ยโสธรเวชสาร https://he04.tci-thaijo.org/index.php/hciyasohos <p style="margin: 0cm;"><strong>ยโสธรเวชสาร </strong>เป็นวารสารวิชาการจัดทำขึ้นเพื่อเผยแพร่ผลงานทางวิชาการ และเป็นเวทีเสนอผลงานทางวิชาการและงานวิจัยแก่ผู้ที่อยู่ในวงการสาธารณสุข มีความยินดีรับลงพิมพ์บทความวิชาการ ตลอดจนบทความด้านอื่นๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนางานด้านการแพทย์ พยาบาล วิทยาศาสตร์สุขภาพ และสาธารณสุขทั้งในและนอกองค์กร รวมทั้งผู้สนใจสืบค้นข้อมูล</p> <p style="margin: 0cm;"> </p> <p style="margin: 0cm;"><strong>วัตถุประสงค์</strong></p> <p>เพื่อเผยแพร่และฟื้นฟูผลงานทางวิชาการและงานวิจัยทางการแพทย์และสาธารณสุข</p> โรงพยาบาลยโสธร th-TH ยโสธรเวชสาร 2985-0525 <p>บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของยโสธรเวชสาร</p> ปัจจัยที่มีผลต่อการป้องกันการเกิดกระดูกหักซ้ำในผู้สูงอายุหลังการรักษากระดูกสะโพกหัก: การวิเคราะห์ข้อมูลย้อนหลังในโรงพยาบาลยโสธร https://he04.tci-thaijo.org/index.php/hciyasohos/article/view/3883 <p><strong>หลักการและเหตุผล: </strong>กระดูกสะโพกหักในผู้สูงอายุเป็นปัญหาสาธารณสุขสำคัญ ผู้ป่วยที่เคยกระดูกสะโพกหักมีความเสี่ยงเกิดกระดูกหักซ้ำสูงขึ้น 2.5-3.0 เท่า ส่งผลต่ออัตราเสียชีวิตและคุณภาพชีวิตอย่างมากแม้มีหลักฐานว่ามาตรการป้องกันทุติยภูมิมีประสิทธิผล แต่โรงพยาบาลในประเทศไทยยังประสบปัญหาช่องว่างการดูแลที่สำคัญ โดยเฉพาะในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โรงพยาบาลยโสธรพบว่ามีผู้ป่วยเพียงร้อยละ 22.7 ที่ได้รับยาต้านโรคกระดูกพรุนหลังกระดูกสะโพกหัก ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยประเทศที่ร้อยละ 27.4 ประกอบกับข้อจำกัดสำคัญ คือ ไม่มีเครื่อง DEXA สำหรับตรวจความหนาแน่นกระดูก และระบบติดตามผู้ป่วยที่ยังไม่เป็นระบบปัจจุบันยังขาดการศึกษาเชิงลึกว่ามาตรการป้องกันใดมีประสิทธิผลสูงสุดและสามารถนำไปใช้ได้จริงในโรงพยาบาลทั่วไประดับทุติยภูมิ ซึ่งมีข้อจำกัดด้านทรัพยากรและต้องรองรับผู้สูงอายุจำนวนมากทั้งจากเขตเมืองและชนบทห่างไกล</p> <p><strong>วัตถุประสงค์: </strong>เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการป้องกันภาวะกระดูกหักซ้ำในผู้ป่วยสูงอายุที่ผ่านการรักษากระดูกสะโพกหักในโรงพยาบาลยโสธร</p> <p><strong>วิธีการศึกษา: </strong>การศึกษาแบบวิเคราะห์ข้อมูลย้อนหลัง โดยทบทวนเวชระเบียนผู้ป่วยสูงอายุ (อายุ ≥ 60 ปี) ที่ได้รับการรักษากระดูกสะโพกหัก ระหว่างเดือนมกราคม 2562 ถึงธันวาคม 2565 และมีข้อมูลการติดตามการรักษาอย่างต่อเนื่องครบ 24 เดือน (สิ้นสุดการติดตาม 31 ธันวาคม 2567) จำนวนทั้งสิ้น 180 ราย วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา การวิเคราะห์แบบตัวแปรเดียวและหลายตัวแปรด้วย Logistic Regression และ Person-Time Analysis</p> <p><strong>ผลการศึกษา: </strong>อุบัติการณ์กระดูกหักซ้ำพบร้อยละ 15.6 (28 จาก 180 ราย) ในระยะเวลา 24 เดือน ปัจจัยเสี่ยงอิสระที่สำคัญ ได้แก่ ประวัติการหกล้ม (Adjusted OR = 3.21, 