https://he04.tci-thaijo.org/index.php/rpsi/issue/feed วารสารสถาบันราชประชาสมาสัย 2025-08-22T15:48:08+07:00 Journal of Raj Pracha Samasai Institute journal.rajpracha@gmail.com Open Journal Systems <p><strong>วารสารสถาบันราชประชาสมาสัย (Journal of Raj Pracha Samasai Institute)</strong><br /><strong><u>กำหนดออก 3 ฉบับ</u></strong><u><strong>:</strong> </u>ฉบับที่ 1 มกราคม - เมษายน / ฉบับที่ 2 พฤษภาคม - สิงหาคม / ฉบับที่ 3 กันยายน - ธันวาคม<br /><strong><u>นโยบายและขอบเขตการตีพิมพ์</u><u>:</u></strong> เป็นวารสารทางวิชาการที่มีวัตถุประสงค์ จัดทำและเผยแพร่โดยสถาบันราชประชาสมาสัย กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมสนับสนุนให้บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข และนักวิจัยได้มีโอกาสเผยแพร่ นิพนธ์ต้นฉบับ บทความฟื้นวิชา รายงานผลการปฏิบัติงาน รายงานผู้ป่วย การสอบสวนโรค นวัตกรรม บทความวิชาการ และบทความพิเศษที่เกี่ยวกับการส่งเสริม เฝ้าระวัง ป้องกัน ควบคุมโรคและภัยสุขภาพ การรักษาพยาบาลและการฟื้นฟูสมรรถภาพ ระบาดวิทยา การสอบสวนโรค อนามัยสิ่งแวดล้อมและอาชีวอนามัย การพัฒนาคุณภาพงาน การตรวจพิเศษและการตรวจทางห้องปฏิบัติการ ยุทธศาสตร์และนโยบายทางสาธารณสุขการประเมินผลโครงการ การพัฒนาและประเมินหลักสูตร เศรษฐศาสตร์สาธารณสุขและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง <br /><strong>ภาษาที่รับตีพิมพ์</strong><strong> </strong><strong>: </strong>ภาษาไทย / ภาษาอังกฤษ <br /><strong>*วารสารสถาบันราชประชาสมาสัย ไม่มีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์ใดๆ ในทุกขั้นตอน </strong></p> https://he04.tci-thaijo.org/index.php/rpsi/article/view/3008 การกระจายทางภูมิศาสตร์และรูปแบบฤดูกาลของการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสนิปาห์ 2025-06-26T11:16:11+07:00 ภูวิศ ชโลธร chalodhp@gmail.com วรพงศ์ กาญจนาคาร W.kanjanakarn@gmail.com พิชชานันท์ เต็งอำนวย Pichanan.panna@gmail.com รภัทภร ลิ้มจำรูญรัตน์ Kaohomrapattaporn@gmail.com นันท์นภัส หริพจน์ทวีกุล nunnaphat.hl@gmail.com อัจฉราลักษณ์ วรเทพพุฒิพงษ์ Korbuavor@gmail.com <p>ไวรัสนิปาห์เป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญ โดยองค์การอนามัยโลกจัดให้เป็นหนึ่งในไวรัสอุบัติใหม่ที่อันตรายที่สุด เนื่องจากสามารถก่อให้เกิดโรคทางเดินหายใจรุนแรงและโรคสมองอักเสบ ซึ่งมีอัตราการเสียชีวิตสูง การระบาดของไวรัสนี้ไม่เพียงส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนเท่านั้น แต่ยังกระทบต่อระบบสาธารณสุขเศรษฐกิจ สร้างความตื่นตระหนกในสังคม การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการขยายตัวของเมืองทำให้มนุษย์มีโอกาสสัมผัสกับสัตว์ป่ามากขึ้น จึงยิ่งเน้นย้ำถึงความสำคัญของการทำความเข้าใจไวรัสชนิดนี้ เพื่อป้องกันการระบาด แม้ว่าไวรัสจะยังไม่กลับมาระบาดซ้ำในประเทศมาเลเซีย สิงคโปร์ และฟิลิปปินส์ แต่ในบังกลาเทศและอินเดียยังคงเกิดการระบาดอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมักเกี่ยวข้องกับช่วงฤดูผสมพันธุ์ของค้างคาวและฤดูกาลเก็บเกี่ยวอินเดียพบการระบาดแล้ว 9 ครั้ง ขณะที่บังกลาเทศพบการระบาดเกือบทุกปี โดยมีลักษณะการระบาดตามฤดูกาล และพื้นที่เฉพาะข้อมูลเกี่ยวกับการกระจายทางภูมิศาสตร์และฤดูกาลของการระบาดไวรัสนิปาห์ จึงเป็นประโยชน์ต่อการทำความเข้าใจการแพร่เชื้อข้ามสายพันธุ์ และสนับสนุนการวางกลยุทธ์ด้านสาธารณสุขได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p> 2025-08-20T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสถาบันราชประชาสมาสัย https://he04.tci-thaijo.org/index.php/rpsi/article/view/3046 การทบทวนอย่างเป็นระบบของนวัตกรรมระดับท้องถิ่นและระดับโลก เพื่อบรรเทาปัญหา PM2.5 ในประเทศไทย 2025-05-29T11:09:59+07:00 ธาวิน ชินวุฒิ tawin1906@gmail.com <p>มลพิษ PM2.5 ได้กลายเป็นปัญหาสิ่งแวดล้อมและสาธารณสุขที่สำคัญ โดยเฉพาะในพื้นที่เมืองและเขตเกษตรกรรมของประเทศไทย การทบทวนวรรณกรรมเชิงระบบนี้ได้สำรวจแหล่งกำเนิดหลักของฝุ่น PM2.5 ผลกระทบต่อสุขภาพและนวัตกรรมล่าสุด รวมถึงนโยบายแหล่งกำเนิดหลักของฝุ่น PM2.5 ที่พบจากการศึกษานี้ คือ การปล่อยมลพิษจากยานพาหนะ การเผาชีวมวล และกิจกรรมอุตสาหกรรม โดยฝุ่นละอองทุติยภูมิยังมีบทบาทสำคัญต่อมลพิษข้ามพรมแดน งานวิจัยนี้ยังประเมินประสิทธิภาพของเทคโนโลยีการกรองอากาศหลายประเภท เช่น แผ่นกรอง HEPA เมมเบรนนาโนไฟเบอร์ และแผ่นกรองแบบ Electrospun รวมถึงแบบจำลองการพยากรณ์โดยใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และเครือข่ายเซนเซอร์ไร้สาย แม้จะมีพัฒนาการด้านเทคโนโลยี<br />ที่มากขึ้นแต่ยังไม่ได้นำไปใช้มาก เนื่องจากต้นทุนสูงความต้องการการใช้พลังงานและการเผยแพร่สู่สาธารณชนน้อย การบังคับใช้นโยบายเข้มงวด การส่งเสริมนวัตกรรมยังไม่ยั่งยืนและมีต้นทุนต่ำ ขาดการสื่อสารข้อมูลคุณภาพอากาศที่เป็นปัจจุบันและขาดประสิทธิภาพ การศึกษานี้จึงทำเพื่อเสนอข้อมูลสำหรับนักวิจัย ผู้กำหนดนโยบายและผู้สนใจ เพื่อพัฒนากลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพในการลดมลพิษทางอากาศและปกป้องสุขภาพประชาชน</p> 2025-08-20T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสถาบันราชประชาสมาสัย https://he04.tci-thaijo.org/index.php/rpsi/article/view/2744 การพัฒนารูปแบบการตรวจสอบรายการผ่าตัดปลอดภัย สำหรับผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัด สถาบันราชประชาสมาสัย 2025-03-11T12:15:17+07:00 เอมปวีร์ ฐิติโสภณศักดิ์ thadiikua@gmail.com ชายหาญ รุ่งศิริแสงรัตน์ chaihanvariety@gmail.com นิวัตน์ หลิวศาสวัตธนา niwat.liu@gmail.com สุจิตรา บุญพิมพ์ sujittraboonpim@gmail.com <p>ความปลอดภัยของผู้ป่วยเป็นหัวใจสำคัญของการให้บริการผ่าตัดในสถานบริการสาธารณสุขทุกระดับเนื่องจากการผ่าตัดมีโอกาสเกิดความเสี่ยงและภาวะแทรกซ้อน ได้แก่ ความเสี่ยงจากการเสียเลือดมากผิดปกติ ความเสี่ยงจากการให้ยาระงับความรู้สึก ความเสี่ยงที่เกิดจากภาวะลิ่มเลือดอุดตัน