วารสารสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย https://he04.tci-thaijo.org/index.php/jcrpho <p>วารสารสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย (Journal of Chiang Rai Provincial Health Office) จัดทำขึ้นเพื่อเผยแพร่ บทความวิจัย (Research Article) บทความวิชาการ (Academic Article) บทความปริทัศน์ (Literature Review Article) ตลอดจนองค์ความรู้ ที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมสุขภาพ ป้องกันโรครักษาพยาบาล ฟื้นฟูสภาพ การแพทย์ฉุกเฉินและคุ้มครองผู้บริโภค ระบบสุขภาพและการประเมินผลโครงการด้านสุขภาพ การพัฒนาศักยภาพบุคลากรและเครือข่ายด้านสุขภาพ บทความวิชาการทางด้านการแพทย์</p> สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย th-TH วารสารสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย 3056-9206 <p>บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย</p> <p>ข้อความที่ปรากฏในบทความแต่ละเรื่องในวารสารวิชาการเล่มนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนแต่ละท่านไม่เกี่ยวข้องกับสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย และบุคลากรท่านอื่น ในสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย แต่อย่างใด ความรับผิดชอบองค์ประกอบทั้งหมดของบทความแต่ละเรื่องเป็นของผู้เขียนแต่ละท่าน หากมีความผิดพลาดใด ๆ ผู้เขียนแต่ละท่านจะรับผิดชอบบทความของตนเองแต่ผู้เดียว</p> รายชื่อผู้ทรงคุณวุฒิประเมินบทความ (Peer Review) ประจําฉบับ https://he04.tci-thaijo.org/index.php/jcrpho/article/view/3132 Copyright (c) 2025 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-04-30 2025-04-30 2 1 ประสิทธิผลของโปรแกรมชุดความรู้สำหรับผู้ให้บริการในการดูแลรักษาผู้ติดเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยเอดส์ในคลินิกบริการยาต้านไวรัสเอดส์ โรงพยาบาลหนองม่วงไข่ จังหวัดแพร่ https://he04.tci-thaijo.org/index.php/jcrpho/article/view/2729 <p> การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง แบบกลุ่มเดียววัดก่อนและหลังการทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสิทธิผลของการใช้โปรแกรมชุดความรู้สำหรับผู้ให้บริการในการดูแลรักษาผู้ติดเอชไอวีและผู้ป่วยเอดส์ คลินิกยาต้านไวรัส โรงพยาบาลหนองม่วงไข่ ประชากรที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ ผู้ติดเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยเอดส์ที่เข้ารับการบำบัดในคลินิกยาต้านไวรัส กลุ่มงานบริการด้านปฐมภูมิและองค์รวม โรงพยาบาลหนองม่วงไข่ อำเภอหนองม่วงไข่ จังหวัดแพร่ กลุ่มตัวอย่างจำนวน 37 คน ดำเนินการทดลองโดยใช้โปรแกรมชุดความรู้สำหรับผู้ให้บริการในการดูแลรักษาผู้ติดเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยเอดส์ในคลินิกบริการยาต้านไวรัสเอดส์ โรงพยาบาลหนองม่วงไข่ จังหวัดแพร่ เก็บข้อมูลโดยวิธีสัมภาษณ์ฟอร์มแบบสอบถาม ก่อนและหลังการทดลอง วิเคราะห์ข้อมูลเชิงพรรณนา ใช้ค่าสถิติเป็นร้อยละ ค่าความถี่ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ ใช้สถิติวิเคราะห์เปรียบเทียบทดสอบ Paired samples T test </p> <p> ผลการศึกษาพบว่า พบว่า หลังการทดลองกลุ่มตัวอย่างมีความรู้ พฤติกรรมการดูแลสุขภาพของผู้ติดเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยเอดส์ ค่าเฉลี่ยระดับ CD4 และค่าเฉลี่ยความสม่ำเสมอในการรับประทานยาต้านไวรัสเอดส์เพิ่มขึ้น อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ p-value &lt; 0.05 โปรแกรมชุดความรู้สำหรับผู้ให้บริการในการดูแลรักษาผู้ติดเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยเอดส์ในคลินิกบริการยาต้านไวรัสเอดส์ โรงพยาบาลหนองม่วงไข่ จังหวัดแพร่ ส่งเสริมให้ผู้ติดเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยเอดส์ มีพฤติกรรมการดูแลตนเองดีขึ้น มีความสม่ำเสมอในการรับประทานยาต้านไวรัสเอชไอวีมากขึ้น</p> <p><span style="font-size: 0.875rem;"> ควรนำโปรแกรมไปใช้ในการให้บริการผู้ติดเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยเอดส์รายใหม่ที่ยาต้านไวรัสเอดส์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดูแลรักษาผู้ติดเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยเอดส์ให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น </span></p> ไกรลาศ ใจเกษม กรรณิการ์ ชัยนันท์ Copyright (c) 2025 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-04-30 2025-04-30 2 1 1 20 การศึกษาปัจจัยเสี่ยงของการเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำระดับรุนแรง ในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ได้รับการรักษาแบบผู้ป่วยในของโรงพยาบาลเวียงแก่น จังหวัดเชียงราย https://he04.tci-thaijo.org/index.php/jcrpho/article/view/2723 <p> การวิจัยนี้เป็นงานวิจัยเชิงวิเคราะห์ (Analytical research) แบบศึกษาย้อนหลัง case-control study มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยเสี่ยงของการเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำที่ได้รับการรักษาแบบผู้ป่วยใน ในบริบทของโรงพยาบาลเวียงแก่น</p> <p> เก็บรวบรวมข้อมูลผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเวียงแก่น ตั้งแต่ วันที่ 1 ตุลาคม 2563 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2567 โดยเปรียบเทียบผู้ป่วย 2 กลุ่ม คือกลุ่มที่เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำที่ได้รับการรักษาแบบผู้ป่วยใน จำนวน 65 ราย และผู้ป่วยที่ไม่เคยเกิดภาวะดังกล่าว จำนวน 260 ราย จากนั้นจึงหาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัย โดยใช้สถิติการวิเคราะห์ถดถอยพหุโลจิสติก</p> <p> ผลการศึกษาพบว่าผู้ป่วยเบาหวานที่มีระดับการทำงานของไตที่ลดลงมีโอกาสเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำระดับรุนแรงมากกว่า adjusted OR 45.03 (95% CI=29-278.21) ผู้ป่วยที่มีอายุมากกว่าหรือเท่ากับ 60 ปี จะป้องกันการเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำระดับรุนแรงมากขึ้น adjusted OR 0.28 (95% CI=0.08-0.98) ปริมาณ insulin ที่ใช้ adjusted OR 8.14 (95% CI=2.02-32.73) ประวัติการเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำมาก่อน adjusted OR 3.85 (95%CI=1.20-12.37) การมีผู้ดูแล adjusted OR 24.12 (95%CI=7.03-82.79) และเมื่อพิจารณาประวัติการเพิ่มกิจกรรม การปรับเพิ่มยา และการดื่มแอลกอฮอล์ พบว่ากลุ่มศึกษามีความเสี่ยงมากกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ adjusted OR 15.18 (95% CI1.52-151.40), adjusted OR 12.66 (95%CI=2.46-65.03) และadjusted OR 11.21 (95%CI=1.54-81.63) ตามลำดับ ควรนำผลวิจัยที่ได้ไปประยุกต์ใช้จริงในบริบท โดยการเฝ้าระวังปัจจัยเสี่ยงดังกล่าวข้างต้น</p> ณัฐพร ตันเครือ Copyright (c) 2025 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-04-30 2025-04-30 2 1 21 35 ประสิทธิผลของโปรแกรมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมต่อพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพตามหลัก 3อ.2ส.