95% CI: 1.18-8.73, p = 0.022) อายุ ≥ 75 ปี (Adjusted OR = 2.89, 95% CI: 1.12-7.45, p = 0.028) และประวัติกระดูกหักก่อนหน้า (Adjusted OR = 2.67, 95% CI: 1.05-6.78, p = 0.039) มาตรการป้องกันที่มีประสิทธิภาพ ได้แก่ ความร่วมมือดีในการรับประทานยา (Adjusted OR = 0.24, 95% CI: 0.07-0.82, p = 0.022) ลดความเสี่ยงร้อยละ 76 การใช้ยาต้านโรคกระดูกพรุน (Adjusted OR = 0.28, 95% CI: 0.09-0.84, p = 0.023) ลดความเสี่ยงร้อยละ 72 การเข้าร่วมโปรแกรมป้องกันการหกล้ม (Adjusted OR = 0.31, 95% CI: 0.10-0.96, p = 0.041) ลดความเสี่ยงร้อยละ 69 และการมาตรวจติดตามสม่ำเสมอ (Adjusted OR = 0.35, 95% CI: 0.14-0.89, p = 0.027) ลดความเสี่ยงร้อยละ 65 การวิเคราะห์ Person-Time พบอุบัติการณ์โดยรวม 7.8 ต่อ 100 Person-Years ผู้ป่วยที่ได้รับยาต้านโรคกระดูกพรุนมีอัตราการเกิดกระดูกหักซ้ำร้อยละ 6.3 เทียบกับผู้ที่ไม่ได้รับยาร้อยละ 18.9 (Risk Difference = -12.6%, RR = 0.33, p = 0.042) อย่างไรก็ตาม พบช่องว่างสำคัญในการป้องกัน โดยมีผู้ป่วยเพียงร้อยละ 26.7 ที่ได้รับยาต้านโรคกระดูกพรุน</p> <p><strong>สรุป: </strong>การป้องกันกระดูกหักซ้ำสามารถทำได้อย่างมีประสิทธิภาพผ่านการใช้ยาต้านโรคกระดูกพรุนอย่างสม่ำเสมอ การส่งเสริมความร่วมมือของผู้ป่วย การติดตามดูแลอย่างต่อเนื่อง และการป้องกันการหกล้ม การพัฒนาระบบการดูแลแบบครบวงจรที่เหมาะสมกับบริบทของโรงพยาบาลเป็นความจำเป็นเพื่อปิดช่องว่างในการดูแลและปรับปรุงผลลัพธ์ของผู้ป่วยกลุ่มนี้</p> พิเชษพงศ์ กัญญาคำ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ยโสธรเวชสาร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-12-22 2025-12-22 27 3 2733883 2733883 การพัฒนารูปแบบการพยาบาลผู้ป่วยกระดูกรอบข้อสะโพกหักที่ได้รับการผ่าตัดยึดตรึงกระดูกภายใน หอผู้ป่วยศัลยกรรมกระดูกและข้อหญิง โรงพยาบาลมหาสารคาม https://he04.tci-thaijo.org/index.php/hciyasohos/article/view/3439 <p><strong>ความสำคัญ: </strong>ภาวะกระดูกรอบข้อสะโพกหักเป็นปัญหาสุขภาพที่สำคัญ จำเป็นต้องได้รับการผ่าตัดยึดตรึงกระดูกภายในร่วมกับการวางแผนการดูแลที่ชัดเจน เพื่อส่งเสริมการฟื้นฟูสภาพและการมีคุณภาพชีวิตที่ดี</p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong>: การวิจัยและพัฒนา ประกอบด้วย 4 ระยะ ได้แก่ การวิเคราะห์สถานการณ์ การพัฒนาและตรวจสอบคุณภาพรูปแบบ การนำไปใช้จริง และการประเมินผล กลุ่มตัวอย่าง ประกอบด้วย พยาบาลวิชาชีพ 13 คน และผู้ป่วย 60 คน แบ่งเป็นกลุ่มก่อนพัฒนาและหลังพัฒนารูปแบบ กลุ่มละ 30 คน เครื่องมือวิจัย ประกอบด้วย แนวคำถามสำหรับการสนทนากลุ่ม แบบบันทึกข้อมูลทั่วไปและข้อมูลผลลัพธ์ด้านผู้ป่วย แบบวัดความรู้ แบบประเมินสมรรถนะการปฏิบัติการพยาบาล แบบประเมินความพึงพอใจของพยาบาล และแบบประเมินความพึงพอใจของผู้ป่วย วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา สถิติทดสอบทีแบบรายคู่ สถิติทดสอบไคสแควร์ และการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong> : ระยะวิเคราะห์สถานการณ์พบว่า