https://he04.tci-thaijo.org/index.php/jckr/issue/feed
วารสารวิชาการและการพยาบาล วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี จักรีรัช
2025-08-04T20:33:38+07:00
Phimlada Anansirikasem, Ed.D. RN. (Asst. Prof.)
phimlada@ckr.ac.th
Open Journal Systems
<p style="text-align: justify;"><span style="font-family: 'Times New Roman', Times, serif; color: #000000;">วารสารวิชาการและการพยาบาล วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี จักรีรัช จัดทำขึ้นเพื่อนำเสนอบทความทางวิชาการ หรือบทความวิจัยที่มีคุณภาพ ครอบคลุมเนื้อหาด้านวิชาการ การศึกษา การพยาบาล การสาธารณสุข และศาสตร์ที่เกี่ยวข้อง ที่แสดงถึงประโยชน์ทั้งเชิงทฤษฎี และประโยชน์ในเชิงปฏิบัติการ เป็นเอกสารทางวิชาการที่สามารถใช้เป็นแหล่งอ้างอิงที่เชื่อถือได้ ที่นักวิจัยหรือผู้ที่สนใจสามารถนำไปพัฒนาต่อยอดการวิจัยหรือสร้างองค์ความรู้ใหม่ หรือนำไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์</span></p> <p style="text-align: justify;"><span style="font-family: 'Times New Roman', Times, serif; color: #000000;">ISSN: 2985-1203 (online)</span></p> <p style="text-align: justify;"><span style="font-family: 'Times New Roman', Times, serif; color: #000000;">ISSN: 2730-3993 (print)</span></p> <p> </p>
https://he04.tci-thaijo.org/index.php/jckr/article/view/3393
ผลของโปรแกรมส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพร่วมกับแรงสนับสนุนทางสังคมต่อความรอบรู้ด้านสุขภาพ และพฤติกรรมการดูแลตนเองในผู้สูงอายุโรคเบาหวาน
2025-07-25T15:19:53+07:00
สุนิสา ค้าขึ้น
areerat@knc.ac.th
อารีย์รัตน์ เปสูงเนิน
areerat@knc.ac.th
ยุพาพร จิตตะสุสุทโธ
areerat@knc.ac.th
บรรจง จันทวีวัฒณ์
areerat@knc.ac.th
<p>การวิจัยกึ่งทดลอง ศึกษาสองกลุ่มวัดก่อนและหลัง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพร่วมกับแรงสนับสนุนทางสังคมต่อความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมการดูแลตนเองในผู้สูงอายุโรคเบาหวาน กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้สูงอายุโรคเบาหวานมารับบริการในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพประจำตำบลแห่งหนึ่งในอำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา จำนวน 74 คน แบ่งกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม กลุ่มละ 37 คน คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างตามคุณสมบัติที่กำหนด เก็บข้อมูลระหว่างเดือนเมษายนถึงเดือนมิถุนายน พ.ศ 2568 ระยะเวลา 12 สัปดาห์ กลุ่มทดลองได้รับโปรแกรมส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพร่วมกับแรงสนับสนุนทางสังคม กลุ่มควบคุมได้รับการพยาบาลตามปกติ เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถามคุณลักษณะส่วนบุคคล แบบสอบถามความรอบรู้ด้านสุขภาพของผู้สูงอายุโรคเบาหวาน และแบบสอบถามพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้สูงอายุโรคเบาหวาน มีค่าสัมประสิทธิ์อัลฟ่าของครอนบาค 0.89 และ 0.80 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา Paired t-test และ Independent t-test</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า กลุ่มทดลองที่ได้รับโปรแกรมส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพร่วมกับแรงสนับสนุนทางสังคมมีคะแนนเฉลี่ยโดยรวมของความรอบรู้ด้านสุขภาพและคะแนนเฉลี่ยโดยรวมของพฤติกรรมการดูแลตนเอง ก่อนและหลังการทดลองแตกต่างกัน (<em>p</em>< .001) คะแนนเฉลี่ยโดยรวมของความรอบรู้ด้านสุขภาพและคะแนนเฉลี่ยโดยรวมของพฤติกรรมการดูแลตนเอง หลังการทดลองของกลุ่มทดลองที่ได้รับโปรแกรมส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพร่วมกับแรงสนับสนุนทางสังคมและกลุ่มควบคุมที่ได้รับการพยาบาลตามปกติแตกต่างกัน (<em>p</em>< .001)</p> <p>ข้อเสนอแนะ โปรแกรมส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพร่วมกับแรงสนับสนุนทางสังคมสามารถนำไปใช้กับผู้สูงอายุโรคเบาหวานที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลช่วงการเตรียมวางแผนจำหน่ายผู้ป่วยออกจากโรงพยาบาล</p> <p> </p>
