https://he04.tci-thaijo.org/index.php/jodpc12sk/issue/feed
วารสารสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 12 สงขลา
2025-02-18T00:00:00+07:00
สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 12 จังหวัดสงขลา
journal.odpc12@gmail.com
Open Journal Systems
<p>วารสารสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 12 สงขลา เป็นวารสารของสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 12 จังหวัดสงขลา<strong><br />ISSN </strong>2985-1157 (Online)<strong><br />ภาษาที่รับตีพิมพ์ : </strong>ภาษาไทย<strong><br /></strong><strong>กำหนดออก : </strong>จัดพิมพ์ปีละ 2 ฉบับ<br /> ฉบับที่ 1 มกราคม – มิถุนายน<br /> ฉบับที่ 2 กรกฎาคม – ธันวาคม<strong><br />นโยบายและขอบเขตการตีพิมพ์ :</strong> บทความวิชาการ บทความวิจัย บทความฟื้นวิชา และรายงานผู้ป่วย/สอบสวนโรค เกี่ยวกับด้านการป้องกันควบคุมโรคและภัยสุขภาพ</p>
https://he04.tci-thaijo.org/index.php/jodpc12sk/article/view/958
การทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบ: ความสัมพันธ์ของยีนในระบบภูมิคุ้มกันของยุงก้นปล่องต่อการติดเชื้อมาลาเรีย
2024-06-25T14:12:40+07:00
กีรติ กิตติวัฒนาวงศ์
kerati.kw@gmail.com
ธีรกมล เพ็งสกุล
theerakamol.p@psu.ac.th
โสภาวดี มูลเมฆ
sopavadee14@yahoo.com
<p>การศึกษายีนในระบบภูมิคุ้มกันกลุ่ม JAK-STAT pathway ของยุงกันปล่องในด้านกลไกการตอบสนองการติดเชื้อมาลาเรีย โดยทำงานร่วมกับยืน NOS, TEP1, SOCS, และ HPX15 มีแนวโน้มที่จะแสดงให้เห็นถึงกลุ่มยื่นที่ส่งเสริม หรือยีนกลุ่มต้องสัย ซึ่งส่งผลให้ยุงกันปล่องมีศักยภาพในการนำโรคมาลาเรีย การศึกษาในครั้งนี้ใช้การพบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบโดยมีแนวทางการศึกษาว่าหากยุงกันปล่องมียีนในกลุ่มต้องสัยที่จะส่งเสริมศักยภาพในการนำโรคมาลาเรียเพิ่มขึ้นก็จะมีแนวโน้มให้ยุงก้นปล่องชนิดนั้น ๆ สามารถเป็นพาหะหลักในการนำเชื้อมาลาเรียได้เช่นเดียวกัน หากมียีนในกลุ่มต้องสงสัยน้อยลงจะลดศักยภาพในการนำเชื้อมาลาเรียได้ การยับยั้งการแสตงออกของยีนโดยเฉพาะในกลุ่มยีนที่ส่งเสริมให้ยุงกันปล่องมีศักยภาพในการนำโรคมาลาลาเรียจึงเป็นแนวทางในการลดความสามารถการเป็นพาหะนำโรคมาลาเรียได้ ผลการสืบค้นอย่างเป็นระบบที่เกี่ยวข้องกับยืนกลุ่มต้องสงสัยทีใด้รับการยืนยันยันว่ามีความสัมพันธ์ต่อการนำเชื้อมาลาเรีย หากยับยั้งการแสดงออกของยีนเหล่านี้จะทำให้การพัฒนาของเชื้อมาลาเรียลดลง เช่น การยับยั้งยืน <em>HPX15</em> ส่งผลให้จำนวนของ ookinete ที่เกิดขึ้นในทางเดินอาหารชั้นกลางของยุงกันปล่องลดลงอย่างมีนัยสำคัญ หรือยีน <em>SOCS</em> และยีน <em>PIAS</em> ที่เป็นกลไก negative feedback ต่อ JAK-STAT เพื่อหยุดการกระตุ้นยีน <em>NOS</em> ซึ่งยับยั้งการเกิด Hyper-immunity แต่ในช่วงเวลา 24 ชั่วโมงหลังการติดเชื้อช่วงที่ ookinete มีการเจริญเติบโตเต็มที่และพร้อมที่จะฝังตัว การทบทวนอย่างเป็นระบบครั้งนี้ได้ให้ความเข้าใจในระบบภูมิคุ้มกันของยุงกันปล่องแต่ละชนิดที่แตกต่างกัน รวมถึงบทบาทหน้าที่ของแต่ล่ะยีน และสามารถนำองค์ความรู้ที่ได้ไปพัฒนาแนวทางที่สามารถยับยั้งการแสดงออกของยีนที่ส่งเสริมให้ยุงกันปล่องมีศักยภาพในการนำโรคมาลาเรียเพื่อเป็นการป้องกันและควบคุมการระบาดของโรคมาลาเรียในอีกรูปแบบหนึ่ง</p>
