ยโสธรเวชสาร https://he04.tci-thaijo.org/index.php/hciyasohos <p style="margin: 0cm;"><strong>ยโสธรเวชสาร </strong>เป็นวารสารวิชาการจัดทำขึ้นเพื่อเผยแพร่ผลงานทางวิชาการ และเป็นเวทีเสนอผลงานทางวิชาการและงานวิจัยแก่ผู้ที่อยู่ในวงการสาธารณสุข มีความยินดีรับลงพิมพ์บทความวิชาการ ตลอดจนบทความด้านอื่นๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนางานด้านการแพทย์ พยาบาล วิทยาศาสตร์สุขภาพ และสาธารณสุขทั้งในและนอกองค์กร รวมทั้งผู้สนใจสืบค้นข้อมูล</p> <p style="margin: 0cm;"> </p> <p style="margin: 0cm;"><strong>วัตถุประสงค์</strong></p> <p>เพื่อเผยแพร่และฟื้นฟูผลงานทางวิชาการและงานวิจัยทางการแพทย์และสาธารณสุข</p> โรงพยาบาลยโสธร th-TH ยโสธรเวชสาร 2985-0525 <p>บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของยโสธรเวชสาร</p> การศึกษาเปรียบเทียบผลลัพธ์ทางคลินิกของการผ่าตัดและไม่ผ่าตัดในผู้ป่วยกระดูกสะโพกหัก ในหอผู้ป่วยศัลยกรรมกระดูก โรงพยาบาลมุกดาหาร https://he04.tci-thaijo.org/index.php/hciyasohos/article/view/2950 <p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p><strong>หลักการและเหตุผล</strong><strong>: </strong>กระดูกสะโพกหักเป็นปัญหาสำคัญในผู้สูงอายุ โดยเฉพาะเพศหญิง มีอุบัติการณ์สูงและอาจก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง การรักษาแบ่งเป็น 2 วิธีหลัก คือ การรักษาโดยไม่ผ่าตัดและการผ่าตัด ซึ่งขึ้นอยู่กับสภาพผู้ป่วยและลักษณะการหัก</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>:</strong> เพื่อเปรียบเทียบผลลัพธ์ทางคลินิกและคุณภาพชีวิตในผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาโดยการไม่ผ่าตัด (Non-Surgical Treatment) และการรักษาโดยการผ่าตัด (Surgical Treatment) ในผู้ป่วยที่มีอาการกระดูกสะโพกหัก ในหอผู้ป่วยศัลยกรรมกระดูก โรงพยาบาลมุกดาหาร</p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong><strong>:</strong> การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบย้อนหลัง (Retrospective Study) มีการเก็บข้อมูลของผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาโดยการไม่ผ่าตัด (Non-Surgical Treatment) และการรักษาโดยการผ่าตัด (Surgical Treatment) ในผู้ป่วยที่มีอาการกระดูกสะโพกหัก ในหอผู้ป่วยศัลยกรรมกระดูก โรงพยาบาลมุกดาหาร ที่รับการรับการรักษาระหว่างเดือน มกราคม - ตุลาคม&nbsp; พ.ศ. 2567 กลุ่มละ 50 คน จากฐานข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ Independent t-test</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong><strong>:</strong> ระยะเวลานอนโรงพยาบาล: ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยการผ่าตัดมีระยะเวลานอนโรงพยาบาลเฉลี่ยสั้นกว่า<br>กลุ่มไม่ผ่าตัด อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p &lt; 0.05) อัตราการเกิดภาวะแทรกซ้อน: กลุ่มผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดมีอัตราการเกิดภาวะแทรกซ้อนต่ำกว่ากลุ่มไม่ผ่าตัด อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p &lt; 0.01) ระยะเวลาการฟื้นตัว: ผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยการผ่าตัดมีระยะเวลาการฟื้นตัวที่เร็วกว่ากลุ่มไม่ผ่าตัด อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p &lt; 0.05) การฟื้นฟูการเคลื่อนไหว: สัดส่วนผู้ป่วยที่สามารถฟื้นฟูการเคลื่อนไหวได้ดีขึ้นในกลุ่มที่ได้รับการผ่าตัดสูงกว่ากลุ่มไม่ผ่าตัด อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p &lt; 0.05) และคุณภาพชีวิตหลังการรักษา: คะแนนคุณภาพชีวิตหลังการรักษาของกลุ่มผ่าตัดมีค่าเฉลี่ยสูงกว่ากลุ่มไม่ผ่าตัดอย่างมีนัยสำคัญ<br>ทางสถิติ (p &lt; 0.05)</p> <p><strong>สรุป</strong><strong>:</strong> การผ่าตัดเป็นแนวทางหลักในการรักษาผู้ป่วยกระดูกสะโพกหักที่มีความพร้อมและสามารถเข้ารับการผ่าตัดได้การรักษาด้วยการผ่าตัดควรเป็นทางเลือกแรกสำหรับผู้ป่วยที่มีสภาพร่างกายที่พร้อมรับการผ่าตัด