วารสารวิชาการและการพยาบาล วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี จักรีรัช https://he04.tci-thaijo.org/index.php/jckr <p style="text-align: justify;"><span style="font-family: 'Times New Roman', Times, serif; color: #000000;">วารสารวิชาการและการพยาบาล วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี จักรีรัช จัดทำขึ้นเพื่อนำเสนอบทความทางวิชาการ หรือบทความวิจัยที่มีคุณภาพ ครอบคลุมเนื้อหาด้านวิชาการ การศึกษา การพยาบาล การสาธารณสุข และศาสตร์ที่เกี่ยวข้อง ที่แสดงถึงประโยชน์ทั้งเชิงทฤษฎี และประโยชน์ในเชิงปฏิบัติการ เป็นเอกสารทางวิชาการที่สามารถใช้เป็นแหล่งอ้างอิงที่เชื่อถือได้ ที่นักวิจัยหรือผู้ที่สนใจสามารถนำไปพัฒนาต่อยอดการวิจัยหรือสร้างองค์ความรู้ใหม่ หรือนำไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์</span></p> <p style="text-align: justify;"><span style="font-family: 'Times New Roman', Times, serif; color: #000000;">ISSN: 2985-1203 (online)</span></p> <p style="text-align: justify;"><span style="font-family: 'Times New Roman', Times, serif; color: #000000;">ISSN: 2730-3993 (print)</span></p> <p> </p> th-TH <p>บทความที่ได้รับการตีพิมพ์ ถือเป็นลิขสิทธิ์ของวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี จักรีรัช คณะพยาบาลศาสตร์ สถาบันพระบรมราชชนก ข้อความที่ปรากฏในบทความแต่ละเรื่องในวารสารวิชาการและการพยาบาล วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี จักรีรัช เล่มนี้ เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนแต่ละท่าน ไม่เกี่ยวข้องกับวิทยาลัยฯ และคณาจารย์ท่านอื่นในวิทยาลัย ฯ แต่อย่างใด ความรับผิดชอบองค์ประกอบทั้งหมดของบทความแต่ละเรื่อง เป็นของผู้เขียนแต่ละท่าน หากมีความผิดพลาดใด ๆ ผู้เขียนแต่ละท่านจะรับผิดชอบบทความของตนเองแต่ผู้เดียว</p> phimlada@ckr.ac.th (Phimlada Anansirikasem, Ed.D. RN. (Asst. Prof.)) research@ckr.ac.th (Punyanuch Metabavonnun ) Fri, 17 Jan 2025 12:30:23 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 ผลของโปรแกรมการเสริมสร้างความรู้และความสามารถในการประเมินอาการ โรคหลอดเลือดสมองของผู้สูงอายุโรคความดันโลหิตสูง อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม https://he04.tci-thaijo.org/index.php/jckr/article/view/2371 <p> การวิจัยกึ่งทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบความรู้โรคหลอดเลือดสมอง และความสามารถในการประเมินอาการโรคหลอดเลือดสมองของผู้สูงอายุโรคความดันโลหิตสูง กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้สูงอายุโรคความดันโลหิตสูง ตำบลแควอ้อม และตำบลอัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม จำนวน 50 คน เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ 1) โปรแกรมการเสริมสร้างความรู้ และความสามารถในการประเมินอาการโรคหลอดเลือดสมอง 2) แบบบันทึกข้อมูลส่วนบุคคล 3) แบบทดสอบความรู้โรคหลอดเลือดสมอง และ 4) แบบประเมินความสามารถในการประเมินอาการโรคหลอดเลือดสมอง ตรวจสอบความตรงตามเนื้อหาโดยผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่าน ค่าดัชนีความตรงตามเนื้อหาเท่ากับ 1.00 ค่าสัมประสิทธิ์อัลฟ่าของครอนบาคเท่ากับ .80 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและ Wilcoxon Signed Ranks test<br /> ผลการวิจัย พบว่าค่าเฉลี่ยคะแนนความรู้โรคหลอดเลือดสมองก่อนเข้าร่วมโปรแกรม ฯ และหลังเข้าร่วมโปรแกรม ฯ แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p &lt; .001) ค่าเฉลี่ยคะแนนความสามารถในการประเมินอาการของโรคหลอดเลือดสมองก่อนเข้าร่วมโปรแกรม ฯ และหลังเข้าร่วมโปรแกรม ฯ แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p &lt; .001)</p> ณิชาภัทร ปีติภพ Copyright (c) 2025 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี จักรีรัช https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he04.tci-thaijo.org/index.php/jckr/article/view/2371 Mon, 31 Mar 2025 00:00:00 +0700 ประสิทธิผลโปรแกรมการจัดการตนเองต่อการป้องกันการพลัดตกหกล้ม ในผู้สูงอายุปวดหัวเข่า อำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม https://he04.tci-thaijo.org/index.php/jckr/article/view/2458 <p> การวิจัยกึ่งทดลองแบบกลุ่มเดียววัดก่อนและหลัง เปรียบเทียบพฤติกรรมการจัดการตนเองในการป้องกันการพลัดหกล้มในผู้สูงอายุปวดหัวเข่า กลุ่มตัวอย่าง เป็นผู้สูงอายุที่มีอาการปวดหัวเข่า จำนวน 30 คน เลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 1. โปรแกรมการจัดการตนเอง ได้แก่ 1) การกำหนดเป้าหมาย 2) การรวบรวมข้อมูล 3) การประเมินและประมวลข้อมูลอาการ 4) การตัดสินใจ 5) การลงมือปฏิบัติ 6) การสะท้อนตนเอง 2. แบบสอบถามพฤติกรรมการจัดการตนเอง 3. แบบประเมินความรุนแรงของการปวดเข่า 4. แบบประเมินความสามารถในการทรงตัว และ 5. แบบประเมินความเสี่ยงต่อการพลัดตกหกล้ม ผ่านผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 ท่าน ค่าดัชนีความสอดคล้อง ระหว่าง .67-1.00 ค่าสัมประสิทธิ์อัลฟ่าของครอนบาค เท่ากับ .72 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และสถิติทดสอบที<br /> ผลการวิจัย พบว่าก่อนเข้าร่วมโปรแกรม ฯ คะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมการจัดการตนเอง ระดับปานกลาง (𝑥̅ = 1.33, SD = 0.22) หลังเข้าร่วมโปรแกรม ฯ คะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมการจัดการตนเอง ระดับมาก (𝑥̅ = 1.82, SD = 0.86) ทั้งสองกลุ่มแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p &lt; .001) โดยก่อนเข้าร่วมโปรแกรม ฯ กลุ่มตัวอย่างมีอาการปวดหัวเข่าเล็กน้อย (𝑥̅ = 34.33, SD = 5.99) ความสามารถในการทรงตัวระดับปานกลาง (𝑥̅ = 12.24, SD = 3.18) และมีความเสี่ยงต่อการพลัดตกหกล้ม (𝑥̅ = 3.67, SD = 2.65) หลังเข้าร่วมโปรแกรม ฯ ไม่พบความผิดปกติของอาการปวดเข่า (𝑥̅ = 43.06, SD = 3.13) ความสามารถในการทรงตัวระดับดี (𝑥̅ = 10.83, SD = 2.37) และไม่มีความเสี่ยงต่อการหกล้ม (𝑥̅ = 1.97, SD = 1.21)</p> รัตนารมณ์ เฉลิมเกียรติ, สุธาสินี เอกชยุตวรพงศ์ Copyright (c) 2025 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี จักรีรัช https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he04.tci-thaijo.org/index.php/jckr/article/view/2458 Tue, 21 Jan 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนารูปแบบการส่งเสริมการออกกำลังกายของผู้สูงอายุ ในเขตโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลสองคลอง อำเภอบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา https://he04.tci-thaijo.org/index.php/jckr/article/view/2465 <p> การวิจัยและพัฒนานี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสถานการณ์และสภาพปัญหา 2) พัฒนารูปแบบการส่งเสริมการออกกำลังกาย 3) ศึกษาประสิทธิผลการใช้รูปแบบการส่งเสริมการออกกำลังกายของผู้สูงอายุ ดำเนินการวิจัย 3 ระยะ ได้แก่ 1) ศึกษาสถานการณ์และปัญหาจากตัวแทนผู้สูงอายุ จำนวน 25 คน 2) การพัฒนารูปแบบ ฯ จากตัวแทนผู้สูงอายุ เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล และตัวแทน อสม. จำนวน 30 คน และ 3) ศึกษาประสิทธิผลการใช้รูปแบบ ฯ กลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม กลุ่มละ 40 คน โดยจัดกิจกรรม 4 ครั้ง เป็นเวลา 8 สัปดาห์ เครื่องมือการวิจัย ได้แก่ 1) แนวทางสนทนากลุ่ม 2) แนวทางการพัฒนารูปแบบ ฯ 3) แบบสอบถามพฤติกรรมการส่งเสริมการออกกำลังกายของผู้สูงอายุ ผ่านการตรวจสอบความตรงตามเนื้อหาจากผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 ท่าน ได้ค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่าง .67-1.00 และค่าความเชื่อมั่นของสัมประสิทธิ์ครอนบาคอัลฟา เท่ากับ .82 - .85 วิเคราะห์ข้อมูลโดยสถิติเชิงพรรณนาและสถิติทดสอบที <br /> ผลการวิจัย พบว่า 1) ผู้สูงอายุส่วนใหญ่ มีโรคประจำตัวและไม่มีกิจกรรมการออกกำลังกายที่ชัดเจน กิจกรรม ที่ผู้สูงอายุสนใจ คือ กิจกรรมที่มีความสนุกสนานไม่ก่อให้เกิดการบาดเจ็บ 2) รูปแบบการส่งเสริมการออกกำลังกาย ได้แก่ การให้ความรู้ การเสนอตัวแบบ การสาธิต ฝึกปฏิบัติ และการให้สิ่งชักจูง และ 3) กลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมมีพฤติกรรมการส่งเสริมการออกกำลังกายแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ p &lt; .001 </p> พรวิจิตร ปานนาค Copyright (c) 2025 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี จักรีรัช https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he04.tci-thaijo.org/index.php/jckr/article/view/2465 Thu, 13 Mar 2025 00:00:00 +0700 ประสิทธิผลของโปรแกรมสุขศึกษาต่อความรู้ของผู้ดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง หอผู้ป่วยอายุรกรรมหญิง โรงพยาบาลมะการักษ์ https://he04.tci-thaijo.org/index.php/jckr/article/view/2466 <p> การวิจัยกึ่งทดลองแบบหนึ่งกลุ่มวัดผลก่อนและหลังการทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบความรู้ และทักษะของผู้ดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง ก่อนและหลังเข้าร่วมโปรแกรม ฯ กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง หอผู้ป่วยอายุรกรรมหญิง โรงพยาบาลมะการักษ์ จำนวน 30 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ โปรแกรมสุขศึกษา แบบทดสอบความรู้ แบบประเมินทักษะ และแบบประเมินความพึงพอใจ ผ่านการตรวจสอบความตรงตามเนื้อหาจากผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน ค่าดัชนีความตรงตามเนื้อหาระหว่าง .67-1.00 ค่าสัมประสิทธิ์ครอนบาคอัลฟ่าเท่ากับ .83 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาและการทดสอบที <br /> ผลการวิจัย พบว่าก่อนได้รับโปรแกรมสุขศึกษา ผู้ดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองมีความรู้อยู่ในระดับมาก ร้อยละ 66.70 (x ̅ = 12.20, SD = 1.35) ทักษะการดูแลการทำกิจวัตรประจำวันอยู่ในระดับน้อย ร้อยละ 66.67 (x ̅ = 10.70, SD = 3.01) ทักษะการฟื้นฟูสภาพร่างกายผู้ป่วยอยู่ในระดับน้อยและปานกลาง ร้อยละ 100 (x ̅ = 1.63, SD = 0.72) หลังเข้าร่วมโปรแกรมสุขศึกษา ผู้ดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองมีความรู้อยู่ในระดับมาก ร้อยละ 90.00 (x ̅ = 14.03, SD = 1.40) ทักษะการดูแลการทำกิจวัตรประจำวันอยู่ในระดับมาก ร้อยละ 56.67 (x ̅ =19.83, SD = 1.42) ทักษะการฟื้นฟูสภาพร่างกายผู้ป่วยอยู่ในระดับปานกลาง ร้อยละ 73.33, 26.67 ตามลำดับ (x ̅ = 3.17, SD = 0.59) ทั้ง 2 กลุ่มแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p &lt; .001) ความพึงพอใจโดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก (x ̅ = 4.46, SD = 0.50)</p> นิศาชล สำแดงเดช Copyright (c) 2025 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี จักรีรัช https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he04.tci-thaijo.org/index.php/jckr/article/view/2466 Sun, 02 Mar 2025 00:00:00 +0700 ประสิทธิผลของโปรแกรมการส่งเสริมความรู้และพฤติกรรมของผู้ปกครองในการส่งเสริมพัฒนาการเด็กกลุ่มเสี่ยงอายุ 0-2 ปี ที่มารับบริการที่ โรงพยาบาลมะการักษ์ https://he04.tci-thaijo.org/index.php/jckr/article/view/2491 <p> การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลองแบบกลุ่มเดียววัดก่อนและหลังการทดลอง วัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบความรู้และพฤติกรรมในการส่งเสริมพัฒนาการเด็กกลุ่มเสี่ยงอายุ 0-2 ปี ของผู้ปกครอง กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ปกครองเด็ก กลุ่มเสี่ยงอายุ 0-2 ปี ที่มารับบริการที่ High Risk Newborn Clinic โรงพยาบาลมะการักษ์ จำนวน 30 คน เครื่องมือที่ใช้ ในการวิจัย ประกอบด้วย 1. โปรแกรมการส่งเสริมความรู้และพฤติกรรมของผู้ปกครอง ประกอบด้วย 1) การให้ความรู้ 2) การดูวีดีโอสาธิต 3) การสาธิตย้อนกลับ 4) แลกเปลี่ยนเรียนรู้ปัญหาและอุปสรรค 5) การสร้างแรงจูงใจ 2. แบบทดสอบความรู้และแบบสอบถามพฤติกรรมในการส่งเสริมพัฒนาการเด็กกลุ่มเสี่ยงอายุ 0-2 ปี ผ่านการตรวจสอบความตรงตามเนื้อหาจากผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่าน ค่าดัชนีความตรงตามเนื้อหาระหว่าง .67-1.00 ค่าสัมประสิทธิ์ครอนบาคอัลฟ่าเท่ากับ .83 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาและสถิติทดสอบที <br /> ผลการวิจัย พบว่าก่อนเข้าร่วมโปรแกรม ฯ กลุ่มตัวอย่างมีความรู้ อยู่ในระดับมาก ร้อยละ 83.33 (𝑥̅ = 13.17, SD = 1.44) มีพฤติกรรมอยู่ในระดับมากและปานกลาง ร้อยละ 46.67 (𝑥̅ = 15.20, SD = 2.81) หลังจากเข้าร่วมโปรแกรม ฯ กลุ่มตัวอย่างมีความรู้อยู่ในระดับมาก ร้อยละ 100 (𝑥̅ = 14.00, SD = 0.00) มีพฤติกรรมอยู่ในระดับมาก ร้อยละ 100.00 (𝑥̅ = 19.50, SD = 0.78) ทั้งสองกลุ่มแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p &lt; .001)</p> ธิชา ปรีชาวิทยาพละ Copyright (c) 2025 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี จักรีรัช https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he04.tci-thaijo.org/index.php/jckr/article/view/2491 Sun, 16 Mar 2025 00:00:00 +0700