ในกลุ่มเสี่ยงเบาหวานตำบลป่าแดด อำเภอป่าแดด จังหวัดเชียงราย https://he04.tci-thaijo.org/index.php/jcrpho/article/view/1685 <p> การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi-Experimental Research) แบบกลุ่มเดียววัดผลก่อนและหลัง (One-Group Pretest-Posttest Design) มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบระดับพฤติกรรมสุขภาพตามหลัก 3อ.2ส. และคะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมสุขภาพก่อนและหลังการเข้าร่วมโปรแกรมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพในกลุ่มเสี่ยงโรคเบาหวาน ตำบลป่าแดด อำเภอป่าแดด จังหวัดเชียงราย กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ที่มีความเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน จำนวน 30 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล และแบบประเมินพฤติกรรมสุขภาพตามหลัก 3อ.2ส. การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมานโดยใช้ Paired t-test</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง อายุเฉลี่ย 56 ปี หลังการเข้าร่วมโปรแกรม พบว่าคะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพตามหลัก 3อ.2ส. (M = 3.32, SD = 0.23) สูงกว่าก่อนเข้าร่วมโปรแกรม (M = 2.39, SD = 0.29) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p &lt; 0.001) นอกจากนี้ ระดับพฤติกรรมสุขภาพในแต่ละด้านของหลัก 3อ.2ส. หลังการทดลองก็สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p &lt; 0.001)</p> <p> ผลการศึกษานี้แสดงให้เห็นว่า โปรแกรมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพตามหลัก 3อ.2ส. มีประสิทธิผลในการส่งเสริมพฤติกรรมสุขภาพในกลุ่มเสี่ยงโรคเบาหวาน จึงควรส่งเสริมให้นำโปรแกรมดังกล่าวไปประยุกต์ใช้กับกลุ่มประชากรอื่น เช่น ผู้สูงอายุ และเด็กที่มีภาวะอ้วน เพื่อสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรคเรื้อรังอย่างยั่งยืน</p> นภานุช บุญสิริมงคล Copyright (c) 2025 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-04-30 2025-04-30 2 1 36 50 ผลของโปรแกรมการให้สุขศึกษาต่อความรอบรู้ด้านสุขภาพ พฤติกรรมสุขภาพ และระดับความดันโลหิตของผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงที่ควบคุมระดับความดันโลหิตไม่ได้ในอำเภอเวียงแก่น จังหวัดเชียงราย https://he04.tci-thaijo.org/index.php/jcrpho/article/view/2720 <p> การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบกึ่งทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการให้สุขศึกษาต่อความรอบรู้ด้านสุขภาพ พฤติกรรมสุขภาพ และระดับความดันโลหิตของผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงที่ควบคุมระดับความดันโลหิตไม่ได้ในอำเภอเวียงแก่น จังหวัดเชียงราย ระหว่างเดือนตุลาคม ถึงเดือนธันวาคม พ.ศ. 2566 มีกลุ่มตัวอย่างจำนวน 242 ราย ใช้วิธีการเปิดซองสุ่ม แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ได้รับโปรแกรมจำนวน 121 ราย และกลุ่มที่ไม่ได้รับโปรแกรม จำนวน 121 ราย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบบันทึกข้อมูลทั่วไป แบบประเมินความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมสุขภาพ แบบบันทึกการรับประทานอาหาร แบบบันทึกกิจกรรมทางกาย แบบบันทึกค่าความดันโลหิตที่บ้าน 7 วัน และโปรแกรมการให้สุขศึกษาเก็บข้อมูลก่อนและหลังการวิจัย 8 สัปดาห์ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ การแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ใช้สถิติเชิงวิเคราะห์ ได้แก่ การทดสอบค่าทีแบบจับคู่ (Paired sample t-test) เพื่อเปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยก่อนและหลังการได้รับโปรแกรมในกลุ่มเดียวกัน และการทดสอบค่าทีแบบอิสระ (Independent sample t-test) เพื่อเปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยระหว่างกลุ่มที่ได้รับและไม่ได้รับโปรแกรม</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มที่ได้รับโปรแกรม