รูปแบบการพยาบาลผู้ป่วยกระดูกรอบข้อสะโพกหักที่ได้รับการผ่าตัดยึดตรึงกระดูกภายในยังไม่ชัดเจนและไม่เป็นรูปธรรม ตลอดจนการปฏิบัติการพยาบาลมีความหลากหลายขึ้นอยู่กับทักษะและประสบการณ์ ระยะพัฒนาพบว่า เกิดรูปแบบการพยาบาลที่เป็นรูปธรรม สอดคล้องกับบริบทของหน่วยงาน เรียกว่า HIP CARE Model ประกอบด้วย 7 หมวดกิจกรรม ได้แก่ 1) การดูแลแบบองค์รวม 2) ทีมสหวิชาชีพ 3) การจัดการความปวด 4) การดูแลต่อเนื่อง 5) การส่งเสริมการเคลื่อนไหวร่างกายโดยเร็ว 6) การฟื้นฟูร่างกาย และ 7) การให้ความรู้และวางแผนจำหน่าย ผ่านการตรวจสอบคุณภาพโดยผู้ทรงคุณวุฒิ ภายหลังการนำไปใช้ภายใต้บริบทของหน่วยงานพบว่า ผลลัพธ์ด้านผู้ป่วยกลุ่มหลังการพัฒนารูปแบบ ได้แก่ การเกิดแผลกดทับ ลิ่มเลือดอุดตันในปอด และระดับความปวดลดลงและน้อยกว่ากลุ่มก่อนพัฒนาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ และผลลัพธ์ด้านการพยาบาลพบว่าพยาบาลผู้ปฏิบัติมีความรู้ สมรรถนะ และความพึงพอใจเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ</p> <p><strong>สรุปผลการศึกษา: </strong>รูปแบบ HIP CARE Model ที่พัฒนาขึ้นสามารถยกระดับการดูแลผู้ป่วยกระดูกรอบข้อสะโพกหักได้อย่างมีประสิทธิภาพ เหมาะสมในการนำไปใช้ในบริบทโรงพยาบาล</p> นิตวิภา อุ่นทรวง อนุชา ไทยวงษ์ รัศมี เกตุธานี นภัทร วรรณโนมัย ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ยโสธรเวชสาร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-11-25 2025-11-25 27 3 2733439 2733439 ผลของโปรแกรมการจัดการตนเองต่อคุณภาพการนอนหลับของนักศึกษา วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี https://he04.tci-thaijo.org/index.php/hciyasohos/article/view/3930 <p>การวิจัยนี้เป็นการศึกษาแบบกึ่งทดลอง (Quasi-experimental Research) แบบมีกลุ่มควบคุม วัดผลก่อนและหลังการให้โปรแกรม มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการจัดการตนเองต่อพฤติกรรมการจัดการตนเองและคุณภาพการนอนหลับของนักศึกษาวิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี กลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษาจำนวน 88 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม กลุ่มละ 44 คน โปรแกรมการจัดการตนเอง ประกอบด้วย 4 ขั้นตอน ได้แก่ 1) การประเมินปัญหาและการวางแผน 2) การเตรียมความพร้อม 3) การปฏิบัติการจัดการตนเอง และ 4) การประเมินผลพฤติกรรมการจัดการตนเอง ใช้ระยะเวลาในการดำเนินการ 8 สัปดาห์ เครื่องมือเก็บข้อมูลเป็นแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา t-test และ ANCOVA กำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ภายหลังเข้าร่วมโปรแกรม กลุ่มทดลองสามารถจัดการปัจจัยรบกวนการนอนหลับได้มากกว่ากลุ่มควบคุม (Adjusted mean diff 4.26, 95%CI 2.44 to 6.08, p &lt; 0.001) มีระยะเวลาการนอนมากกว่ากลุ่มควบคุม (Adjusted mean diff 0.64, 95% CI 0.16 to 1.12, p = 0.010) และมีคะแนนคุณภาพการนอนหลับมากกว่ากลุ่มควบคุม (Adjusted mean diff 1.25, 95%CI 0.46 to 2.03, p = 0.002) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ</p> <p>สรุปได้ว่า