2025-02-18T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 12 สงขลา
https://he04.tci-thaijo.org/index.php/jodpc12sk/article/view/1807
การประเมินผลภารกิจด้านการป้องกันควบคุมโรคและภัยสุขภาพภายหลังการถ่ายโอนโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลไปสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดในเขตสุขภาพที่ 12
2024-09-17T10:07:12+07:00
ดารารัตน์ สำเภาสงฆ์
somdara@gmail.com
ฝนทิพย์ พริกชู
sorvore_12@hotmail.com
ธนิษฐา ดิษสุวรรณ์
thanittha_dit@hotmail.com
<p>วิจัยประเมินผลตามรูปแบบ CIPP Model ครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินผลภารกิจด้านการป้องกันควบคุมโรคและภัยสุขภาพของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ภายหลังการถ่ายโอนไปสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัด เขตสุขภาพที่ 12 จำนวน 28 แห่งใน จ.พัทลุง ปัตตานี สงขลา และสตูล เลือกกลุ่มตัวอย่างในสังกัด อบจ. แบบเจาะจง (69 คน) และประชาชนในเขต รพ.สต.ถ่ายโอนแบบบังเอิญ (403 คน) เก็บข้อมูลโดยแบบสัมภาษณ์ แบบประเมินความพึงพอใจ และแบบประเมินผลผลิตโดยผ่านผู้เชี่ยวชาญ (0<strong>.</strong>9) วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ ด้วยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา และตรวจสอบสามเส้า เชิงปริมาณด้วยสถิติเชิงพรรณนา ผลการศึกษา 1. บริบท พบมีนโยบาย ระบบงาน การสื่อสารชัดเจน มีความแตกต่างด้านบริหารจัดการตามขนาด รพ.สต. และความสัมพันธ์กับเครือข่าย 2<strong>. </strong>ปัจจัยนำเข้า พบภาวะผู้นำ จัดการแบบยืดหยุ่นตามบริบท เพิ่มจำนวนบุคลากร (ก่อน median 6 (3,18) หลัง median 9 (6,29)) และงบประมาณจากเงินอุดหนุน การเข้าถึงยา/เวชภัณฑ์ และการให้บริการจาก CUP และอบจ. เข้าถึงได้เฉพาะ HDC 3<strong>.</strong> กระบวนการ พบด้านป้องกัน เฝ้าระวัง ควบคุมโรคและตอบโต้ภาวะฉุกเฉินดำเนินการตามแนวทางมาตรฐาน 4<strong>. </strong>ด้านผลผลิต (28 แห่ง) พบว่า 1) การป้องกันโรค ความครอบคลุมวัคซีน DTP3 (เกณฑ์ ≥90) และ MMR2 (เกณฑ์ ≥95) ไม่ผ่านเกณฑ์ (ร้อยละ 50, 54) และมีผลงานลดลง (ร้อยละ 50, 54) 2) การเฝ้าระวังโรค การคัดกรองและตรวจติดตามโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง ไม่ผ่านเกณฑ์ (ร้อยละ 32, 50) และมีผลงานลดลง (ร้อยละ 64, 71) 3) การควบคุมโรค/ตอบโต้ภาวะฉุกเฉิน ควบคุมการระบาดระลอก 2 ของโรคไข้เลือดออกได้สำเร็จ ร้อยละ 50 ผลความพึงพอใจ พบกลุ่มประชาชนระดับมากที่สุด ( <img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?