การผ่าตัดช่วยให้ผู้ป่วยฟื้นฟูได้เร็ว <br>ลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการนอนรักษาตัวนาน และเพิ่มความสามารถในการเคลื่อนไหว ผู้ป่วยที่ได้รับ<br>การผ่าตัดมักมีคุณภาพชีวิตหลังการรักษาที่ดีขึ้น ซึ่งช่วยให้กลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้เร็วกว่า ดังนั้น การรักษาด้วยการผ่าตัดจึงเป็นแนวทางที่เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยที่มีข้อจำกัดทางสุขภาพน้อย และควรเป็นแนวทางหลักในการรักษากระดูกสะโพกหัก<br>ในผู้ป่วยกลุ่มนี้</p> <p>&nbsp;</p> เพ็ญพิชญา วิญคาม ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ยโสธรเวชสาร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-09-17 2025-09-17 27 2 2722950 2722950 การศึกษาเปรียบเทียบลักษณะทางรังสีวิทยาระหว่างมะเร็งรังไข่ชนิดปฐมภูมิและทุติยภูมิ https://he04.tci-thaijo.org/index.php/hciyasohos/article/view/2977 <p><strong>ที่มา:</strong> มะเร็งรังไข่เป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญ การวินิจฉัยแยกระหว่างมะเร็งรังไข่ปฐมภูมิและทุติยภูมิมีความสำคัญต่อการวางแผนการรักษา แต่ยังขาดข้อมูลเฉพาะเกี่ยวกับลักษณะทางรังสีวิทยาที่ช่วยในการวินิจฉัยแยกโรค</p> <p><strong>วัตถุประสงค์:</strong> เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบลักษณะทางรังสีวิทยาด้วยภาพเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ช่องท้องที่สามารถใช้แยกมะเร็งรังไข่ชนิดปฐมภูมิและทุติยภูมิ</p> <p><strong>วิธีการศึกษา:</strong> การวิจัยเชิงวิเคราะห์แบบย้อนหลัง (Retrospective analytical study) ในผู้ป่วยมะเร็งรังไข่ที่ได้รับการวินิจฉัยและรักษาที่โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ อุบลราชธานี ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2564 ถึง 30 กันยายน 2567 จำนวน 255 ราย วิเคราะห์ลักษณะทางรังสีวิทยาจากภาพเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ช่องท้อง โดยใช้ผลพยาธิวิทยาเป็นมาตรฐานอ้างอิงการวิเคราะห์ทางสถิติ:ข้อมูลเชิงปริมาณ: ค่าเฉลี่ย ± ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน, วิเคราะห์ด้วย Independent t-testข้อมูลเชิงคุณภาพ: จำนวนและร้อยละ, วิเคราะห์ด้วย Chi-square testส่วนการวิเคราะห์ปัจจัยที่สัมพันธ์กับชนิดมะเร็งใช้ Multivariate logistic regression และประเมินความสอดคล้องระหว่างรังสีแพทย์ผู้อ่านภาพด้วย Kappa statistics โดยกำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ p &lt; 0.05</p> <p><strong>ผลการศึกษา:</strong> พบมะเร็งรังไข่ปฐมภูมิ 165 ราย (64.7%) และทุติยภูมิ 90 ราย (35.3%) มะเร็งรังไข่ปฐมภูมิมักพบเป็นก้อนข้างเดียว (67.9%) ขนาดใหญ่ (14.8±5.2 ซม.) ลักษณะ mixed solid-cystic (43.6%) ส่วนมะเร็งทุติยภูมิมักพบเป็นก้อนสองข้าง (61.1%) ขนาดเล็ก (8.9±3.7 ซม.) ลักษณะ predominantly solid (55.5%) และพบ peritoneal deposit (80.0%) lymphadenopathy (72.2%) มากกว่า ปัจจัยที่สัมพันธ์กับมะเร็งทุติยภูมิอย่างมีนัยสำคัญ ได้แก่ peritoneal deposit และ lymphadenopathy (OR 6.93) predominantly solid pattern (OR 5.53) และ bilateral mass (OR 3.31)</p> <p><strong>สรุป:</strong> ลักษณะทางรังสีวิทยาสามารถช่วยแยกมะเร็งรังไข่ปฐมภูมิและทุติยภูมิได้ โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาลักษณะต่างๆ ร่วมกัน ได้แก่ laterality ขนาดก้อน ลักษณะเนื้อก้อน และการกระจายของโรค</p> <p> </p> <p><strong> </strong></p> <p><strong> </strong></p> ศุภางค์พร อุปริมาตร์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ยโสธรเวชสาร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-09-19 2025-09-19 27 2 2722977 2722977