสุขภาพจิตผู้ดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง และเสริมทักษะผ่านแอปพลิเคชันในสมาร์ตโฟนด้วยแชทบอท 2) จัดตั้งกลุ่มเพื่อนช่วยเพื่อน 3) การคัดกรองสุขภาพจิตผู้ดูแลผู้สูงอายุ จำแนกการดูแลและเฝ้าระวังเป็น 3 ระดับตามความเสี่ยง 4) จัดทำระบบข้อมูลสารสนเทศ เพื่อการเฝ้าระวังปัญหาสุขภาพจิตในผู้ดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง ภายหลังการดำเนินงานตามรูปแบบส่งผลให้ความรอบรู้ด้านสุขภาพจิต และพฤติกรรมการดูแลสุขภาพจิตทั้งภาพรวมและรายด้านเพิ่มขึ้นจากก่อนการพัฒนาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value&lt;.001) ส่วนคุณภาพชีวิตภาพรวมเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value&lt;.001)</p> <p><strong>สรุป</strong><strong>:</strong> รูปแบบการเฝ้าระวังและป้องกันปัญหาสุขภาพจิตของผู้ดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงในชุมชน ที่ประกอบด้วยการพัฒนาทักษะอย่างต่อเนื่อง มีกลุ่มเพื่อนช่วยเพื่อน คัดกรองภาวะสุขภาพจิตและดูแลตามระดบความเสี่ยง โดยมีข้อมูลเพื่อการติดตาม ส่งผลให้ผู้ดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงลดปัญหาสุขภาพจิตลงได้</p> <p>&nbsp;</p> <p><strong>คำสำคัญ</strong>: ความรอบรู้ด้านสุขภาพจิต, พฤติกรรมการดูแลสุขภาพจิต, ผู้ดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง</p> <p><strong>&nbsp;</strong></p> <p><strong>&nbsp;</strong></p> <p><strong>&nbsp;</strong></p> <p><strong>&nbsp;</strong></p> <p><strong>&nbsp;</strong></p> <p><strong>&nbsp;</strong></p> เจนวิทย์ เวชกามา Copyright (c) 2025 ยโสธรเวชสาร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-06-21 2025-06-21 27 1 2712841 2712841 การพัฒนารูปแบบการดูแลผู้ป่วยเด็กโรคปอดอักเสบ โรงพยาบาลยโสธร https://he04.tci-thaijo.org/index.php/hciyasohos/article/view/3195 <p>การวิจัยนี้เป็นการวิจัยและพัฒนา มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาและศึกษาผลการพัฒนารูปแบบการดูแลผู้ป่วยเด็กโรคปอดอักเสบ โรงพยาบาลยโสธร</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; <strong>วิธีการศึกษา :</strong> การศึกษานี้ดำเนินการระหว่าง 6 มกราคม 2565 – 31 ตุลาคม 2565 ดำเนินการเป็น 4 ระยะ คือ ระยะที่ 1 ศึกษาสถานการณ์ ระยะที่ 2 พัฒนารูปแบบ ระยะที่ 3 ทดลองใช้ และระยะที่ 4 ประเมินผล กลุ่มตัวอย่างคัดเลือกตามเกณฑ์คัดเข้า ได้แก่ (1) ผู้ป่วยเด็กโรคปอดอักเสบ 56 คน และผู้ดูแลเด็ก 56 คน (2) พยาบาลวิชาชีพ 10 คน เครื่องมือที่ใช้ในการดำเนินการวิจัย ได้แก่ (1) แนวปฏิบัติการพยาบาลผู้ป่วยเด็กปอดอักเสบและการประเมินสัญญาณเตือนภาวะวิกกฤติ PEWS (2) โปรแกรมการพัฒนาศักยภาพพยาบาล ตรวจสอบความตรงโดยผู้ทรงคุณวุฒิ 5 ท่าน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ (1) แบบบันทึกตัวชี้วัด (2) แบบสอบถามความพึงพอใจของบุคลากร ทดสอบความเชื่อมั่น ได้ค่าสัมประสิทธิ์อัลฟาของครอนบาคทั้งฉบับ 0.81 (3) แบบวัดความรู้ของบุคลากร มีค่าความยากง่ายรวมเท่ากับ 0.77 และ (4) แบบสอบถามความพึงพอใจของผู้ป่วย ทดสอบความเชื่อมั่นมีค่าสัมประสิทธิ์อัลฟาของครอนบาคทั้งฉบับ ได้ 0.98 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาและเปรียบเทียบความแตกต่างโดยใช้สถิติ paired t-test&nbsp;</p> <p><strong>ผลการศึกษา : </strong>1) รูปแบบการพยาบาลผู้ป่วยเด็กโรคปอดอักเสบ ประกอบด้วย (1) แผนการดูแลผู้ป่วยเด็กโรคปอดอักเสบ (2) โปรแกรมการส่งเสริมความรู้เรื่องโรคปอดอักเสบของผู้ดูแลเด็ก (3) การคัดกรองด้วยระบบสัญญาณเตือนอาการเปลี่ยนแปลง (PEWS) และ (4) โปรแกรมการวางแผนการจำหน่าย โดยใช้รูปแบบการวางแผนจำหน่าย 5 ขั้นตอน ประกอบด้วย (4.1) การประเมินปัญหาและความต้องการการดูแลภายหลังการจำหน่าย (4.2) การวินิจฉัยปัญหาภายหลังการดูแลภายหลังจำหน่าย (4.3) การกำหนดแผนการจำหน่ายตาม D-Method (4.4) การปฏิบัติตามแผนการจำหน่าย และ (4.5) การประเมินผล</p> <p>2) ผลลัพธ์ของรูปแบบฯ ประกอบด้วย ผลลัพธ์ด้านผู้ให้บริการ ความพึงพอใจของบุคลากรโดยรวมอยู่ในระดับสูงมาก (&nbsp;= 4.73, S.D. = 0.15) และการปฏิบัติตามแนวทางการดูแล อยู่ช่วงร้อยละ 91.07 ผลลัพธ์ด้านผู้ใช้บริการ ได้แก่ จำนวนครั้งของย้าย ICU โดยไม่ได้วางแผน ภาวะการหายใจล้มเหลว และการกลับมารักษาซ้ำ ภายใน 28 วันลดลงอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .05 และความพึงพอใจของผู้ดูแลผู้ป่วยภาพรวมอยู่ในระดับสูงมาก (= 4.84, S.D. = 0.14) ความรู้ของผู้ดูแลเด็กหลังการพัฒนาสูงกว่าก่อนการพัฒนา (&nbsp;ก่อน = 8.83, &nbsp;หลัง = 16.38) อย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .05 &nbsp;</p> <p><strong>สรุป : </strong>ผลการพัฒนารูปแบบการดูแลผู้ป่วยเด็กโรคปอดอักเสบ ทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ดี ควรนำแนวทางการพัฒนาไปใช้ในกลุ่มผู้ป่วยโรคเรื้อรังอื่น ๆ</p> วรัญญา ศรีมารักษ์ จุฬาภรณ์ นิลภูมิ นิภารัตน์ อาจคำพันธ์ Copyright (c) 2025 ยโสธรเวชสาร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-05-23 2025-05-23 27 1 2713062 2713062 ปัจจัยที่ส่งผลต่อความแตกต่างของระยะเวลารอคอยการผ่าตัดในผู้ป่วยสูงอายุกระดูกสะโพกหัก ที่เข้ารับการดูแลรักษาในโรงพยาบาลยโสธร https://he04.tci-thaijo.org/index.php/hciyasohos/article/view/3196 <p><strong>หลักการและเหตุผล:</strong> กระดูกสะโพกหักเป็นปัญหาที่พบบ่อยในผู้สูงอายุ การรักษาโดยการผ่าตัดหลังเกิดเหตุเร็วที่สุดเป็นการรักษาที่จะช่วยลดภาระแทรกซ้อนและอัตราการเสียชีวิต เพิ่มอัตราการกลับมามีความสามารถในการประกอบกิจวัตรประจำวันที่ดีกว่าผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดหลังเกิดเหตุล่าช้า</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong>: เพื่อวิเคราะห์ปัจจัยที่ส่งผลต่อความแตกต่างของระยะเวลารอคอยการผ่าตัดในผู้ป่วยสูงอายุกระดูกสะโพกหัก ที่เข้ารับการดูแลรักษาในโรงพยาบาลยโสธร</p> <p><strong>วิธีการศึกษา:</strong> ใช้รูปแบบการศึกษาเชิงพรรณนา กลุ่มตัวอย่างคือผู้ป่วยกระดูกสะโพกหักจำนวนทั้งสิ้น 67 ราย แบ่งกลุ่มเป็นผู้ที่ได้รับการผ่าตัดภายใน 48 ชั่วโมง (n=41) และผู้ที่ได้รับการผ่าตัดนานกว่า 48 ชั่วโมง (n=26) วิเคราะห์ความสัมพันธ์ด้วย Chi-square test สำหรับข้อมูลเชิงคุณภาพ และ Mann-Whitney U test สำหรับข้อมูลเชิงปริมาณ จากนั้นวิเคราะห์แบบพหุตัวแปรด้วย Logistic regression &nbsp;</p> <p><strong>ผลการศึกษา:</strong> &nbsp;พบว่าปัจจัยก่อนเข้ารับการดูแลรักษาที่มีความสัมพันธ์กับระยะเวลารอคอยการผ่าตัด ได้แก่ การมีโรคประจำตัว (OR = 6.84, 95% CI: 1.17-39.96) การไม่เข้ารับการรักษาทันทีหลังบาดเจ็บ (OR = 3.81, 95% CI: 1.18-12.37) และระยะเวลาจากที่เกิดเหตุถึงโรงพยาบาลยโสธรนานเกิน 3 ชั่วโมง (OR = 