โปรแกรมการจัดการตนเองมีประสิทธิผลในการส่งเสริมพฤติกรรมการจัดการตนเอง เพิ่มคุณภาพการนอนหลับได้อย่างมีนัยสำคัญ ควรนำโปรแกรมนี้ไปประยุกต์ใช้กับนักศึกษากลุ่มอื่น รวมทั้ง เพิ่มเข้าไปในหลักสูตรการเรียนการสอนของสถานศึกษา</p> นิธิศ ธานี กิ่งแก้ว มาพงษ์ รับขวัญ เชื้อลี ถนอม นามวงศ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ยโสธรเวชสาร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-12-22 2025-12-22 27 3 2733930 2733930 ผลของโปรแกรมการดูแลผู้สูงอายุด้วยระบบ 3 หมอ ต่อการลดความเสี่ยงต่อการพลัดตกหกล้มในผู้สูงอายุในพื้นที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านทุ่งเกษม ตำบลโนนผึ้ง อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี https://he04.tci-thaijo.org/index.php/hciyasohos/article/view/3581 <p>การวิจัยแบบกึ่งทดลองครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการดูแลผู้สูงอายุด้วยระบบ 3 หมอ ในการลดความเสี่ยงต่อการพลัดตกหกล้มของผู้สูงอายุในพื้นที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านทุ่งเกษม ตำบลโนนผึ้ง อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้สูงอายุที่มีความเสี่ยงต่อการพลัดตกหกล้มจากแบบคัดกรอง Thai FRAT ตั้งแต่ระดับคะแนน 4 คะแนนขึ้นไป โดยใช้การคำนวณขนาดตัวอย่าง กลุ่มละ 34 คน กลุ่มทดลอง คือ ผู้สูงอายุที่มีความเสี่ยงต่อการพลัดตกหกล้มในเขตรับผิดชอบของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลโนนผึ้ง และกลุ่มเปรียบเทียบ คือ ผู้สูงอายุที่มีความเสี่ยงต่อการพลัดตกหกล้มในเขตรับผิดชอบของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลก่อ ตำบลแสนสุข อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี โดยกลุ่มทดลองได้รับโปรแกรมการดูแลผู้สูงอายุด้วยระบบ 3 หมอ ที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้น ส่วนกลุ่มเปรียบเทียบได้รับการดูแลสุขภาพตามมาตรฐานกระทรวงสาธารณสุข เป็นระยะเวลา 12 สัปดาห์ เก็บข้อมูลก่อนและหลังการทดลอง ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์–เมษายน 2568 โดยใช้แบบสอบถามการรับรู้ ความสามารถแห่งตน พฤติกรรมการป้องกันการหกล้มที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นโดยมีระดับความเชื่อมั่นมากกว่า 0.7 ขึ้นไป และการประเมินความความเสี่ยงต่อภาวะหกล้มของผู้สูงอายุ การประเมินความสามารถในการเคลื่อนไหวและการทรงตัว และความแข็งแรงของกล้ามเนื้อขา วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและค่ามัธยฐาน วิเคราะห์ความแตกต่างของค่าเฉลี่ยของกลุ่มทดลองและกลุ่มเปรียบเทียบ ก่อนและหลังการทดลองด้วยสถิติ t-test กำหนดนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p> <p> </p> <p> </p> <p> </p> <p> ผลการวิจัยพบว่า หลังการได้รับโปรแกรม กลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยความรู้เกี่ยวกับการป้องกันการหกล้มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ (p &lt; 