วารสารวิชาการและการพยาบาล วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี จักรีรัช
https://he04.tci-thaijo.org/index.php/jckr
<p style="text-align: justify;"><span style="font-family: 'Times New Roman', Times, serif; color: #000000;">วารสารวิชาการและการพยาบาล วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี จักรีรัช จัดทำขึ้นเพื่อนำเสนอบทความทางวิชาการ หรือบทความวิจัยที่มีคุณภาพ ครอบคลุมเนื้อหาด้านวิชาการ การศึกษา การพยาบาล การสาธารณสุข และศาสตร์ที่เกี่ยวข้อง ที่แสดงถึงประโยชน์ทั้งเชิงทฤษฎี และประโยชน์ในเชิงปฏิบัติการ เป็นเอกสารทางวิชาการที่สามารถใช้เป็นแหล่งอ้างอิงที่เชื่อถือได้ ที่นักวิจัยหรือผู้ที่สนใจสามารถนำไปพัฒนาต่อยอดการวิจัยหรือสร้างองค์ความรู้ใหม่ หรือนำไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์</span></p> <p style="text-align: justify;"><span style="font-family: 'Times New Roman', Times, serif; color: #000000;">ISSN: 2985-1203 (online)</span></p> <p style="text-align: justify;"><span style="font-family: 'Times New Roman', Times, serif; color: #000000;">ISSN: 2730-3993 (print)</span></p> <p> </p>
วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี จักรีรัช
th-TH
วารสารวิชาการและการพยาบาล วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี จักรีรัช
2730-3993
<p>บทความที่ได้รับการตีพิมพ์ ถือเป็นลิขสิทธิ์ของวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี จักรีรัช คณะพยาบาลศาสตร์ สถาบันพระบรมราชชนก ข้อความที่ปรากฏในบทความแต่ละเรื่องในวารสารวิชาการและการพยาบาล วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี จักรีรัช เล่มนี้ เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนแต่ละท่าน ไม่เกี่ยวข้องกับวิทยาลัยฯ และคณาจารย์ท่านอื่นในวิทยาลัย ฯ แต่อย่างใด ความรับผิดชอบองค์ประกอบทั้งหมดของบทความแต่ละเรื่อง เป็นของผู้เขียนแต่ละท่าน หากมีความผิดพลาดใด ๆ ผู้เขียนแต่ละท่านจะรับผิดชอบบทความของตนเองแต่ผู้เดียว</p>
-
ผลของโปรแกรมการเสริมสร้างความรู้และความสามารถในการประเมินอาการ โรคหลอดเลือดสมองของผู้สูงอายุโรคความดันโลหิตสูง อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม
https://he04.tci-thaijo.org/index.php/jckr/article/view/2371
<p> การวิจัยกึ่งทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบความรู้โรคหลอดเลือดสมอง และความสามารถในการประเมินอาการโรคหลอดเลือดสมองของผู้สูงอายุโรคความดันโลหิตสูง กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้สูงอายุโรคความดันโลหิตสูง ตำบลแควอ้อม และตำบลอัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม จำนวน 50 คน เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ 1) โปรแกรมการเสริมสร้างความรู้ และความสามารถในการประเมินอาการโรคหลอดเลือดสมอง 2) แบบบันทึกข้อมูลส่วนบุคคล 3) แบบทดสอบความรู้โรคหลอดเลือดสมอง และ 4) แบบประเมินความสามารถในการประเมินอาการโรคหลอดเลือดสมอง ตรวจสอบความตรงตามเนื้อหาโดยผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่าน ค่าดัชนีความตรงตามเนื้อหาเท่ากับ 1.00 ค่าสัมประสิทธิ์อัลฟ่าของครอนบาคเท่ากับ .80 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและ Wilcoxon Signed Ranks test<br /> ผลการวิจัย พบว่าค่าเฉลี่ยคะแนนความรู้โรคหลอดเลือดสมองก่อนเข้าร่วมโปรแกรม ฯ และหลังเข้าร่วมโปรแกรม ฯ แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < .001) ค่าเฉลี่ยคะแนนความสามารถในการประเมินอาการของโรคหลอดเลือดสมองก่อนเข้าร่วมโปรแกรม ฯ และหลังเข้าร่วมโปรแกรม ฯ แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < .001)</p>