4.67, 95% CI: 1.45-15.02) ส่วนปัจจัยระหว่างการดูแลรักษาที่มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ได้แก่ ความพร้อมของผู้ป่วย (OR = 0.24, 95% CI: 0.07-0.82) และการให้บริการตามแผนผ่าตัด (p&lt;0.001) ข้อเสนอแนะจากการศึกษาคือ ควรพัฒนาแนวทางในการเตรียมความพร้อมก่อนผ่าตัดที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพสำหรับผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว ให้ความรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับความสำคัญของการเข้ารับการรักษาทันทีหลังเกิดอุบัติเหตุ พัฒนาระบบการส่งต่อผู้ป่วย และปรับปรุงระบบบริการผ่าตัดเพื่อลดปัญหาและอุปสรรคในการให้บริการตามแผน</p> <p><strong>สรุปและข้อเสนอแนะ</strong>:ควรพัฒนาแนวทางในการเตรียมความพร้อมก่อนผ่าตัดที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพสำหรับผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว ให้ความรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับความสำคัญของการเข้ารับการรักษาทันทีหลังเกิดอุบัติเหตุ พัฒนาระบบการส่งต่อผู้ป่วย และปรับปรุงระบบบริการผ่าตัดเพื่อลดปัญหาและอุปสรรคในการให้บริการตามแผน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;</p> เกื้อกูล พิทักษ์ราษฎร์ สถาพร มุ่งทวีพงษา จิรวรรณ ศิลธรรม Copyright (c) 2025 ยโสธรเวชสาร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-05-01 2025-05-01 27 1 2713061 2713061 ปัจจัยที่สัมพันธ์กับภาวะเยื่อบุช่องท้องอักเสบในผู้ป่วยที่ล้างไตทางช่องท้องชนิดต่อเนื่อง โรงพยาบาลกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ https://he04.tci-thaijo.org/index.php/hciyasohos/article/view/3233 <p><strong>ความสำคัญ:</strong> การล้างไตทางช่องท้องเป็นการบำบัดทดแทนไตที่ได้รับความนิยมในผู้ป่วยสิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายต่ำกว่าการฟอกเลือดและผู้ป่วยสามารถทำได้เองที่บ้าน อย่างไรก็ตามภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญของวิธีนี้คือการติดเชื้อในช่องท้อง</p> <p><strong>วัตถุประสงค์:</strong> เพื่อศึกษาอุบัติการณ์ของเยื่อบุผนังช่องท้องอักเสบ อาการแสดง เชื้อก่อโรค ปัจจัยเสี่ยง และผลลัพธ์ของการรักษาของผู้ป่วยล้างไตทางช่องท้อง</p> <p><strong>วิธีการศึกษา: </strong>การศึกษาข้อมูลย้อนหลัง กลุ่มตัวอย่าง คือ เวชระเบียนผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยโรคไตวายเรื้อรังที่เข้ารับการรักษาโดยล้างไตทางช่องท้องในโรงพยาบาลกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ ตั้งแต่เดือน ตุลาคม พ.ศ. 2564 ถึงกันยายน พ.ศ. 2566 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ สถิติเชิงพรรณนา (ร้อยละค่าเฉลี่ยส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน) สถิติไคว์สแคว การวิเคราะห์ ตัวแปรเชิงเดี่ยว และการวิเคราะห์ตัวแปรเชิงพหุโดยกำหนดระดับนัยสำคัญที่ p &lt;0.05</p> <p><strong>ผลการศึกษา:</strong> กลุ่มภาวะเยื่อบุช่องท้องอักเสบส่วนมากเป็นเพศหญิงร้อยละ 57.75 อายุเฉลี่ย 53.84 ปี เชื้อแบคทีเรียที่พบมากที่สุดคือ <em>Staphylococcus coagulase negative, Staphylococcus aureus, Klebsiella pneumoniae</em> และ <em>Escherichia coli</em> และกรณีที่เพาะเชื้อไม่ขึ้น ซึ่งพบร้อยละ 21.83 ของกลุ่มติดเชื้อ เมื่อทำการวิเคราะห์ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการติดเชื้อแบคทีเรียในผู้ป่วยที่ได้รับการล้างไตทางช่องท้อง พบว่าปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อการติดเชื้อแบคทีเรียของผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังที่ได้รับการล้างไตทางช่องท้อง ได้แก่ ผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวาน (ORadj. = 3.10, 95% CI: 1.33-15.24) ผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวานและความดัน (ORadj. = 2.92, 95% CI: 1.25-6.78) ผู้ป่วยที่มีระดับน้ำตาลในเลือดมากกว่า 140 mg/dl (ORadj. = 2.85, 95% CI: 1.48-1.50) ผู้ป่วยที่มีระดับอัลบลูมินน้อยกว่าหรือเท่ากับ 3.5 mg/dl (ORadj. = 1.72, 95% CI: 1.41-5.28)&nbsp;</p> <p><strong>สรุปผลการศึกษา:</strong> ผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังที่ได้รับการล้างไตทางช่องท้องที่เป็นโรคเบาหวาน เป็นโรคเบาหวานร่วมกับโรคความดัน ผู้ป่วยที่มีระดับน้ำตาลในเลือดมากกว่า 140 mg/dl และผู้ป่วยที่มีระดับอัลบลูมินน้อยกว่าหรือเท่ากับ 3.5 mg/dl เป็นกลุ่มเสี่ยงต่อการติดเชื้อแบคทีเรียในช่องท้อง ผู้ป่วยกลุ่มนี้ควรจะได้รับการดูแลและเฝ้าระวังเป็นพิเศษจากบุคลากรทางการแพทย์</p> หรรษา คิดเข่ม Copyright (c) 2025 ยโสธรเวชสาร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-05-01 2025-05-01 27 1 2712479 2712479 ปัจจัยที่่ส่งผลต่อการเสื่อมของไตในผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง ระยะที่่ 3 และ 4 โรงพยาบาลวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี https://he04.tci-thaijo.org/index.php/hciyasohos/article/view/3251 <p><strong>ที่มา:</strong> โรคไตเรื้อรังเป็นปัญหาสาธารณสุขสำคัญของประเทศไทย โดยเฉพาะในระยะที่ 3 และ 4 ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง การศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการเสื่อมของไตจึงมีความสำคัญในการวางแผนการดูแลรักษา</p> <p><strong>วัตถุประสงค์: </strong>เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการเสื่อมของไตในผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะที่ 3 และ 4 ที่รับการรักษา ณ โรงพยาบาลวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี</p> <p><strong>วิธีการศึกษา: </strong>การวิจัยเชิงวิเคราะห์แบบย้อนหลัง ในเวชระเบียนผู้ป่วยได้รับการวินิจฉัยภาวะไตวายเรื้อรัง ระยะที่ 3 ถึง ระยะที่ 4 จำนวน 210 ราย ที่มารับการรักษาระหว่างเดือนตุลาคม 2565 ถึงตุลาคม 2566 แบ่งกลุ่มตามอัตราการเสื่อมของไตเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่มีอัตราการลดลงของ eGFR น้อยกว่า 5 และมากกว่าหรือเท่ากับ 5 มล./นาที/1.73 ตร.ม. ต่อปี โดยศึกษาปัจจัยทั่วไป ปัจจัยด้านสุขภาพ&nbsp; ได้แก่&nbsp; ดัชนีมวลกาย โรคร่วม ความดันโลหิต ภาวะซีด ภาวะไขมันในเลือดสูง ระดับน้ำตาลในเลือด การใช้ยาลดระดับน้ำตาลในเลือด การใช้ยา ACEIs/ARBs การใช้ยา Statin ปัจจัยทั่วไป ปัจจัยด้านสุขภาพ&nbsp; การเกิดภาวะไตเสื่อม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ จำนวน ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติอนุมาน ได้แก่ Chi-Square และ Multiple Logistic Regression</p> <p><strong>ผลการศึกษา: </strong>ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการเสื่อมของไตอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ได้แก่ โรคเบาหวาน (OR 2.20, 95% CI: 1.21-4.01) การฉีด Insulin (OR 10.21, 95% CI: 5.12-20.35) ระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่า 200 มก./ดล. (OR 3.42, 95% CI: 1.30-9.02) ความดันโลหิต Systolic สูงกว่า 130 มม.