&space;x\bar{}" alt="equation" /> 4.75 ±0.52) และกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสียระดับมาก ( <img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?&space;x\bar{}" alt="equation" /><strong> </strong>3.85 ±0.71) ข้อเสนอแนะ ควรพัฒนาศักยภาพบุคลากร อบจ. ด้านการเข้าถึงข้อมูล การเพิ่มการบันทึกข้อมูลด้านการป้องกันควบคุมโรคและภัยสุขภาพตามหลักระบาดวิทยาเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในการเฝ้าระวังและควบคุมโรคต่อไป</p>
2025-02-18T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 12 สงขลา
https://he04.tci-thaijo.org/index.php/jodpc12sk/article/view/1554
ประสิทธิผลการให้บริการสาธารณสุขของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลก่อนและหลังถ่ายโอนไปสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครศรีธรรมราช
2024-11-23T21:23:20+07:00
มณู ตลึงเพชร
manu3942@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการศึกษาเชิงพรรณนา มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบผลของการให้บริการสาธารณสุขของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลก่อนและหลังถ่ายโอนไปสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครศรีธรรมราช จำนวน 36 แห่ง โดยการรวบรวมข้อมูลผลงานการให้บริการสาธารณสุขดำเนินงาน 7 ภารกิจ ประกอบด้วย 1.งานอนามัยแม่และเด็ก 2.งานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค 3. การคัดกรอง 4.การเฝ้าระวัง 5.งานโภชนาการ 6.การเฝ้าระวังด้านส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อม และ7.งานส่งเสริมและป้องกันปัญหาสุขภาพจิต รวม 81 กิจกรรม จากรายงานในระบบ Health Data Center ของศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ปีงบประมาณ 2565 และ 2566 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าเฉลี่ยและร้อยละ และสถิติเชิงอ้างอิง ได้แก่ paired t-test ผลการศึกษา พบว่า ค่าเฉลี่ยของร้อยละผลงานของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลระหว่างก่อนถ่ายโอนกับหลังถ่ายโอนไปสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครศรีธรรมราช โดยกำหนดค่านัยสำคัญที่ 0.05 พบว่า ก่อนการถ่ายโอนมีค่าเฉลี่ยร้อยละของผลงานมากกว่าหลังจากถ่ายโอน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ จำนวน 19 กิจกรรม หลังถ่ายโอนมีค่าเฉลี่ยร้อยละของผลงานมากกว่าก่อนถ่ายโอน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ จำนวน 18 กิจกรรม ค่าเฉลี่ยร้อยละของผลงานก่อนและหลังถ่ายโอนไม่แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ จำนวน 44 กิจกรรม จะเห็นได้ว่า ผลงานการให้บริการสาธารณสุขของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล หลังจากถ่ายโอนไปสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครศรีธรรมราช มีกิจกรรมที่ทำผลงานได้ไม่ต่างจากก่อนถ่ายโอนมากนัก มีหลายกิจกรรมที่ทำผลงานได้ดีกว่าก่อนถ่ายโอน ถึงแม้ว่าบางกิจกรรมจะทำผลงานได้น้อยลงก็ตาม ควรมีทีมกำกับติดตาม นิเทศการทำงานของเจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลที่ถ่ายโอนอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ความรู้เพิ่มเติม รับทราบปัญหา อุปสรรคและหาทางแก้ไขร่วมกัน</p>