ณิชาภัทร ปีติภพ
Copyright (c) 2025 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี จักรีรัช
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-03-31
2025-03-31
5 1
E002371
E002371
-
ประสิทธิผลโปรแกรมการจัดการตนเองต่อการป้องกันการพลัดตกหกล้ม ในผู้สูงอายุปวดหัวเข่า อำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม
https://he04.tci-thaijo.org/index.php/jckr/article/view/2458
<p> การวิจัยกึ่งทดลองแบบกลุ่มเดียววัดก่อนและหลัง เปรียบเทียบพฤติกรรมการจัดการตนเองในการป้องกันการพลัดหกล้มในผู้สูงอายุปวดหัวเข่า กลุ่มตัวอย่าง เป็นผู้สูงอายุที่มีอาการปวดหัวเข่า จำนวน 30 คน เลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 1. โปรแกรมการจัดการตนเอง ได้แก่ 1) การกำหนดเป้าหมาย 2) การรวบรวมข้อมูล 3) การประเมินและประมวลข้อมูลอาการ 4) การตัดสินใจ 5) การลงมือปฏิบัติ 6) การสะท้อนตนเอง 2. แบบสอบถามพฤติกรรมการจัดการตนเอง 3. แบบประเมินความรุนแรงของการปวดเข่า 4. แบบประเมินความสามารถในการทรงตัว และ 5. แบบประเมินความเสี่ยงต่อการพลัดตกหกล้ม ผ่านผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 ท่าน ค่าดัชนีความสอดคล้อง ระหว่าง .67-1.00 ค่าสัมประสิทธิ์อัลฟ่าของครอนบาค เท่ากับ .72 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และสถิติทดสอบที<br /> ผลการวิจัย พบว่าก่อนเข้าร่วมโปรแกรม ฯ คะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมการจัดการตนเอง ระดับปานกลาง (𝑥̅ = 1.33, SD = 0.22) หลังเข้าร่วมโปรแกรม ฯ คะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมการจัดการตนเอง ระดับมาก (𝑥̅ = 1.82, SD = 0.86) ทั้งสองกลุ่มแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < .001) โดยก่อนเข้าร่วมโปรแกรม ฯ กลุ่มตัวอย่างมีอาการปวดหัวเข่าเล็กน้อย (𝑥̅ = 34.33, SD = 5.99) ความสามารถในการทรงตัวระดับปานกลาง (𝑥̅ = 12.24, SD = 3.18) และมีความเสี่ยงต่อการพลัดตกหกล้ม (𝑥̅ = 3.67, SD = 2.65) หลังเข้าร่วมโปรแกรม ฯ ไม่พบความผิดปกติของอาการปวดเข่า (𝑥̅ = 43.06, SD = 3.13) ความสามารถในการทรงตัวระดับดี (𝑥̅ = 10.83, SD = 2.37) และไม่มีความเสี่ยงต่อการหกล้ม (𝑥̅ = 1.97, SD = 1.21)</p>
รัตนารมณ์ เฉลิมเกียรติ
สุธาสินี เอกชยุตวรพงศ์
Copyright (c) 2025 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี จักรีรัช
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-01-21
2025-01-21
5 1
E002458
E002458
-
การพัฒนารูปแบบการส่งเสริมการออกกำลังกายของผู้สูงอายุ ในเขตโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลสองคลอง อำเภอบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา
https://he04.tci-thaijo.org/index.php/jckr/article/view/2465
<p> การวิจัยและพัฒนานี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสถานการณ์และสภาพปัญหา 2) พัฒนารูปแบบการส่งเสริมการออกกำลังกาย 3) ศึกษาประสิทธิผลการใช้รูปแบบการส่งเสริมการออกกำลังกายของผู้สูงอายุ ดำเนินการวิจัย 3 ระยะ ได้แก่ 1) ศึกษาสถานการณ์และปัญหาจากตัวแทนผู้สูงอายุ จำนวน 25 คน 2) การพัฒนารูปแบบ ฯ จากตัวแทนผู้สูงอายุ เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล และตัวแทน อสม. จำนวน 30 คน และ 3) ศึกษาประสิทธิผลการใช้รูปแบบ ฯ กลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม กลุ่มละ 40 คน โดยจัดกิจกรรม 4 ครั้ง เป็นเวลา 8 สัปดาห์ เครื่องมือการวิจัย ได้แก่ 1) แนวทางสนทนากลุ่ม 2) แนวทางการพัฒนารูปแบบ ฯ 3) แบบสอบถามพฤติกรรมการส่งเสริมการออกกำลังกายของผู้สูงอายุ ผ่านการตรวจสอบความตรงตามเนื้อหาจากผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 ท่าน ได้ค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่าง .67-1.00 และค่าความเชื่อมั่นของสัมประสิทธิ์ครอนบาคอัลฟา เท่ากับ .82 - .85 วิเคราะห์ข้อมูลโดยสถิติเชิงพรรณนาและสถิติทดสอบที <br /> ผลการวิจัย พบว่า 1) ผู้สูงอายุส่วนใหญ่ มีโรคประจำตัวและไม่มีกิจกรรมการออกกำลังกายที่ชัดเจน กิจกรรม ที่ผู้สูงอายุสนใจ คือ กิจกรรมที่มีความสนุกสนานไม่ก่อให้เกิดการบาดเจ็บ 2) รูปแบบการส่งเสริมการออกกำลังกาย ได้แก่ การให้ความรู้ การเสนอตัวแบบ การสาธิต ฝึกปฏิบัติ และการให้สิ่งชักจูง และ 3) กลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมมีพฤติกรรมการส่งเสริมการออกกำลังกายแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ p < .001 </p>
พรวิจิตร ปานนาค
Copyright (c) 2025 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี จักรีรัช
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-03-13
2025-03-13
5 1
E002465
E002465
-
ประสิทธิผลของโปรแกรมสุขศึกษาต่อความรู้ของผู้ดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง หอผู้ป่วยอายุรกรรมหญิง โรงพยาบาลมะการักษ์
https://he04.tci-thaijo.org/index.php/jckr/article/view/2466
<p> การวิจัยกึ่งทดลองแบบหนึ่งกลุ่มวัดผลก่อนและหลังการทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบความรู้ และทักษะของผู้ดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง ก่อนและหลังเข้าร่วมโปรแกรม ฯ กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง หอผู้ป่วยอายุรกรรมหญิง โรงพยาบาลมะการักษ์ จำนวน 30 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ โปรแกรมสุขศึกษา แบบทดสอบความรู้ แบบประเมินทักษะ และแบบประเมินความพึงพอใจ ผ่านการตรวจสอบความตรงตามเนื้อหาจากผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน ค่าดัชนีความตรงตามเนื้อหาระหว่าง .67-1.00 ค่าสัมประสิทธิ์ครอนบาคอัลฟ่าเท่ากับ .83 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาและการทดสอบที <br /> ผลการวิจัย พบว่าก่อนเข้าร่วมโปรแกรมสุขศึกษา ผู้ดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองมีความรู้อยู่ในระดับมาก ร้อยละ 66.70 (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\overline{x}" alt="equation" /> = 12.20, SD = 1.35) ทักษะการดูแลการทำกิจวัตรประจำวันอยู่ในระดับน้อย ร้อยละ 66.67 (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\overline{x}" alt="equation" /> = 10.70, SD = 3.01) ทักษะการฟื้นฟูสภาพร่างกายผู้ป่วยอยู่ในระดับน้อยและปานกลาง ร้อยละ 100 (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\overline{x}" alt="equation" /> = 1.63, SD = 0.72) หลังเข้าร่วมโปรแกรมสุขศึกษา ผู้ดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองมีความรู้อยู่ในระดับมาก ร้อยละ 90.00 (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\overline{x}" alt="equation" /> = 14.03, SD = 1.40) ทักษะการดูแลการทำกิจวัตรประจำวันอยู่ในระดับมาก ร้อยละ 56.67 (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\overline{x}" alt="equation" /> =19.83, SD = 1.42) ทักษะการฟื้นฟูสภาพร่างกายผู้ป่วยอยู่ในระดับปานกลาง ร้อยละ 73.33, 26.67 ตามลำดับ (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\overline{x}" alt="equation" /> = 3.17, SD = 0.59) ทั้งสองกลุ่มแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < .001) ความพึงพอใจโดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\overline{x}" alt="equation" /> = 4.46, SD = 0.50)</p>
นิศาชล สำแดงเดช
Copyright (c) 2025 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี จักรีรัช
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-03-02
2025-03-02
5 1
E002466
E002466