ปรอท (OR 3.00, 95% CI: 1.59-5.66) และความดัน Systolic สูงสุดเกิน 180 มม.ปรอท (OR 5.61, 95% CI: 2.04-15.42) นอกจากนี้ยังพบว่าภาวะซีดที่มี Hematocrit ต่ำกว่าร้อยละ 30 สัมพันธ์กับการเสื่อมของไตอย่างมีนัยสำคัญ (OR 4.61, 95% CI: 1.90-11.18) ในด้านการใช้ยา พบว่าการใช้ยาขับปัสสาวะ (OR 3.93, 95% CI: 1.60-9.65) มีความสัมพันธ์กับการเสื่อมของไตที่เร็วขึ้น ขณะที่ยา ACEIs และ ARBs มีผลป้องกันการเสื่อมของไต (OR 0.44, 95% CI: 0.24-0.81)</p> <p><strong>สรุป:</strong> ปัจจัยสำคัญที่สัมพันธ์กับการเสื่อมของไตคือการควบคุมเบาหวานและความดันโลหิตที่ไม่ดี ภาวะซีด และการใช้ยาบางชนิด โดยเฉพาะยาขับปัสสาวะ ดังนั้น การดูแลผู้ป่วยควรมุ่งเน้นการควบคุมปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้ พร้อมทั้งติดตามอย่างใกล้ชิดในผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงสูง โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่มีโรคร่วมหลายโรค เพื่อชะลอการเสื่อมของไตและป้องกันภาวะแทรกซ้อน</p> ศรินภา วงศ์วิบูลย์ชัย Copyright (c) 2025 ยโสธรเวชสาร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-05-01 2025-05-01 27 1 2712724 2712724 การคัดกรองการได้ยินในทารกแรกเกิดด้วยเครื่องตรวจวัดเสียงสะท้อนจากหูชั้นใน ของโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชเดชอุดม จังหวัดอุบลราชธานี https://he04.tci-thaijo.org/index.php/hciyasohos/article/view/3252 <p><strong>บทนํา:</strong> การได้ยินเป็นส่วนสำคัญของการพัฒนาภาษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงสามปีแรกของชีวิต การสูญเสียการได้ยินในทารกแรกเกิดในระยะเริ่มต้นอาจนำไปสู่การสื่อสารและพัฒนาการที่สำคัญ การวินิจฉัยและการฟื้นฟูสมรรถภาพอย่างทันท่วงทีสามารถช่วยให้เด็กมีพัฒนาการด้านภาษาใกล้เคียงกับเด็กปกติ</p> <p><strong>วัตถุประสงค์:</strong> ศึกษาความชุกและปัจจัยที่สัมพันธ์กับการไม่ผ่านการคัดกรองการได้ยินในทารกแรกเกิดที่โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชเดชอุดม จังหวัดอุบลราชธานี</p> <p><strong>วิธีการ:</strong> การศึกษาย้อนหลังจากข้อมูลเวชระเบียนของทารกแรกเกิด 2,144 ราย ที่ได้รับการคัดกรองการได้ยินด้วยเครื่อง OAE ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2565 ถึง 30 กันยายน 2566 การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงพรรณนาและการวิเคราะห์ความสัมพันธ์โดยใช้ Chi-Square Test, Fisher's Exact Test, T-Test, Mann-Whitney U Test และ Logistic Regression Analysis โดยกำหนดนัยสำคัญทางสถิติที่ p &lt; 0.05</p> <p><strong>ผลลัพธ์:</strong> ทารกแรกเกิดทั้งหมด 2,144 ราย ทารกร้อยละ 98.93 ผ่านการตรวจคัดกรอง มีเพียงร้อยละ 1.07 (23 ราย) ที่ต้องได้รับการติดตามเพิ่มเติม สามารถติดตามได้ 17 ราย (ร้อยละ 73.91) พบความผิดปกติที่ต้องการการรักษา 7 ราย ปัจจัยเสี่ยงที่มีนัยสำคัญทางสถิติจากการวิเคราะห์ตัวแปรพหุ ได้แก่ ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด (Adjusted OR = 9.82, p &lt; 