มีคะแนนเฉลี่ยความรอบรู้ด้านสุขภาพ พฤติกรรมสุขภาพสูงกว่ากลุ่มที่ไม่ได้รับโปรแกรม และสูงกว่าก่อนเข้าร่วมโปรแกรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt;0.001) มีคะแนนเฉลี่ยระดับความดันโลหิต (Systolic) และคะแนนเฉลี่ยระดับความดันโลหิต (Diastolic) ต่ำกว่าก่อนเข้าร่วมโปรแกรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt;0.001) มีระดับความดันโลหิต (Systolic) ต่ำกว่ากลุ่มที่ไม่ได้รับโปรแกรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p=0.004) มีระดับความดันโลหิต (Diastolic) ไม่แตกต่างกันกับกลุ่มที่ไม่ได้รับโปรแกรม (p=0.130) และมีการควบคุมระดับความดันโลหิตได้ดีสูงกว่ากลุ่มที่ไม่ได้รับโปรแกรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p=0.003)</p> <p> สรุปโปรแกรมการให้สุขศึกษานี้ ช่วยให้ผู้ป่วยที่ได้รับโปรแกรมมีความรอบรู้ด้านสุขภาพ พฤติกรรมสุขภาพเพิ่มขึ้น และระดับความดันโลหิตลดลง สามารถนำโปรแกรมไปประยุกต์ใช้กับผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงที่ควบคุมระดับความดันโลหิตไม่ได้ในพื้นที่อื่นๆ ต่อไป</p> พัชรินทร์ เยาว์ธานี นฤมล ลือชา Copyright (c) 2025 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-04-30 2025-04-30 2 1 51 64 ผลการใช้โปรแกรมการให้ความรู้สำหรับการดูแลตนเองของผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 งานผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชเชียงของ https://he04.tci-thaijo.org/index.php/jcrpho/article/view/2931 <p> การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi-experimental research) แบบกลุ่มเดียววัดซ้ำก่อนและหลังการทดลอง มีวัตถุประสงค์ เพื่อเปรียบเทียบค่าเฉลี่ย ความรู้ของเรื่องโรคเบาหวาน พฤติกรรมการดูแลตนเอง และระดับน้ำตาลในเลือดหลังงดอาหาร ก่อนและหลังใช้โปรแกรมการให้ความรู้สำหรับการดูแลตนเองของผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 งานผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชเชียงของ</p> <p> กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้เป็นผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ที่มีค่าน้ำตาลมากกว่า 140 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร 2 ครั้งใน 6 เดือน ที่ขึ้นทะเบียนที่งานการพยาบาลผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชเชียงของ จำนวน 30 คน คัดเลือกแบบเฉพาะเจาะจงตามเกณฑ์ที่กำหนด โดยใช้โปรแกรมการให้ความรู้สำหรับการดูแลตนเองของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา คือ แบบสอบถามข้อมูลทั่วไป แบบทดสอบความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับโรคเบาหวาน แบบสอบถามพฤติกรรมการดูแลตนเอง เก็บรวบรวมข้อมูล เดือนมกราคม ถึง กุมภาพันธ์ 2568 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงเปรียบเทียบใช้ paired t-test</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มทดลองหลังเข้าร่วมโปรแกรมการให้ความรู้สำหรับการดูแลตนเองของโรคเบาหวาน มีคะแนนความรู้เรื่องโรคเบาหวาน พฤติกรรมการดูแลตนเองเพิ่มขึ้น และมีระดับน้ำตาลในเลือดลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt;0.001) ข้อเสนอแนะควรมีการจัดกิจกรรมให้ความรู้ตามโปรแกรมอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดพฤติกรรมที่ดีอย่างยั่งยืน และขยายผลไปยังผู้ป่วยกลุ่มอื่นๆ</p> วิไลวรรณ มาคำ ชินกร มาคำ ทาริกา อำมาตย์มณี Copyright (c) 2025 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-04-30 2025-04-30 2 1 65 77