-
ประสิทธิผลของโปรแกรมการส่งเสริมความรู้และพฤติกรรมของผู้ปกครองในการส่งเสริมพัฒนาการเด็กกลุ่มเสี่ยงอายุ 0-2 ปี ที่มารับบริการที่ โรงพยาบาลมะการักษ์
https://he04.tci-thaijo.org/index.php/jckr/article/view/2491
<p> การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลองแบบกลุ่มเดียววัดก่อนและหลังการทดลอง วัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบความรู้และพฤติกรรมในการส่งเสริมพัฒนาการเด็กกลุ่มเสี่ยงอายุ 0-2 ปี ของผู้ปกครอง กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ปกครองเด็ก กลุ่มเสี่ยงอายุ 0-2 ปี ที่มารับบริการที่ High Risk Newborn Clinic โรงพยาบาลมะการักษ์ จำนวน 30 คน เครื่องมือที่ใช้ ในการวิจัย ประกอบด้วย 1. โปรแกรมการส่งเสริมความรู้และพฤติกรรมของผู้ปกครอง ประกอบด้วย 1) การให้ความรู้ 2) การดูวีดีโอสาธิต 3) การสาธิตย้อนกลับ 4) แลกเปลี่ยนเรียนรู้ปัญหาและอุปสรรค 5) การสร้างแรงจูงใจ 2. แบบทดสอบความรู้และแบบสอบถามพฤติกรรมในการส่งเสริมพัฒนาการเด็กกลุ่มเสี่ยงอายุ 0-2 ปี ผ่านการตรวจสอบความตรงตามเนื้อหาจากผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่าน ค่าดัชนีความตรงตามเนื้อหาระหว่าง .67-1.00 ค่าสัมประสิทธิ์ครอนบาคอัลฟ่าเท่ากับ .83 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาและสถิติทดสอบที <br /> ผลการวิจัย พบว่าก่อนเข้าร่วมโปรแกรม ฯ กลุ่มตัวอย่างมีความรู้ อยู่ในระดับมาก ร้อยละ 83.33 (𝑥̅ = 13.17, SD = 1.44) มีพฤติกรรมอยู่ในระดับมากและปานกลาง ร้อยละ 46.67 (𝑥̅ = 15.20, SD = 2.81) หลังจากเข้าร่วมโปรแกรม ฯ กลุ่มตัวอย่างมีความรู้อยู่ในระดับมาก ร้อยละ 100 (𝑥̅ = 14.00, SD = 0.00) มีพฤติกรรมอยู่ในระดับมาก ร้อยละ 100.00 (𝑥̅ = 19.50, SD = 0.78) ทั้งสองกลุ่มแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < .001)</p>
ธิชา ปรีชาวิทยาพละ
Copyright (c) 2025 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี จักรีรัช
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-03-16
2025-03-16
5 1
E002491
E002491
-
ผลของโปรแกรมการสร้างเสริมสุขภาพต่อพฤติกรรมการป้องกันโรคหลอดเลือดสมองและการลดโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมองในกลุ่มเสี่ยง ตำบลบ้านนา อำเภอแกลง จังหวัดระยอง
https://he04.tci-thaijo.org/index.php/jckr/article/view/2976
<p> การวิจัยกึ่งทดลองครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการสร้างเสริมสุขภาพต่อพฤติกรรมการป้องกันโรคหลอดเลือดสมอง กลุ่มตัวอย่าง คือ กลุ่มเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดสมองอยู่ในระดับต้องเฝ้าระวังขึ้นไป จำนวน 72 คน แบ่งเป็นกลุ่มควบคุม จำนวน 36 คน และกลุ่มทดลอง จำนวน 36 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ โปรแกรมการพัฒนาพฤติกรรมการป้องกันโรคหลอดเลือดสมอง ประกอบด้วยกิจกรรม 1) การสร้างการรับรู้ประโยชน์ 2) การสร้างการรับรู้ปัญหาและอุปสรรค 3) การรับรู้ความสามารถของตนเอง และ 4) การสนับสนุนทางสังคมจากครอบครัว แบบสอบถามพฤติกรรมการป้องกันโรคหลอดเลือดสมอง ผ่านการตรวจสอบความตรงตามเนื้อหาจากผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 คน ได้ค่าดัชนีความสอดคล้องเท่ากับ .96 และค่าความเชื่อมั่นของสัมประสิทธิ์ครอนบาคอัลฟา เท่ากับ .84 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ paired t-test และ ANCOVA</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า ค่าเฉลี่ยพฤติกรรมการป้องกันโรคหลอดเลือดสมองโดยรวม ก่อนเข้าร่วมโปรแกรม ฯ อยู่ในระดับพอใช้ (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\overline{x}" alt="equation" /> = 2.42, SD = 0.66) หลังเข้าร่วมโปรแกรม ฯ อยู่ในระดับดี (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\overline{x}" alt="equation" /> = 2.71, SD = 0.71) โดยค่าเฉลี่ยพฤติกรรมการป้องกันโรคหลอดเลือดสมองหลังเข้าร่วมโปรแกรม ฯ สูงกว่าก่อนเข้าร่วมโปรแกรม ฯ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p = .018) และค่าเฉลี่ยระดับความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเลือดสมอง ก่อนเข้าร่วมโปรแกรม ฯ อยู่ในระดับสูง (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\overline{x}" alt="equation" /> = 3.42, SD = 0.95) หลังเข้าร่วมโปรแกรม ฯ อยู่ในระดับต้องเฝ้าระวัง (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\overline{x}" alt="equation" /> = 4.31, SD = 1.09) โดยค่าเฉลี่ยระดับความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเลือดสมอง หลังเข้าร่วมโปรแกรม ฯ ต่ำกว่าก่อนเข้าร่วมโปรแกรม ฯ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p= .038)</p>
ชนม์นิภาภัทร สันทัสนะโชค
Copyright (c) 2025 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี จักรีรัช
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-11
2025-06-11
5 1
E002976
E002976
-
การจัดการเรียนการสอน เจตคติ พฤติกรรมในการเรียนและการรับรู้สมรรถนะในการใช้ภาษาอังกฤษของนักศึกษาพยาบาลศาสตร์ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สุรินทร์
https://he04.tci-thaijo.org/index.php/jckr/article/view/3076
<p> การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงพรรณนา มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการจัดการเรียนการสอนของอาจารย์ภาษาอังกฤษ เจตคติต่อการเรียนภาษาอังกฤษ พฤติกรรมในการเรียนภาษาอังกฤษ และการรับรู้สมรรถนะการใช้ภาษาอังกฤษ กลุ่มตัวอย่าง คือ นักศึกษาพยาบาลศาสตร์ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนีสุรินทร์ ชั้นปีที่ 1 - 4 จำนวน 428 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล 2) แบบสอบถามความคิดเห็นเกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอนของอาจารย์วิชาภาษาอังกฤษ 3) แบบสอบถามเจตคติต่อการเรียนภาษาอังกฤษ 4) แบบสอบถามพฤติกรรมในการเรียนภาษาอังกฤษ และ 5) แบบสอบถามการรับรู้สมรรถนะการใช้ภาษาอังกฤษ ผ่านการตรวจสอบความตรงตามเนื้อหาจากผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 ท่าน ได้ค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่าง .67-1.00 และค่าความเชื่อมั่นของสัมประสิทธิ์ครอนบาคอัลฟา เท่ากับ .96, .75, .93 และ .99 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา</p> <p> ผลการวิจัย พบว่าการจัดการเรียนการสอนของอาจารย์ภาษาอังกฤษภาพรวม อยู่ในระดับมาก (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\overline{x}" alt="equation" /> = 4.05, SD = 0.81) เจตคติต่อการเรียนภาษาอังกฤษภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\overline{x}" alt="equation" /> = 3.48, SD = 1.19) พฤติกรรมในการเรียนภาษาอังกฤษภาพรวมอยู่ในระดับมาก (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\overline{x}" alt="equation" /> = 2.66, SD = 0.94) และการรับรู้สมรรถนะการใช้ภาษาอังกฤษภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\overline{x}" alt="equation" /> = 3.00, SD = 1.01)</p>
ศรินยา พลสิงห์ชาญ
วนิดา บุญสุข
วรนุช ศรีพุฒ
วรรณิภา พรหมนุช
วราภรณ์ ใจศิล
วันวรินทร์ สิงห์บัวขาว
วิจิตรา ประดับวงค์
วิญาดา วิมุตกุล
อาภัสรา บุญแต่ง
Copyright (c) 2025 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี จักรีรัช
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-05-27
2025-05-27
5 1
E003076
E003076
-
