วารสารสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย https://he04.tci-thaijo.org/index.php/jcrpho <p>วารสารสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย (Journal of Chiang Rai Provincial Health Office) จัดทำขึ้นเพื่อเผยแพร่ บทความวิจัย (Research Article) บทความวิชาการ (Academic Article) บทความปริทัศน์ (Literature Review Article) ตลอดจนองค์ความรู้ ที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมสุขภาพ ป้องกันโรครักษาพยาบาล ฟื้นฟูสภาพ การแพทย์ฉุกเฉินและคุ้มครองผู้บริโภค ระบบสุขภาพและการประเมินผลโครงการด้านสุขภาพ การพัฒนาศักยภาพบุคลากรและเครือข่ายด้านสุขภาพ บทความวิชาการทางด้านการแพทย์</p> สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย th-TH วารสารสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย <p>บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย</p> <p>ข้อความที่ปรากฏในบทความแต่ละเรื่องในวารสารวิชาการเล่มนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนแต่ละท่านไม่เกี่ยวข้องกับสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย และบุคลากรท่านอื่น ในสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย แต่อย่างใด ความรับผิดชอบองค์ประกอบทั้งหมดของบทความแต่ละเรื่องเป็นของผู้เขียนแต่ละท่าน หากมีความผิดพลาดใด ๆ ผู้เขียนแต่ละท่านจะรับผิดชอบบทความของตนเองแต่ผู้เดียว</p> ผลกระทบของการบริโภคอาหารแปรรูปชั้นสูงต่อสุขภาพ: การทบทวนวรรณกรรม https://he04.tci-thaijo.org/index.php/jcrpho/article/view/1304 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาทบทวนวรรณกรรมเกี่ยวกับผลกระทบของการบริโภคอาหารแปรรูปชั้นสูงต่อสุขภาพ โดยค้นหาข้อมูลผลการวิจัยจากฐานข้อมูล PubMed, Scopus, Mendeley, Web of Science และ Google Scholar ครอบคลุมระยะเวลาตั้งแต่ปี พ.ศ.2563 – 2567 โดยใช้คำค้นหา เช่น “อาหารแปรรูปขั้นสูงกับสุขภาพ”, “ผลกระทบของอาหารแปรรูปต่อสุขภาพ”, “บริโภคอาหารแปรรูปกับผลต่อสุขภาพ” และคัดเลือกวารสารที่เกี่ยวข้องโดยระบบการจำแนก NOVA เป็นระบบการจำแนกอาหารที่ถูกพัฒนาขึ้น โดยนักโภชนาการและนักวิจัย<br />ด้านสาธารณสุข เพื่อการวิเคราะห์การประมวลผลอาหารและผลกระทบต่อสุขภาพ</p> <p>ผลการวิจัย ชี้ให้เห็นว่า UPF ส่งผลเสียต่อสุขภาพหลายด้าน ดังนี้ การเพิ่มความเสี่ยงโรคอ้วนและภาวะน้ำหนักเกินทั้งในผู้ใหญ่และเด็ก การเพิ่มความเสี่ยงโรคเบาหวานชนิดที่ 2 โดยเฉพาะในผู้ใหญ่ การเพิ่มความเสี่ยงโรคระบบไหลเวียนโลหิต เช่น โรคหัวใจขาดเลือก โรคหลอดเลือดสมอง และโรคความดันโลหิตสูง ทั้งในผู้ใหญ่และเด็ก การเพิ่มความเสี่ยงโรคลำไส้อักเสบโดยเฉพาะในผู้ชาย การเพิ่มความเสี่ยงโรคมะเร็ง เช่น มะเร็งเต้านมซึ่งเกี่ยวกับฮอร์โมนเอสโตรเจน การเพิ่มความเสี่ยงผลกระทบต่อสุขภาพหญิงตั้งครรภ์ การเพิ่มความเสี่ยงต่อผลกระทบทางสุขภาพจิต เช่น ภาวะซึมเศร้าและวิตกกังวล และลดปริมาตรเนื้อเยื่อสีเทาในสมองบางส่วน โดยเฉพาะในผู้ที่มี<br />ภาวะอ้วน</p> <p>สรุปผลการวิจัย การบริโภค UPF ส่งผลเสียต่อสุขภาพโดยรวม ควรลดการบริโภค UPF หันมาบริโภคอาหารที่ผ่านการแปรรูปน้อยหรือไม่ผ่านการแปรรูป