0.001) สะท้อนถึงความเข้าใจในการระบุปัจจัยเสี่ยงและการปรับสิ่งแวดล้อมภายในบ้านให้ปลอดภัยมากขึ้น ในด้านการรับรู้ตามทฤษฎีแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพ พบว่ามีการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งด้านการรับรู้ความรุนแรงของผลกระทบจากการหกล้ม (p &lt; 0.001) การรับรู้โอกาสเสี่ยง (p &lt; 0.001) การรับรู้ประโยชน์และอุปสรรคต่อการปฏิบัติตัว (p &lt; 0.001) รวมถึง การรับรู้ความสามารถแห่งตน (p = 0.043) แสดงถึงความมั่นใจของผู้สูงอายุในการดูแลตนเองเพิ่มขึ้น ด้านพฤติกรรมการป้องกันการพลัดตกหกล้ม มีค่าเฉลี่ยสูงกว่ากลุ่มเปรียบเทียบอย่างมีนัยสำคัญ (p &lt; 0.001) โดยผู้สูงอายุมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เช่น การออกกำลังกายสม่ำเสมอ การใช้ราวจับในห้องน้ำ และการสวมรองเท้าที่เหมาะสมมากขึ้น นอกจากนี้ยังพบว่า ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อขา การเคลื่อนไหว และการทรงตัวดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ (p = 0.001) และระดับความเสี่ยงต่อการพลัดตกหกล้มลดลงอย่างชัดเจน</p> <p>สรุปได้ว่าโปรแกรมการดูแลผู้สูงอายุด้วยระบบ 3 หมอมีประสิทธิภาพในการเสริมสร้างความรู้ การรับรู้ และพฤติกรรมการป้องกันการหกล้ม รวมทั้งพัฒนาสมรรถภาพทางกาย ส่งผลให้ผู้สูงอายุสามารถลดความเสี่ยงต่อการพลัดตกหกล้มได้อย่างมีประสิทธิผล</p> ใจเพชร นิลบารันต์ สุคนธ์ทิพย์ อรุณกมลพัฒน์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ยโสธรเวชสาร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-11-03 2025-11-03 27 3 2733581 2733581 การพัฒนาแบบบันทึกปัญหาจากการใช้ยาและคำแนะนำการปรับขนาดยาวาร์ฟาริน โรงพยาบาลทรายมูล จังหวัดยโสธร https://he04.tci-thaijo.org/index.php/hciyasohos/article/view/3720 <p><strong>หลักการและเหตุผล:</strong> โรงพยาบาลทรายมูลได้ดำเนินการจัดตั้งคลินิกวาร์ฟารินตั้งแต่ พ.ศ. 2559 แต่ยังคงพบปัญหาผลการรักษาไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนด โดยในปี 2567 พบผู้ป่วยมีระดับ INR in Target เพียงร้อยละ 40.41 จากการทบทวนปัญหาพบว่าเกิดจากการค้นหาปัญหาจากการใช้ยาไม่ครอบคลุม และแนวทางการปรับระดับยาวาร์ฟารินไม่ตรงตามแนวทางการรักษา</p> <p><strong>วัตถุประสงค์:</strong> เพื่อพัฒนาและศึกษาประสิทธิผลของแบบบันทึกปัญหาจากการใช้ยาและคำแนะนำการปรับขนาดยาวาร์ฟารินที่ส่งผลต่อคุณภาพการรักษาผู้ป่วย วัดผลจากค่า INR in Target, ค่า TTR, การยอมรับคำแนะนำของแพทย์, ความรู้ความเข้าใจเรื่องยาวาร์ฟารินของบุคลากรก่อนและหลังการใช้แบบบันทึกฯ และความพึงพอใจในการใช้งานแบบบันทึกฯ</p> <p><strong>วิธีการวิจัย: </strong>การวิจัยกึ่งทดลองแบบเก็บข้อมูลไปข้างหน้า (Prospective Quasi-experimental Study) ที่คลินิกวาร์ฟาริน ระหว่างวันที่ 1 เมษายน - 31 สิงหาคม 2568 กลุ่มตัวอย่างคือ บุคลากรที่ใช้แบบบันทึกฯ และผู้ป่วยนอกที่ได้รับยาวาร์ฟารินทั้งหมด 60 คน เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบบันทึกปัญหาจากการใช้ยาและคำแนะนำการปรับขนาดยาที่พัฒนาขึ้นเอง