0.01) และภาวะเลือดข้น (Adjusted OR = 7.16, p = 0.004) แม้ว่าทารกที่มารดาไม่ได้ฝากครรภ์และทารกที่มารดาติดเชื้อเอชไอวี จะแสดงโอกาสที่สูงขึ้น แต่ก็ไม่มีนัยสําคัญทางสถิติ</p> <p><strong>สรุป:</strong> การคัดกรองการได้ยินในทารกแรกเกิดมีความสำคัญอย่างยิ่งในการตรวจพบความผิดปกติ ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญคือภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดและภาวะเลือดข้น การเฝ้าระวังและการตรวจติดตามอย่างใกล้ชิดเป็นสิ่งจำเป็นในกลุ่มทารกที่มีความเสี่ยงสูง และการตรวจคัดกรองตั้งแต่เนิ่น ๆ มีความสำคัญในการระบุทารกที่มีความเสี่ยงและได้รับการรักษาได้อย่างทันท่วงที</p> ถิรพร สีหะวงษ์ Copyright (c) 2025 ยโสธรเวชสาร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-05-01 2025-05-01 27 1 2712325 2712325 ผลของรูปแบบการคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่และลำไส้ตรง ด้วยการส่องกล้อง ในโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชเลิงนกทา จังหวัดยโสธร https://he04.tci-thaijo.org/index.php/hciyasohos/article/view/3263 <p><strong>หลักการและเหตุผล </strong>การตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรงโดยวิธี FIT Test ของเครือข่ายบริการสุขภาพอำเภอเลิงนกทา ยังทำได้น้อยและยังคงมีประชาชนในพื้นที่อีกจำนวนมากที่รอการเข้าถึงของการคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรง&nbsp;</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong> เพื่อศึกษาผลการพัฒนารูปแบบการคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่และลำไส้ตรงด้วยการส่องกล้อง ต่อการตัดสินใจตรวจคัดกรอง พฤติกรรมและคุณภาพการเตรียมลำไส้ ผลการตรวจและภาวะแทรกซ้อน</p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong> เป็นการศึกษากึ่งทดลอง ในกลุ่มเสี่ยงจากการคัดกรอง FIT Test ทุกคน ที่เข้ารับการส่องกล้องในโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชเลิงนกทา จำนวน 220 คน กลุ่มตัวอย่างได้รับการเตรียมลำไส้ก่อนเข้ารับการส่องกล้อง การตรวจและติดตามหลังการตรวจ เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสัมภาษณ์ ที่ค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.81 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา และสถิติเชิงอนุมานด้วย One Sample T-test</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong> พบว่ากลุ่มเสี่ยงส่วนใหญ่อายุ 60–69 ปี เป็นเพศหญิง ทุกคนไม่เคยตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่และลำไส้ตรง ภายหลังการทดลอง พบว่า ภาพรวมมีระดับการตัดสินใจตั้งใจที่จะมารับการตรวจคัดกรองระดับสูง กว่าค่าเป้าหมายอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value&lt;0.001) พฤติกรรมการเตรียมลำไส้ก่อนการเข้ารับการคัดกรองมีความพร้อมสูงกว่าค่าเป้าหมายอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value&lt;0.001) คุณภาพการเตรียมลำไส้อยู่ในระดับสะอาด ผลการคัดกรองผลปกติ ร้อยละ 71.80 ส่งชิ้นเนื้อตรวจ ร้อยละ 28.20 โดยไม่มีความผิดปกติ และไม่มีภาวะแทรกซ้อนระหว่างทำการส่องกล้อง ผลการติดตามดูแลต่อเนื่อง ไม่พบภาวะแทรกซ้อน</p> เจนวิทย์ เวชกามา Copyright (c) 2025 ยโสธรเวชสาร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-05-01 2025-05-01 27 1 2712843 2712843