เช่น ผัก ผลไม้ ธัญพืช ถั่ว โปรตีนจากธรรมชาติ</p> <p> </p> อนุรักษ์ ศรีใจ Copyright (c) 2024 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-30 2024-12-30 1 3 66 82 ประสิทธิผลของการพัฒนาคุณภาพของคลินิกโรคไม่ติดต่อระดับโรงพยาบาลกับผลการรักษาผู้ป่วยโรคเบาหวานและโรคความดันโลหิตสูงจังหวัดเชียงราย https://he04.tci-thaijo.org/index.php/jcrpho/article/view/1820 <p>การศึกษาครั้งนี้เป็นการศึกษาแบบภาคตัดขวาง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบของการพัฒนาคุณภาพของคลินิกโรคไม่ติดต่อกับผลการรักษาผู้ป่วยโรคเบาหวานและโรคความดันโลหิตสูงโดยประเมินจากฐานข้อมูลของโรงพยาบาลจำนวน 18 แห่งในสังกัดสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย วิธีการศึกษาโดยใช้การประเมินคุณภาพผ่านระบบ NCD Clinic Plus Online ระหว่างเดือนมิถุนายน ถึง กันยายน 2567 ประเมินองค์ประกอบของการพัฒนาคุณภาพ 6 องค์ประกอบ ได้แก่ (1) ทิศทางและนโยบาย (2) ระบบสารสนเทศ (3) การปรับระบบและกระบวนการบริการ (4) ระบบสนับสนุนการจัดการตนเอง (5) ระบบสนับสนุนการตัดสินใจ (6) การจัดบริการเชื่อมโยงชุมชน และส่วนของผลการรักษา ได้แก่ ร้อยละของผู้ป่วยเบาหวานควบคุมระดับน้ำตาลได้ดีตามเกณฑ์เป้าหมาย และร้อยละของผู้ป่วยความดันโลหิตสูงควบคุมระดับความดันโลหิตได้ดีตามเกณฑ์เป้าหมาย วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา สถิติอ้างอิงค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า โรงพยาบาลที่สามารถควบคุมระดับความดันได้ดีร้อยละ 67.41 และควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดี ร้อยละ 45.75 ปัจจัยด้านระบบสนับสนุนการเชื่อมโยงชุมชนมีความสัมพันธ์กับการควบคุมควบคุมระดับความดันโลหิตของผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงและการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยโรคเบาหวาน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ p-value &lt;0.05 ทั้งนี้ควรขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะด้านสุขภาพโดยบูรณาการกับคณะพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับพื้นที่ จัดกิจกรรมเรียนรู้และติดตามผล เพื่อเสริมความเข้มแข็งในการจัดการโรคเบาหวานและโรคความดันโลหิตสูง</p> พัทธนันท์ ศรีอ่อนทอง ภัทรียา นภาลัย Copyright (c) 2024 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-30 2024-12-30 1 3 1 10 ผลของโปรแกรมการจัดการตนเองต่อค่าสมรรถภาพปอดของผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง โรงพยาบาลเวียงแก่น จังหวัดเชียงราย https://he04.tci-thaijo.org/index.php/jcrpho/article/view/2265 <p>โรคปอดอุดกั้นเรื้อรังเป็นโรคที่ส่งผลให้สมรรถภาพปอดลดลง การวิจัยเป็นแบบกึ่งทดลองสองกลุ่มวัดก่อนและหลังการทดลอง วัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการจัดการตนเองต่อค่าสมรรถภาพปอดของผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง</p> <p>เก็บรวบรวมข้อมูลที่โรงพยาบาลเวียงแก่น จังหวัดเชียงราย ระหว่างเดือนมกราคม ถึง เดือนมีนาคม พ.