เก็บข้อมูลโดยใช้โปรแกรม Warfarin Registry Network (WaRN) เปรียบเทียบผลลัพธ์ก่อนและหลังการใช้แบบบันทึกฯ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา Paired t-test และ One-Way ANOVA กำหนดนัยสำคัญที่ p-value &lt; 0.05</p> <p><strong>ผลการวิจัย: </strong>พบว่า ค่า INR in Target ของผู้ป่วยโดยรวมเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ จากร้อยละ 47.09 เป็น ร้อยละ 58.03 (p-value &lt; 0.05) โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ป่วยที่ระดับ INR ควบคุมได้ดี (Normalized Group) และกลุ่มที่ระดับ INR ควบคุมได้ไม่ดี (Poor Control Group) ค่า INR in Target เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ (p-value &lt; 0.05) ร้อยละของ TTR หลังการใช้แบบบันทึกฯ ลดลงเล็กน้อย (ร้อยละ 2.1) แพทย์ยอมรับคำแนะนำของเภสัชกรในการปรับขนาดยาผ่านการใช้แบบบันทึกฯ ถึงร้อยละ 89.58 คะแนนความรู้ความเข้าใจเรื่องยาวาร์ฟารินของบุคลากรเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และบุคลากรมีความพึงพอใจต่อการใช้งานแบบบันทึกฯ ในระดับ “มากที่สุด”</p> <p><strong>สรุป: </strong>แบบบันทึกปัญหาจากการใช้ยาและคำแนะนำการปรับขนาดยาวาร์ฟาริน ช่วยให้การดูแลผู้ป่วยในคลินิกวาร์ฟารินมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยสามารถเพิ่มค่า INR in Target ได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ผู้ป่วยไม่เกิดภาวะเลือดออกรุนแรง (Major Bleeding) เพิ่มความรู้ความเข้าใจเรื่องยาวาร์ฟารินให้แก่สหวิชาชีพ และส่งเสริมการสื่อสารที่เป็นระบบระหว่างบุคลากร</p> สุธีรา ทาระพันธ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ยโสธรเวชสาร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-12-19 2025-12-19 27 3 2733720 2733720 การพัฒนาโปรแกรมการตรวจสอบยาใกล้หมดอายุและปริมาณยาแลกเปลี่ยนคืน ด้วย Application Line Notify โรงพยาบาลสุราษฎร์ธานี https://he04.tci-thaijo.org/index.php/hciyasohos/article/view/3834 <p><strong>หลักการและเหตุผล:</strong> โรงพยาบาลสุราษฎร์ธานี เป็นโรงพยาบาลระดับตติยภูมิ มีผู้ป่วยที่จำเป็นต้องใช้ยาเป็นจำนวนมาก การบริหารจัดการและควบคุมยาที่ใกล้หมดอายุ เป็นตัวบ่งชี้ถึงการกระจายยาและการควบคุมคุณภาพการใช้ยาที่มีประสิทธิภาพสูงสุด ลดการสูญเสียโดยเปล่าประโยชน์</p> <p><strong>วัตถุประสงค์: </strong>1) เพื่อพัฒนาโปรแกรมการตรวจสอบยาใกล้หมดอายุและปริมาณยาแลกเปลี่ยนคืนด้วย Application Line Notify โรงพยาบาลสุราษฎร์ธานี และ 2) เพื่อประเมินประสิทธิผลโปรแกรมการตรวจสอบยาใกล้หมดอายุและปริมาณยาแลกเปลี่ยนคืนด้วย Application Line Notify โรงพยาบาลสุราษฎร์ธานี</p> <p><strong>วิธีการศึกษา: </strong>การวิจัยครั้งนี้เป็นการศึกษาเชิงปฏิบัติการ เพื่อพัฒนาโปรแกรมการตรวจสอบมูลค่ายาใกล้หมดอายุและมูลค่ายาแลกเปลี่ยนคืน ด้วย Application Line Notify โรงพยาบาลสุราษฎร์ธานี กลุ่มตัวอย่างยาคือรายการยาใกล้หมดอายุทุกรายการที่เกิดขึ้นจริงในระบบคลังเวชภัณฑ์ โรงพยาบาลสุราษฎร์ธานี กลุ่มตัวอย่างบุคคล คือบุคลากรที่ปฏิบัติงานจริงในคลังเวชภัณฑ์และเกี่ยวข้องกับระบบยาทุกคน จำนวน 9 คน คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive Sampling) ตามหน้าที่รับผิดชอบ ใช้กระบวนการวิจัยที่มีลักษณะวนซ้ำ (Cycle) 3 ระยะ ระยะที่ 1 ศึกษาสถานการณ์ เก็บข้อมูลย้อนหลังตั้งแต่ พ.