2025-02-18T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 12 สงขลา
https://he04.tci-thaijo.org/index.php/jodpc12sk/article/view/2251
ประสิทธิภาพการวินิจฉัยของชุดทดสอบแอนติเจน SARS-CoV-2 Rapid test และความสัมพันธ์กับค่า Ct (Cycle threshold) วิธี Realtime – PCR
2024-12-06T11:13:38+07:00
ปณัฐฐา ไชยมุติ
syberiabox@gmail.com
<p>การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส SARs-CoV-2 มีการกระจายไปทั่วโลกอย่างรวดเร็ว ดังนั้นวิธีการตรวจที่ง่ายรวดเร็วและมีความแม่นยำ จึงจำเป็นอย่างยิ่งในการนำมาใช้วินิจฉัยการติดเชื้อ SARS-CoV-2 จึงควรมีการประเมินประสิทธิ์ภาพของชุดทดสอบแอนติเจน SARS-CoV-2 Rapid test โดยการเปรียบเทียบกับวิธี Real-time PCR ซึ่งเป็นวิธีมาตรฐานที่ใช้ในการวินิจฉัยโรคโควิด19 การศึกษานี้ได้นำชุดทดสอบ VTRUST Antigen test ทดสอบกับตัวอย่าง Nasopharyngeal swab จากผู้ที่สงสัยว่ามีการติดเชื้อที่เข้ามารับบริการที่โรงพยาบาลหาดใหญ่ จำนวน 368 ราย รายงานผลบวกจำนวน 163 ราย และ ผลลบจำนวน 205 ราย ผลการทดสอบประสิทธิภาพการตรวจวินิจฉัยด้วยวิธีแอนติเจน SARS-CoV-2 กับความสัมพันธ์ค่า Ct ด้วยวิธี Real-time RT-PCR พบว่า ผลบวกด้วยวิธีแอนติเจน SARS-CoV-2 เมื่อตรวจยืนยันด้วย วิธี Real-time RT-PCR พบยีนเป้าหมาย ORF1ab มีค่า cycle threshold (Ct) เฉลี่ย 18.6 ± 3.8 ยีน N มีค่า cycle threshold (Ct) เฉลี่ย 17.6 ± 3.87 และยีน E มีค่า cycle threshold (Ct) เฉลี่ย 18.03 ± 3.81 และตรวจพบการรายงานผลลบ จำนวน 12 ราย แต่ยืนยันแล้วให้ผลบวกด้วยวิธี Real-time RT-PCR มียีนเป้าหมาย ORF1ab มีค่า cycle threshold (Ct) เฉลี่ย 33.05 ± 3.86 (min23.28, max 37.47) ยีน N มีค่า cycle threshold (Ct) เฉลี่ย 31.99 ± 3.31 (min 23, max 35.12) และ ยีน E มีค่า cycle threshold (Ct) เฉลี่ย 32.36 ± 3.88 (min 22.97, max 37.42) มี sensitivity และ specificity เท่ากับ 93.10%, 99.48% ตามลำดับ ประสิทธิภาพของชุดทดสอบ SARS-CoV-2 Rapid test ที่มีความไวและความจำเพาะที่ดีจะสามารถใช้คัดกรองผู้ติดเชื้อได้ดี ช่วยควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อ covid-19 ได้</p>
2025-02-18T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 12 สงขลา
https://he04.tci-thaijo.org/index.php/jodpc12sk/article/view/1735
การประเมินระบบเฝ้าระวังโรคไข้หวัดใหญ่ โรงพยาบาลเกาะลันตา อำเภอเกาะลันตา จังหวัดกระบี่ ปี พ.ศ.2565
2025-01-13T10:05:45+07:00
วิรยุทธ สนธิเมือง
wirayutson@gmail.com
ประภัสสร ดำแป้น
prapatsornmam@gmail.com