ศ. 2567 กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยเป็นโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง จำนวน 70 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลอง 35 คน และกลุ่มควบคุม 35 คน โดยการสุ่มอย่างง่าย กลุ่มควบคุมได้รับการดูแลแบบปกติ และกลุ่มทดลองได้รับโปรแกรมการจัดการตนเอง 8 สัปดาห์ เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบบันทึกสมรรถภาพปอด แบบวัดความรุนแรงของอาการเหนื่อย และแบบวัดพฤติกรรมการจัดการตนเองของผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง โดยแบบประเมินพฤติกรรมฯ มีค่าดัชนีความตรงตามเนื้อหาเท่ากับ 0.9 และมีค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบราค เท่ากับ 0.83</p> <p>ผลการศึกษาพบว่าหลังเข้าร่วมโปรแกรมกลุ่มทดลองมีค่าเฉลี่ยระดับความรุนแรงของอาการเหนื่อยต่ำกว่าก่อนการทดลอง และต่ำกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt;0.001, p&lt;0.001 ตามลำดับ) ค่าเฉลี่ยระยะทางของการเดินทดสอบความทนต่อการออกกำลังกายภายในเวลา 6 นาที และคะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมการจัดการตนเอง สูงกว่าก่อนการทดลอง และสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p=0.014, p&lt;0.001 ตามลำดับ) ค่าเฉลี่ยปริมาตรของอากาศที่เป่าออกอย่างเร็วและแรงใน 1 วินาทีสูงกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt;0.001) แต่ไม่แตกต่างกับกลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ผลการศึกษาครั้งนี้แสดงให้เห็นว่าโปรแกรมการการจัดการตนเองช่วยพัฒนาสมรรถภาพปอด และพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยได้ จึงควรมีการนำไปใช้อย่างต่อเนื่อง</p> ธณิกานต์ ฉายอรุณ พัชรินทร์ เยาว์ธานี Copyright (c) 2024 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-30 2024-12-30 1 3 11 23 ประสิทธิผลของโปรแกรมพัฒนาทักษะการดูแลผู้สูงอายุภาวะพึ่งพิงต่อทักษะการดูแลในพื้นที่อำเภอป่าแดด จังหวัดเชียงราย https://he04.tci-thaijo.org/index.php/jcrpho/article/view/1623 <p>การศึกษาวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบความรู้ในเรื่องการดูแลผู้สูงอายุภาวะพึ่งพิงของกลุ่มผู้ดูแลก่อนและหลังการได้รับโปรแกรม 2) เปรียบเทียบทักษะของผู้ดูแลผู้สูงอายุภาวะพึ่งพิงก่อนและหลังการได้รับโปรแกรม 3) เปรียบเทียบระดับความสามารถของผู้สูงอายุภาวะพึ่งพิงในการประกอบกิจวัตรประจำวันก่อนและหลังการได้รับโปรแกรมจำนวน 30 คน เป็นการวิจัย ชนิดกลุ่มเดียววัดผลก่อนและหลังการทดลองการวิจัยกึ่งทดลอง เครื่องมือวิจัยประกอบด้วยแบบสอบถามปัจจัยส่วนบุคคล แบบประเมินความรู้ ทักษะของผู้ดูแล และระดับความสามารถในการประกอบกิจวัตรประจำวันของผู้สูงอายุภาวะพึ่งพิง การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมานโดยใช้ Paired t-test</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างมีความรู้ในการดูแลผู้สูงอายุภาวะพึ่งพิงอยู่ในระดับปานกลาง ( x̄ = 13.37) ภายหลังการทดลอง ( x̄ = 18.50) อยู่ในระดับสูง ซึ่งมีค่าสูงกว่าก่อนได้รับโปรแกรมพัฒนาทักษะการดูแลผู้สูงอายุภาวะพึ่งพิงต่อทักษะการดูแลของผู้ดูแล อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 