2025-10-02T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี จักรีรัช
https://he04.tci-thaijo.org/index.php/jckr/article/view/3099
ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการเข้าถึงบริการสุขภาพของผู้สูงอายุ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านกุ่ม อำเภอเมืองเพชรบุรี จังหวัดเพชรบุรี
2025-04-21T16:41:47+07:00
จารุภา สวัสดิมงคล
jarupa_15@hotmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการเข้าถึงบริการสุขภาพของผู้สูงอายุโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านกุ่ม จังหวัดเพชรบุรี กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่ในตำบลบ้านกุ่ม อำเภอเมืองเพชรบุรี จังหวัดเพชรบุรี จำนวน 311 คน โดยสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้น เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการเข้าถึงบริการสุขภาพของผู้สูงอายุ ผ่านการตรวจสอบความตรงตามเนื้อหาจากผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 ท่าน มีค่าดัชนีความตรงตามเนื้อหาระหว่าง .67-1.00 ค่าสัมประสิทธิ์อัลฟ่าของครอนบาคเท่ากับ .84 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และสถิติการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบเชิงเส้นแบบพหุ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างเป็นเพศหญิง ร้อยละ 60.80 อายุระหว่าง 60-64 ปี ร้อยละ 58.80 จำนวนสมาชิกในครัวเรือน 4-6 คน ร้อยละ 53.70 มีรายได้ต่อเดือน น้อยกว่า 5,000 บาท ร้อยละ 64.60 ส่วนใหญ่เป็น โรคเบาหวาน ร้อยละ 29.60 ใช้ระบบประกันสุขภาพบัตรทอง ร้อยละ 75.90 และระยะทางในการเข้าถึงสถานบริการ ประมาณ 1 กิโลเมตร ร้อยละ 56.30 ระดับการรับรู้คุณภาพการบริการของผู้สูงอายุ อยู่ในระดับมาก (𝑥̅ = 4.01, SD = 0.31) การเข้าถึงบริการสุขภาพของผู้สูงอายุอยู่ในระดับมาก (𝑥̅ = 4.41, SD = 0.23) ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการเข้าถึงบริการสุขภาพ ได้แก่ เพศ (p = .021) ความไว้วางใจความน่าเชื่อถือ (p < .001) การให้ความมั่นใจแก่ผู้รับบริการ (p < .001) และความเป็นรูปธรรมของการบริการ (p < .001) </p>
2025-09-08T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี จักรีรัช
https://he04.tci-thaijo.org/index.php/jckr/article/view/3185
ประสิทธิผลของโปรแกรมการจัดการตนเองของผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง โรงพยาบาลบ่อพลอย จังหวัดกาญจนบุรี
2025-06-05T17:09:49+07:00
วาสนา มีช้าง
wassana14mee@gmail.com
<p> การวิจัยกึ่งทดลองแบบกลุ่มเดียววัดผลก่อนและหลังการทดลองมีวัตถุประสงค์ เพื่อประสิทธิผลของโปรแกรมการจัดการตนเองของผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังโรงพยาบาลบ่อพลอย จังหวัดกาญจนบุรี กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลบ่อพลอย จำนวน 30 คน คัดเลือกด้วยวิธีการสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือในการวิจัย 1. โปรแกรมการจัดการตนเอง ได้แก่ 1) การตั้งเป้าหมาย 2) การรวบรวมข้อมูล 3) การประมวลและประเมินข้อมูล 4) การตัดสินใจ 5) การลงมือปฏิบัติ 6) การประเมินตนเอง 2. แบบทดสอบความรู้เกี่ยวกับโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง 3. แบบสอบถามพฤติกรรมการจัดการตนเองของผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง ผ่านผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 ท่าน ค่าดัชนีความสอดคล้อง เท่ากับ .86 ค่าสัมประสิทธิ์อัลฟาครอนบาค เท่ากับ .77 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และสถิติที</p> <p> ผลการวิจัย พบว่าก่อนเข้าร่วมโปรแกรม ฯ คะแนนเฉลี่ยความรู้เรื่องโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังอยู่ในระดับน้อย (<img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?%5Coverline%7Bx%7D" alt="equation" /> = 8.73, SD = 2.24) หลังเข้าร่วมโปรแกรม ฯ คะแนนเฉลี่ยความรู้อยู่ในระดับปานกลาง (<img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?%5Coverline%7Bx%7D" alt="equation" /> = 12.06, SD = 1.61) คะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมการจัดการตนเองก่อนเข้าร่วมโปรแกรม ฯ อยู่ในระดับน้อย (<img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?%5Coverline%7Bx%7D" alt="equation" /> = 2.34, SD = 0.29) และหลังการเข้าร่วมโปรแกรม ฯ คะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมการจัดการตนเองอยู่ในระดับปานกลาง (<img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?%5Coverline%7Bx%7D" alt="equation" /> = 3.49, SD = 0.14) ทั้งสองกลุ่มแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < .001)</p>
2025-08-12T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี จักรีรัช
https://he04.tci-thaijo.org/index.php/jckr/article/view/3349
ประสิทธิผลของโปรแกรมการดูแลหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะเสี่ยงคลอดก่อนกำหนด โรงพยาบาลบ่อพลอย จังหวัดกาญจนบุรี
2025-07-07T15:48:46+07:00
ณัฐพัชร์ วิเศษสิงห์
natthapat653@gmail.com
<p>การวิจัยกึ่งทดลองแบบกลุ่มเดียววัดผลก่อนและหลัง วัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยความรู้ของหญิงตั้งครรภ์ก่อนและหลังเข้าร่วมโปรแกรม ฯ 2) เปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมการดูแลตนเองของหญิงตั้งครรภ์ก่อนและหลังเข้าร่วมโปรแกรม ฯ กลุ่มตัวอย่าง คือ หญิงตั้งครรภ์ที่มีอายุครรภ์ 16–30 สัปดาห์ ที่เข้ารับบริการฝากครรภ์ โรงพยาบาลบ่อพลอย จำนวน 30 คน คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 1) โปรแกรมการดูแลหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะเสี่ยงคลอดก่อนกำหนด 2) คู่มือการดูแลตนเองของหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะเสี่ยงคลอดก่อนกำหนด 3) แบบทดสอบความรู้ และ 4) แบบสอบถามพฤติกรรมการดูแลตนเองของหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะเสี่ยงคลอดก่อนกำหนด ผ่านการตรวจสอบจากทรงคุณวุฒิ จำนวน 3 คน ค่าดัชนีความตรงตามเนื้อหา ระหว่าง .67-1.00 ค่าสัมประสิทธิ์อัลฟ่าของครอนบาค เท่ากับ .73 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ paired t-test</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า ก่อนเข้าร่วมโปรแกรม ฯ กลุ่มตัวอย่างมีคะแนนเฉลี่ยความรู้อยู่ในระดับสูง (<img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?%5Coverline%7Bx%7D" alt="equation" /> = 17.73, SD = 2.31) หลังเข้าร่วมโปรแกรม ฯ คะแนนเฉลี่ยความรู้อยู่ในระดับสูง ( <img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?%5Coverline%7Bx%7D" alt="equation" /> = 20.23, SD = 1.31) และพบว่าคะแนนเฉลี่ยความรู้หลังเข้าร่วมโปรแกรม ฯ สูงกว่าก่อนเข้าร่วมโปรแกรม ฯ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ p < .001 คะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมการดูแลตนเอง ก่อนเข้าร่วมโปรแกรม ฯ กลุ่มตัวอย่างมีพฤติกรรมอยู่ในระดับปฏิบัติมาก ( <img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?%5Coverline%7Bx%7D" alt="equation" /> = 4.33, SD = 0.82) และหลังการเข้าร่วมโปรแกรม ฯ กลุ่มตัวอย่างมีพฤติกรรมอยู่ในระดับปฏิบัติมากที่สุด ( <img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?%5Coverline%7Bx%7D" alt="equation" /> = 4.67, SD = 0.46) และพบว่าคะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมหลังการเข้าร่วมโปรแกรม ฯ สูงกว่าก่อนเข้าร่วมโปรแกรม ฯ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p = .002)</p>
2025-09-18T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี จักรีรัช
https://he04.tci-thaijo.org/index.php/jckr/article/view/3424
ปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจมาตรวจยืนยันมะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรงโดยการส่องกล้อง ของประชาชน อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี
2025-08-04T20:33:38+07:00
พงษ์ศักดิ์ จรุงเรืองทรัพย์
l.mozart17@gmail.com
<p>การวิจัยเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวางนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจมาตรวจยืนยันมะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรงโดยการส่องกล้องของประชาชน อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี กลุ่มตัวอย่าง คือ ประชาชน อายุ 50-70 ปี ที่คัดกรองมะเร็งลำใหญ่และไส้ตรงด้วยวิธีการตรวจหาเม็ดเลือดแดงในอุจจาระ (FIT Test) และมีผลการตรวจเป็นบวก จำนวน 176 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามข้อมูลปัจจัยส่วนบุคคล และปัจจัยความเชื่อด้านสุขภาพ ผ่านการตรวจสอบความตรงของเนื้อหาจากผู้เชี่ยวชาญจํานวน 3 ท่าน ได้ค่าความสอดคล้อง .67 - 1.00 ความเที่ยงเท่ากับ .87 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติถดถอยแบบโลจิสติก</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า ปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจมาตรวจยืนยันมะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรงโดยการส่องกล้อง คือ อายุ 50-60 ปี (OR<sub>adj</sub> = 4.88, 95%CI = 1.80-13.23) ระยะทางจากบ้านถึงโรงพยาบาลไม่เกิน 20 กิโลเมตร (OR<sub>adj</sub> = 7.06, 95%CI = 1.97-25.19) การรับรู้ต่อความรุนแรงปานกลาง (OR<sub>adj</sub> = 8.87, 95%CI = 1.07-73.27) การรับรู้ต่อความรุนแรงสูง (OR<sub>adj </sub>= 85.11, 95%CI = 8.97-807.41) และการรับรู้ต่ออุปสรรคของการตรวจต่ำ (OR<sub>adj</sub> = 15.02, 95%CI = 3.32-67.89)</p>
2025-11-01T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี จักรีรัช
https://he04.tci-thaijo.org/index.php/jckr/article/view/3408
บทบาทพยาบาลชุมชนกับการเสริมสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพในการเฝ้าระวัง ภาวะเบาหวานขึ้นจอประสาทตาในผู้ป่วยเบาหวาน
2025-07-31T14:45:56+07:00
นวรัตน์ ใจกล้า
navarut.j@gmail.com
กมลภู ถนอมสัตย์
kamollabhu@webmail.npru.ac.t
<p>โรคเบาหวานเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญ โดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนา ภาวะเบาหวานขึ้นจอประสาทตาเป็นภาวะแทรกซ้อนที่ทำให้สูญเสียการมองเห็น จากการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดที่ไม่ดี แม้ว่าสามารถป้องกันได้ หากมีการตรวจคัดกรองอย่างสม่ำเสมอ แต่ผู้ป่วยส่วนใหญ่ยังขาดความรู้ และการตระหนักถึงความสำคัญของการเฝ้าระวัง บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์บทบาทของพยาบาลชุมชน ในการเสริมสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพ ในการส่งเสริมการเฝ้าระวังภาวะเบาหวานขึ้นจอประสาทตาในผู้ป่วยเบาหวาน โดยเฉพาะในระยะที่ไม่มีการสร้างหลอดเลือดผิดปกติ ซึ่งเป็นระยะก่อนเกิดภาวะแทรกซ้อน การเฝ้าระวังในระยะนี้ สามารถป้องกันไม่ให้โรคลุกลามไปสู่ระยะรุนแรง ที่อาจส่งผลต่อการมองเห็นในอนาคต โดยพิจารณาจาก 3 ระดับ ได้แก่ ความรอบรู้ด้านสุขภาพพื้นฐาน การมีปฏิสัมพันธ์ และความรอบรู้ด้านวิจารณญาณ</p> <p>พยาบาลชุมชนมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาศักยภาพผู้ป่วยในการเข้าถึง เข้าใจ ประเมิน และใช้ข้อมูลสุขภาพ ในการตัดสินใจดูแลตนเองอย่างเหมาะสม ซึ่งนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมสุขภาพอย่างยั่งยืน การบูรณาการกลยุทธ์ส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพในระบบบริการปฐมภูมิ โดยมีพยาบาลชุมชนเป็นผู้นำ จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันภาวะแทรกซ้อนทางตา ลดภาระระบบสุขภาพ และส่งเสริมคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยในระยะยาว</p>
2025-10-14T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี จักรีรัช