ศ. 2565–2567 และไปข้างหน้า 6 เดือน เกี่ยวกับรายการยาที่ใกล้หมดอายุและมูลค่ายาที่แลกเปลี่ยนคืน ระยะที่ 2 วางแผนและดำเนินการพัฒนา ออกแบบและพัฒนาโปรแกรมการตรวจสอบยาใกล้หมดอายุและปริมาณยาแลกเปลี่ยนคืน โดยใช้เครื่องมือ Google Apps Script, Google Sheets และระบบ Line Notify เพื่อแจ้งเตือนแบบอัตโนมัติ ตรวจสอบคุณภาพโปรแกรมโดยผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน และนำไปทดลองใช้จริงในโรงพยาบาลสุราษฎร์ธานี ระยะที่ 3 ประเมินผลและสะท้อนผล โดยเปรียบเทียบมูลค่ายาใกล้หมดอายุและมูลค่ายาแลกเปลี่ยนคืนก่อนและหลังการใช้โปรแกรม และประเมินประสิทธิผลโปรแกรม โดยสูตร E1/E2 จากการวิเคราะห์ขนาดอิทธิพล (Effect Size) ของการเปลี่ยนแปลงอัตราการจ่ายยาก่อนวันหมดอายุ (E1 เทียบกับ E2) ด้วยสถิติ Cohen's h พบว่ามีค่าเท่ากับ 0.66 ซึ่งจัดอยู่ในระดับปานกลางค่อนข้างสูง แสดงให้เห็นว่าโปรแกรม Line Notify ที่พัฒนาขึ้นมีผลต่อการปรับปรุงประสิทธิภาพการบริหารจัดการยาอย่างชัดเจนในทางปฏิบัติ</p> <p><strong>ผลการศึกษา:</strong> การพัฒนาโปรแกรมการตรวจสอบยาใกล้หมดอายุและปริมาณยาแลกเปลี่ยนคืนด้วย Application Line Notify โรงพยาบาลสุราษฎร์ธานี ด้วยโมเดล 6STEP-DALDRE ประกอบด้วย 6 ขั้นตอน ได้แก่ การป้อนข้อมูล การตั้งระบบแจ้งเตือน การแจ้งผ่าน Line Notify การแลกเปลี่ยนยา การรายงาน และการประเมินผล ส่วนประสิทธิผลของโปรแกรม พบว่า อัตราการจ่ายยาก่อนหมดอายุ (E2) เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 28.88 เป็นร้อยละ 60.86 มูลค่ายาแลกเปลี่ยนคืนเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 6.20 เป็นร้อยละ 7.58 ของมูลค่ายาใกล้หมดอายุ</p> <p><strong>สรุปผล: </strong>โปรแกรมการตรวจสอบยาใกล้หมดอายุและปริมาณยาแลกเปลี่ยนคืนด้วย Application Line Notify โรงพยาบาลสุราษฎร์ธานี พัฒนาขึ้นด้วย 6STEP-DALDRE สามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการยา ลดการสูญเสียจากยาหมดอายุ และสนับสนุนการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าในโรงพยาบาล</p> กิตติ์สุมน คงเสน่ห์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ยโสธรเวชสาร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-12-22 2025-12-22 27 3 2733834 2733834 การพัฒนารูปแบบการเสริมสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพด้วยนโยบายสามหมอ เพื่อป้องกันโรคหัวใจขาดเลือดและโรคหลอดเลือดสมอง ในประชาชนกลุ่มเสี่ยง เครือข่ายบริการสุขภาพปฐมภูมิ จังหวัดยโสธร https://he04.tci-thaijo.org/index.php/hciyasohos/article/view/3377 <p><strong style="font-size: 0.875rem;">หลักการและเหตุผล:</strong><span style="font-size: 