ทักษะในการดูแลผู้สูงอายุของกลุ่มผู้ดูแลผู้สูงอายุภาวะพึ่งพิงอยู่ในระดับปานกลาง ( x̄ = 2.79) ภายหลังการทดลอง ( x̄ = 4.55) อยู่ในระดับสูง ทักษะของผู้ดูแลผู้สูงอายุภาวะพึ่งพิงซึ่งมีค่าสูงกว่าก่อนได้รับโปรแกรมพัฒนาทักษะการดูแลผู้สูงอายุภาวะพึ่งพิงต่อทักษะการดูแลของผู้ดูแล อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 ระดับความสามารถในการประกอบกิจวัตรประจำวันของผู้สูงอายุภาวะพึ่งพิง (ADL) มีค่าเฉลี่ยของคะแนนเท่ากับ 7.07 ภายหลังการทดลองมีค่าเฉลี่ยของคะแนนเท่ากับ 8.40 ซึ่งมีค่าสูงกว่าก่อนได้รับโปรแกรมพัฒนาทักษะการดูแลผู้สูงอายุภาวะพึ่งพิงต่อทักษะการดูแลของผู้ดูแล อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01</p> <p>ผลการศึกษานี้ชี้ให้เห็นว่าโปรแกรมพัฒนาทักษะการดูแลผู้สูงอายุภาวะพึ่งพิงสามารถเพิ่มความรู้ ทักษะของผู้ดูแล และความสามารถในการประกอบกิจวัตรประจำวันของผู้สูงอายุได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งสามารถนำไปใช้เป็นแนวทางในการออกแบบกิจกรรมพัฒนาทักษะสำหรับผู้ดูแลในอนาคต</p> นภานุช บุญสิริมงคล Copyright (c) 2024 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-30 2024-12-30 1 3 24 36 ประสิทธิผลของโปรแกรมการดูแลสตรีตั้งครรภ์ที่เสี่ยงต่อภาวะเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนด ในโรงพยาบาลแม่สรวย https://he04.tci-thaijo.org/index.php/jcrpho/article/view/1190 <p>การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบกึ่งทดลองศึกษากลุ่มเดียววัดผลก่อนและหลังทดลอง เพื่อศึกษาผลของโปรแกรม การดูแลสตรีตั้งครรภ์ที่เสี่ยงต่อภาวะเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนด ในการลดอัตราคลอดก่อนกำหนดด้วย การเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยความรู้เกี่ยวกับการเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนด การสังเกตอาการการเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนด ก่อนและหลังได้รับการสอน ประชากรที่จะศึกษา ได้แก่ หญิงตั้งครรภ์ที่มีความเสี่ยงต่อภาวะเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนด จำนวน 30 คน เครื่องมือวิจัยประกอบด้วย 1) แบบสอบถามคัดกรองปัจจัยเสี่ยง 2) แบบประเมินความรู้เกี่ยวกับภาวะเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนด และ 3) แบบสอบถามการสังเกตอาการ ซึ่งผ่านการตรวจสอบความตรงตามเนื้อหาโดยผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน มีค่าดัชนีความตรงเท่ากับ 0.86, 0.95 และ 0.95 ตามลำดับ ความเชื่อมั่นของเครื่องมือวัดหาค่าด้วยสูตร KR-20 ของคูเดอร์-ริชาร์ดสัน ได้ค่าเท่ากับ 0.85 และ 0.92 และความเชื่อมั่นของการสังเกตระหว่างผู้ประเมิน 4 คนเท่ากับ 0.92</p> <p>ผลการศึกษาพบว่าภายหลังการเข้าร่วมโปรแกรมการดูแลสตรีตั้งครรภ์ที่เสี่ยงต่อภาวะ เจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนดมีความรู้และการสังเกตอาการเกี่ยวกับภาวะเจ็บครรภ์คลอด ก่อนกำหนด โดยมีคะแนนเฉลี่ยความรู้เกี่ยวกับภาวะเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนดเท่ากับ 11.23 (S.D. = 2.08) และหลังเข้าร่วมโปรแกรมเท่ากับ 