ผลของการใช้นวัตกรรมเสื้อกั๊กสร้างสุขต่อระดับความสุขสบายของนักศึกษาพยาบาล วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี พุทธชินราช จังหวัดพิษณุโลก
https://he04.tci-thaijo.org/index.php/jckr/article/view/3094
<p> การวิจัยกึ่งทดลอง แบบกลุ่มเดียววัดผลก่อนและหลังการทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบความสุขสบายของนักศึกษาพยาบาลศาสตร์ ก่อนและหลังการใช้นวัตกรรมเสื้อกั๊กสร้างสุข และ 2) ศึกษาความพึงพอใจหลังใช้นวัตกรรม เสื้อกั๊กสร้างสุข กลุ่มตัวอย่าง คือ นักศึกษาพยาบาลศาสตร์ชั้นปีที่ 1 จำนวน 30 คน โดยให้กลุ่มตัวอย่างสวมใส่นวัตกรรมวันละ 20 นาที เป็นเวลา 5 วันต่อสัปดาห์ ติดต่อกัน 2 สัปดาห์ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) นวัตกรรมเสื้อกั๊กสร้างสุข 2) แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล 3) แบบประเมินความสุขสบาย และ 4) แบบประเมินความพึงพอใจ ผ่านการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหา จากผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่าน ได้ค่าความตรงตามเนื้อหาระหว่าง ระหว่าง .67-1.00 ค่าสัมประสิทธิ์ครอนบาคอัลฟ่า เท่ากับ .72 วิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงพรรณนา และสถิติ paired t-test</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) ถึงแม้ว่าคะแนนเฉลี่ยความสุขสบายของกลุ่มตัวอย่างกหลังใช้นวัตกรรมเสื้อกั๊กสร้างสุขระดับมาก (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\overline{x}" alt="equation" /> = 3.96, SD = 0.90) สูงกว่าก่อนใช้นวัตกรรม ฯ (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\overline{x}" alt="equation" /> = 3.69, SD = 0.99) แต่ทั้งสองกลุ่มแตกต่างอย่างไม่มีนัยสำคัญ ทางสถิติ (p = .089) อย่างไรก็ตาม พบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติในด้านย่อยของการรับรู้ความสุขสบาย (p = .012) และความเจ็บปวดทางกาย (p = .032) และ 2) ความพึงพอใจต่อนวัตกรรมเสื้อกั๊กสร้างสุข โดยรวมอยู่ในระดับมาก (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\overline{x}" alt="equation" /> = 4.08, SD = 1.04) โดยด้านคุณภาพมีความพึงพอใจสูงสุดในระดับมากที่สุด (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\overline{x}" alt="equation" /> = 4.35, SD = 0.90) รองลงมาคือด้านการใช้งาน (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\overline{x}" alt="equation" /> = 4.10, SD = 1.04) และด้านความปลอดภัย (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\overline{x}" alt="equation" /> = 3.81, SD = 1.18) ตามลำดับ</p>
จิตติพร ศรีษะเกตุ
ฐิติกานต์ อุปนันท์
ญาณัจฉรา เจริญสุข
อาทิตยา แสนย้าง
ช่อชมพู วัฒนกุลชัย
พิมพ์ชนก บุญส่ง
พรรณวสา สุขชัง
Copyright (c) 2025 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี จักรีรัช
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-12
2025-06-12
5 1
E003094
E003094
-
ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการสร้างเสริมสุขภาพของผู้สูงอายุ ในเขตตำบลบ้านนา อำเภอแกลง จังหวัดระยอง
https://he04.tci-thaijo.org/index.php/jckr/article/view/3098
<p> การวิจัยเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวางนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยส่วนบุคคล ได้แก่ เพศ อายุ การศึกษา การรับรู้ประโยชน์ของการสร้างเสริมสุขภาพ และการรับรู้อุปสรรคของการสร้างเสริมสุขภาพกับพฤติกรรมการสร้างเสริมสุขภาพของผู้สูงอายุตำบลบ้านนา อำเภอแกลง จังหวัดระยอง กลุ่มตัวอย่างเป็น ผู้สูงอายุ จำนวน 312 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย แบบสอบถามข้อมูลปัจจัยส่วนบุคคล พฤติกรรมการสร้างเสริมสุขภาพ การรับรู้ประโยชน์ของการสร้างเสริมสุขภาพ และการรับรู้อุปสรรคของการสร้างเสริมสุขภาพ ผ่านการตรวจสอบความตรงของเนื้อหาจากผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 ท่าน ค่าดัชนีความตรงของเนื้อหา เท่ากับ .96, 1.00 และ 1.00 ตามลำดับ ค่าความเชื่อมั่น เท่ากับ .89, 86 และ .92 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนา Chi-square และ Pearson’s product moment correlation</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า ส่วนใหญ่กลุ่มตัวอย่างเป็นเพศหญิง พฤติกรรมการสร้างเสริมสุขภาพของภาพรวมอยู่ในระดับดี (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\overline{x}" alt="equation" /> = 2.91, SD = 0.30) ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการสร้างเสริมสุขภาพของผู้สูงอายุในชุมชน ได้แก่ การรับรู้ประโยชน์ของการสร้างเสริมสุขภาพมีความสัมพันธ์ทางบวกกับพฤติกรรมการสร้างเสริมสุขภาพ (r = .324, p = .017) และการรับรู้อุปสรรคของการสร้างเสริมสุขภาพมีความสัมพันธ์ทางลบกับพฤติกรรมการสร้างเสริมสุขภาพ (r = -.129, p = .026) สำหรับปัจจัยส่วนบุคคลของผู้สูงอายุ ได้แก่ เพศ อายุ และการศึกษา (จำนวนปีที่ศึกษา) ไม่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการสร้างเสริมสุขภาพ</p>
ชนม์นิภาภัทร สันทัสนะโชค
Copyright (c) 2025 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี จักรีรัช
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-12
2025-06-12
5 1
E003098
E003098
-
การพัฒนารูปแบบการดูแลผู้ป่วยมะเร็งที่ได้รับยาเคมีบำบัด ร่วมกับการใช้แอปพลิเคชันไลน์ โรงพยาบาลศรีสังวรสุโขทัย
https://he04.tci-thaijo.org/index.php/jckr/article/view/3142
<p> การวิจัยและพัฒนาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบการดูแลผู้ป่วยมะเร็งที่ได้รับยาเคมีบำบัดร่วมกับการใช้แอปพลิเคชันไลน์ในโรงพยาบาลศรีสังวรสุโขทัย แบ่งเป็น 4 ระยะ คือ ระยะที่ 1 การวิเคราะห์สภาพปัญหา เก็บรวบรวมข้อมูลโดยการประชุมกลุ่มผู้เกี่ยวข้อง จำนวน 5 คน และผู้ป่วยมะเร็งที่ได้รับยาเคมีบำบัด จำนวน 10 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา ระยะที่ 2 การพัฒนารูปแบบการดูแลผู้ป่วยมะเร็งที่ได้รับยาเคมีบำบัดร่วมกับการใช้แอปพลิเคชันไลน์ โดยผ่านผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 ท่าน มีค่าเท่ากับ 1.00 และประสิทธิภาพของแอปพลิเคชันอยู่ในระดับมาก (2.95) ระยะที่ 3 การทดลองใช้รูปแบบการดูแลผู้ป่วยมะเร็งที่ได้รับยาเคมีบำบัดร่วมกับการใช้แอปพลิเคชันไลน์กับผู้ป่วยมะเร็งที่ได้รับยาเคมีบำบัด จำนวน 30 ราย เครื่องมือวิจัย ได้แก่ แบบประเมินคุณภาพชีวิต แบบสอบถามความสามารถในการดูแลตนเอง และแบบประเมินความพึงพอใจ ค่าดัชนีความตรงเชิงเนื้อหา เท่ากับ 1.00 ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค เท่ากับ .79 วิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงพรรณนา และสถิติ paired t-test ระยะที่ 4 วิเคราะห์ผลลัพธ์และปรับปรุงรูปแบบให้เหมาะสมยิ่งขึ้น</p> <p> ผลการวิจัย พบว่ารูปแบบการดูแลผู้ป่วยมะเร็งที่ได้รับยาเคมีบำบัดเป็นการดูแลแบบการจัดการรายกรณีร่วมกับการใช้แอปพลิเคชันไลน์ และผลของการใช้รูปแบบการดูแลผู้ป่วยมะเร็งที่ได้รับยาเคมีบำบัดร่วมกับการใช้แอปพลิเคชันไลน์ พบว่าผู้ป่วยมีคะแนนความสามารถในการดูแลตนเองสูงกว่าก่อนการทดลอง คะแนนคุณภาพชีวิตสูงกว่าก่อนการทดลอง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < .001) และมีคะแนนความพึงพอใจในระดับมาก (𝑥̅ <em>= </em>4.29, SD = 0.13)</p>
เริงฤทธิ์ ทองอยู่
กิจจา อ่วมแก้ว
เกตุ ชูพันธ์
Copyright (c) 2025 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี จักรีรัช
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-12
2025-06-12
5 1
E003142
E003142