0.875rem;"> โรคหัวใจขาดเลือดและหลอดเลือดสมอง เป็นปัญหาที่สำคัญและพบว่าแนวโน้มของผู้ที่มีภาวะเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจและหลอดเลือดสมอง และเจ็บป่วยด้วยโรคติดต่อไม่เรื้อรังมีจำนวนมากขึ้น การเสริมสร้างความรอบรู้เพื่อป้องกันโรค จะช่วยให้กลุ่มเสี่ยงทราบอาการ เพิ่มอัตราการเข้าถึงลดอัตราความพิการและสูญเสียชีวิตได้</span></p> <p><strong>วัตถุประสงค์:</strong> เพื่อการพัฒนาและศึกษาผลของรูปแบบการเสริมสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพด้วยนโยบายสามหมอในการป้องกันโรคหัวใจขาดเลือดและโรคหลอดเลือดสมองในประชาชนกลุ่มเสี่ยง </p> <p><strong>วิธีการศึกษา: </strong>ใช้รูปแบบการวิจัยและพัฒนา กลุ่มตัวอย่างคือหมอคนที่ 1 จำนวน 35 คน หมอคนที่ 2, 3 จำนวน 21 คน รวมทั้งหมดจำนวน 56 คน และกลุ่มเสี่ยงจำนวน 70 คน เครื่องมือวิจัยเชิงปริมาณด้วยแบบสอบถาม ผลลัพธ์ทางคลินิก และเครื่องมือเชิงคุณภาพด้วยแบบสัมภาษณ์ ระยะเวลา 10 เดือน วิเคราะห์ด้วยสถิติเชิงพรรณนา และสถิติการวิเคราะห์เนื้อหา </p> <p><strong>ผลการศึกษา: </strong>พบว่ารูปแบบการเสริมสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพด้วยนโยบายสามหมอเพื่อป้องกันโรคหัวใจขาดเลือดและโรคหลอดเลือดสมองในประชาชนกลุ่มเสี่ยง ประกอบด้วย ขั้นตอนที่ 1 เสริมสร้างความรู้ ความรอบรู้ แนวคิดการเยี่ยมบ้านสำหรับหมอคนที่ 1 ขั้นตอนที่ 2 พัฒนาหมอคนที่ 2 ในการติดตามเยี่ยมบ้านโดยใช้แนวคิด 5A’s ขั้นตอนที่ 3 หมอคนที่ 1 และหมอคนที่ 2 ดำเนินการเยี่ยมบ้านด้วยแนวคิด 5A’s และระบบ Telemedicine โดยหมอคนที่ 3 พร้อมเสริมสร้างความรู้ ความรอบรู้ ในกลุ่มเสี่ยง ขั้นตอนที่ 4 ศึกษาผลการดำเนินการตามรูปแบบ ผลของการพัฒนาพบว่าหมอคนที่ 1 คะแนนเฉลี่ยการรับรู้ ความรอบรู้ ความสามารถในการเยี่ยมบ้านทุกขั้นตอนสูงหลังการเสริมสร้าง สูงกว่าก่อนเสริมสร้างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ และภายหลังเสริมสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพด้วยนโยบายสามหมอร่วมกับเยี่ยมบ้านโดยใช้แนวคิด 5A’s ในกลุ่มเสี่ยงมีคะแนนเฉลี่ยความรู้ ความรอบรู้อาการเตือนของโรค ด้านพฤติกรรมการจัดการตนเอง สูงกว่าก่อนการพัฒนาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ (p &lt; .05) และผลลัพธ์ทางคลินิก เช่น น้ำหนัก ดัชนีมวลกาย ระดับน้ำตาลในเลือด และระดับความดันโลหิตตัวบน ระดับน้ำตาลในเลือด หลังการพัฒนารูปแบบ ดีกว่าอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (t=2.39, t=7.0, t=13.55, t=3.04) ยกเว้นรอบเอวทั้งชายและหญิงไม่แตกต่าง</p> <p><strong>สรุปและข้อเสนอแนะ: </strong>ควรนำรูปแบบใช้ในกลุ่มเสี่ยงเพื่อเสริมสร้างความรอบรู้ต่อการดูแลสุขภาพเพื่อเสริมสร้างความรู้ ความรอบรู้ในการดูแลและป้องกันตนเองจากโรคหัวใจขาดเลือดและโรคหลอดเลือดสมอง เพิ่มการเข้าถึงการรักษาที่ทันท่วงที</p> สถาพร มุ่งทวีพงษา ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ยโสธรเวชสาร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-12-01 2025-12-01 27 3 2733377 2733377