13.23 (S.D. = 1.43) คะแนนการสังเกตอาการเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนด ก่อนเข้าร่วมโปรแกรมเท่ากับ 7.50 (S.D. = 2.03) และหลังเข้าโปรแกรมเท่ากับ 9.37 (S.D. = 1.10) เมื่อเปรียบเทียบความรู้และการสังเกตอาการเกี่ยวกับภาวะเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนด พบว่าหลังเข้าโปรแกรมมีค่าเฉลี่ยสูงกว่าก่อนเข้าร่วมโปรแกรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p–value &lt; 0.001)</p> <p>โปรแกรมนี้ควรได้รับการขยายผลไปใช้ในสถานบริการสาธารณสุขอื่น ๆ และพัฒนาเพิ่มเติมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการลดอัตราการคลอดก่อนกำหนดอย่างยั่งยืน</p> จีราภรณ์ จอมกัน ณัฐธยาน์ วังขา สินีนาฎ หงษ์ระนัย Copyright (c) 2024 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-30 2024-12-30 1 3 37 52 ผลของการประคบเย็นต่อการลดปวดในระยะเจ็บครรภ์คลอดในผู้คลอดครรภ์แรก โรงพยาบาลแม่สรวย จังหวัดเชียงราย https://he04.tci-thaijo.org/index.php/jcrpho/article/view/1292 <p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการใช้ความเย็นต่อการลดปวดและ ลดระยะเวลาในการเจ็บครรภ์คลอดในผู้คลอดครรภ์แรกในโรงพยาบาลแม่สรวย จังหวัดเชียงราย กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้คลอดครรภ์แรกที่อยู่ในระยะเจ็บครรภ์คลอด ณ งานการพยาบาลผู้คลอด โรงพยาบาลแม่สรวย จังหวัดเชียงราย ระหว่าง เดือนพฤศจิกายน 2566 – มกราคม 2567 เลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจงตามคุณสมบัติที่กำหนด คืออายุครรภ์ระหว่าง 37-42 สัปดาห์ ไม่มีภาวะแทรกซ้อนระหว่างตั้งครรภ์และระยะรอคลอด ไม่ได้รับยาเร่งคลอด และไม่ได้รับยาบรรเทาปวด จำนวน 40 ราย แบ่งเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมกลุ่มละ 20 ราย โดยกลุ่มทดลองได้รับการประคบเย็นบริเวณหน้าท้องส่วนล่าง และหลังส่วนล่าง โดยใช้ถุงประคบเย็นที่มีอุณหภูมิประมาณ 10-15 องศาเซลเซียส ประคบนาน 20 นาที พัก 40 นาที และกลุ่มควบคุมได้รับการดูแลตามปกติ เริ่มทำการทดลองเมื่อปากมดลูกเปิด 4 เซนติเมตร จนปากมดลูกเปิดหมด 10 เซนติเมตร ประเมินความเจ็บปวดโดยใช้แบบบันทึกความเจ็บปวดแบบ Numeric Pain Rating Scale วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และสถิติทดสอบค่าทีอิสระ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มทดลองมีคะแนนความปวดเฉลี่ยต่ำกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt;0.05) และมีระยะเวลาในระยะเจ็บครรภ์คลอดสั้นกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt;0.05) การวิจัยครั้งนี้แสดงให้เห็นว่าการประคบเย็นบริเวณหน้าท้องส่วนล่าง และหลังส่วนล่าง สามารถบรรเทาความเจ็บปวด และช่วยลดระยะเวลาของผู้คลอดในระยะเจ็บครรภ์คลอดให้สั้นลงได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ดังนั้นการบรรเทาความเจ็บปวดแบบไม่ใช้ยา โดยใช้ความเย็นจึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการลดปวดในระยะคลอดได้</p> ศุภมาส เชื้อเมืองพาน Copyright (c) 2024 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-30 2024-12-30 1 3 53 65