<p>ปี 2565 อำเภอเกาะลันตา จังหวัดกระบี่ มีอัตราป่วยโรคไข้หวัดใหญ่เพิ่มสูงขึ้น จากการประเมินระบบรายงานการเฝ้าระวังทางระบาดวิทยา (รายงาน 506) พบความครอบคลุมของการรายงานร้อยละ 42.6 อีกทั้งการถ่ายโอนภารกิจโรงพยาบาลส่งเสริมตำบลในพื้นที่ ให้แก่องค์การบริหารส่วนจังหวัด อาจส่งผลกระทบต่อระบบเฝ้าระวังควบคุมโรคไข้หวัดใหญ่ในพื้นที่ได้ การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาขั้นตอนการรายงานโรค คุณลักษณะเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพของระบบเฝ้าระวังโรคไข้หวัดใหญ่ แนวทางการปรับปรุงพัฒนาระบบการเฝ้าระวังและควบคุมโรคที่มีประสิทธิภาพในพื้นที่หลังการถ่ายโอนภารกิจโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลให้แก่องค์การบริหารส่วนจังหวัด ทำการศึกษาแบบภาคตัดขวาง ทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ โดยทบทวนข้อมูลผู้ป่วยที่ถูกรายงานเข้าระบบรายงาน 506 ด้วยโรคไข้หวัดใหญ่ และข้อมูลผู้ป่วยจากเวชระเบียน ปี 2565 ผู้ป่วยที่รับการรักษาในโรงพยาบาลเกาะลันตา รหัส ICD<strong>-</strong>10: J09-J11 237 ราย ผู้ป่วยโรคที่มีอาการใกล้เคียง 348 ราย โดยใช้นิยามกองระบาดวิทยา ร่วมกับสัมภาษณ์ผู้เกี่ยวข้องกับระบบเฝ้าระวังทุกระดับ ผลการศึกษา พบว่า เวชระเบียนผู้ป่วยที่เข้าได้ตามเกณฑ์การศึกษาทั้งหมด 585 เวชระเบียน ตรงตามนิยามโรคและแนวทางการรายงานโรค 286 ราย ได้รับรายงาน 101 ราย มีค่าความไวอยู่ในระดับต่ำ ร้อยละ 10.50 และเมื่อเปรียบเทียบกับผู้ป่วยที่ได้รายงาน 101 ราย เข้านิยามการเฝ้าระวังโรค 74 ราย ค่าพยากรณ์ผลบวกในระดับดี ร้อยละ 73.27 ข้อมูลในรายงาน ทั้ง 74 ฉบับ ครบถ้วนสมบูรณ์ ร้อยละ 100 ความถูกต้องของเพศ วันที่เริ่มป่วย วันที่วินิจฉัยสูง ร้อยละ 100 อายุ ร้อยละ 94.06 ความทันเวลา ร้อยละ 100 ความเป็นตัวแทนของข้อมูลในตัวแปร เพศ อายุ ตัวแปรเดือนที่พบผู้ป่วยไม่สามารถใช้เป็นตัวแทนได้ คุณลักษณะเชิงคุณภาพ พบว่า ผู้เกี่ยวข้องทุกระดับทราบว่า เป็นโรคที่ต้องรายงาน ตระหนักถึงความสำคัญและให้ความร่วมมือ ผู้บริหารให้ความสำคัญต่อระบบ เฝ้าระวัง ระบบมีความง่าย ยืดหยุ่น ความมั่นคงปานกลาง เนื่องจากผู้ปฏิบัติงานศูนย์ข้อมูลอำเภอขาดความต่อเนื่องในการรายงานโรคในระบบเฝ้าระวังจากผลกระทบการถ่ายโอนภารกิจโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลไปองค์การบริหารส่วนจังหวัด ความยอมรับและการนําไปใช้ประโยชน์ในหน่วยงานสาธารณสุขสูง ส่วนองค์การบริหารส่วนจังหวัดใช้ประโยชน์จากข้อมูลต่ำ โดยภาพรวมระบบเฝ้าระวังโรคไข้หวัดใหญ่ของโรงพยาบาลเกาะลันตา มีประสิทธิภาพปานกลาง ค่าความไวข้อมูลอยู่ในเกณฑ์ควรปรับปรุง ดังนั้น ควรให้ความสำคัญสื่อสารความเข้าใจให้บุคลากรที่เกี่ยวข้องทราบถึงแนวทางการดําเนินงานนิยามการรายงานตามระบบเฝ้าระวังโรค การใช้ประโยชน์ของระบบเฝ้าระวังให้มากที่สุด รวมถึงพัฒนาระบบการรายงานโรคให้เชื่อมโยงและใช้ประโยชน์ระหว่างหน่วยงานสาธารณสุขและองค์การบริหารส่วนจังหวัดอย่างมีประสิทธิภาพ สามารถใช้ประโยชน์จากข้อมูลในการออกแบบมาตรการ กิจกรรมป้องกันควบคุมโรคที่เหมาะสมกับพื้นที่ได้</p>
2025-02-18T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 12 สงขลา