และภาวะแทรกซ้อนทางอายุรกรรมที่มีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนตามอายุ และโรคประจำตัวของผู้ป่วย เช่น ผู้ป่วยโรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน เป็นต้น การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบการตรวจสอบรายการผ่าตัดปลอดภัยสำหรับผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดตาม AEMPAVEE MODEL โดยใช้การศึกษาเชิงปฏิบัติการ ประกอบด้วย 4 ระยะ ระยะที่ 1 ทำความเข้าใจปัญหารูปแบบการตรวจสอบรายการผ่าตัดปลอดภัยสำหรับผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัด ระยะที่ 2 ยกร่างรูปแบบการตรวจสอบรายการผ่าตัดปลอดภัยสำหรับผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัด ระยะที่ 3 ทดลองใช้รูปแบบการตรวจสอบรายการผ่าตัดปลอดภัยสำหรับผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดที่ร่างขึ้น และระยะที่ 4 ประเมินผลการนำรูปแบบการตรวจสอบรายการผ่าตัดปลอดภัยสำหรับผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดไปใช้ประชากรเป้าหมายของการศึกษา ได้แก่ ผู้ให้บริการ (จักษุแพทย์, ศัลยแพทย์, วิสัญญีพยาบาล, พยาบาลวิชาชีพห้องผ่าตัด) และผู้รับบริการ (ผู้ป่วยที่เข้ารับการผ่าตัด) รวม 26 คน เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา ประกอบด้วย แบบสัมภาษณ์เชิงลึกแบบสังเกตการณ์แบบไม่มีส่วนร่วม แบบประเมินการยอมรับ แบบตรวจสอบรายการผ่าตัดปลอดภัย แบบประเมินความพึงพอใจ แบบตรวจสอบความครบถ้วนของรูปแบบการตรวจสอบรายการผ่าตัดปลอดภัย และแบบคัดลอกข้อมูล ระยะเวลาการศึกษาระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ - กรกฎาคม 2567 <br />ผลการศึกษาพบว่า เมื่อนำรูปแบบการตรวจสอบรายการผ่าตัดปลอดภัยที่พัฒนาขึ้นมาใช้ ไม่มีการผ่าตัดผิดคน ผิดข้าง ผิดตำแหน่ง หรือการใส่อวัยวะเทียมผิดพลาด ไม่มีการติดเชื้อที่ตำแหน่งแผลผ่าตัดสะอาด และไม่มีการระบุตำแหน่งผ่าตัดผิดพลาด ผลการวิเคราะห์ข้อมูลพบว่า กลุ่มประชากรเป้าหมายทั้งหมด มีความพึงพอใจอย่างมาก ปรากฏค่าเฉลี่ย 4.88 (Mean = 4.88 SD<img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\pm&amp;space;" alt="equation" />0.32) และมีการยอมรับเป็นอย่างมากเช่นกัน 4.88 (Mean = 4.88 SD<img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\pm&amp;space;" alt="equation" />0.32) จากผลการศึกษาดังกล่าวข้างต้น สถาบันราชประชาสมาสัยควรพิจารณานำรูปแบบการตรวจสอบรายการผ่าตัดปลอดภัยสำหรับผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดตาม AEMPAVEE MODEL มาปรับใช้ให้ครอบคลุมทุกหน่วยงานที่มีการผ่าตัดหรือหัตถการ เพราะสามารถลดความเสี่ยงจากการผ่าตัดและป้องกันการเกิดอุบัติการณ์ไม่พึงประสงค์ได้เป็นอย่างดี</p> <p> </p> 2025-08-20T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสถาบันราชประชาสมาสัย https://he04.tci-thaijo.org/index.php/rpsi/article/view/3079 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการเกิดภาวะปอดอักเสบที่สัมพันธ์กับการใช้เครื่องช่วยหายใจ ของผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาในหอผู้ป่วยหนัก 2025-05-21T13:59:44+07:00 วิมลวรรณ หรุ่นเกิด nidnoi.nurse@gmail.com วรุณ มโนมัยวงศ์ manomaiwong.warun@gmail.com ลัดดามาศ เข็มจันทร์ j_ladda1900@outlook.co.th <p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการศึกษาเชิงพรรณนาแบบย้อนหลัง เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการเกิดภาวะปอดอักเสบที่สัมพันธ์กับการใช้เครื่องช่วยหายใจ จำนวน 338 แฟ้ม คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจงตามเกณฑ์ที่กำหนด เครื่องมือที่ใช้รวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบบันทึกข้อมูลที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้น ตรวจสอบคุณภาพโดยตรวจสอบความถูกต้องของเนื้อหาโดยผู้ทรงคุณวุฒิ และทดลองใช้บันทึกข้อมูลผู้ป่วย วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ร้อยละ และวิเคราะห์ความสัมพันธ์ด้วยสถิติ Chi-square Test ผลการศึกษาพบว่า มีอุบัติการณ์เกิดภาวะปอดอักเสบในผู้ป่วยที่ใช้เครื่องช่วยหายใจ ร้อยละ 20.28 โดยพบว่า ปัจจัย 7 ตัว มีความสัมพันธ์กับการเกิดภาวะปอดอักเสบของผู้ป่วยที่ใช้เครื่องช่วยหายใจอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value &lt;.05) ได้แก่ ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด ประวัติการสูบบุหรี่ ประวัติการใช้ยากลุ่ม Clindamycin ประวัติการใส่ท่อช่วยหายใจซํ้า ระยะเวลาในการใช้เครื่องช่วยหายใจ ระยะเวลานอนหอผู้ป่วยวิกฤต และระยะเวลานอนโรงพยาบาล ดังนั้นควรเน้นการเฝ้าระวังและดูแลตามแนวปฏิบัติอย่างเคร่งครัด เพื่อการป้องกันการเกิดภาวะปอดอักเสบที่สัมพันธ์กับการใช้เครื่องช่วยหายใจ รวมถึงมีการนิเทศกำกับการปฏิบัติงานอย่างต่อเนื่อง และสร้างสิ่งแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อการป้องกันการติดเชื้อ</p> 2025-08-20T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสถาบันราชประชาสมาสัย https://he04.tci-thaijo.org/index.php/rpsi/article/view/2826 การศึกษาระบบเฝ้าระวังโรคเรื้อนในรายงาน 506 โดยใช้ระบบรายงานผู้ป่วยโรคเรื้อน สถาบันราชประชาสมาสัยเป็นฐานข้อมูลอ้างอิง ระหว่างวันที่ 1 มกราคม ถึง 8 ตุลาคม 2566 2025-03-11T11:31:41+07:00 ชุติวัลย์ พลเดช shutiwan.p@gmail.com ชญานิจ มหาสิงห์ chayanit.mah@gmail.com พจนา ธัญญกิตติกุล noipod@yahoo.com ศิรามาศ รอดจันทร์ rodchan_siramas@hotmail.com <p>โรคเรื้อนเป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวังตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2558 จึงต้องมีระบบการติดตาม ตรวจสอบและจัดเก็บข้อมูลอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันระบบเฝ้าระวังโรคเรื้อนติดตามข้อมูลต่อเนื่องในฐานข้อมูลโรคเรื้อน สถาบันราชประชาสมาสัย (LEP database) อีกทั้งมีการรายงานผู้ป่วยโรคเรื้อนรายใหม่ในระบบรายงาน 506 กองระบาดวิทยา การรายงานโรคเรื้อนในระบบรายงาน 506 ยังไม่เป็นที่ใช้แพร่หลาย การศึกษานี้จัดทำขึ้น เพื่อพรรณนาระบบเฝ้าระวังโรคเรื้อนของประเทศไทย ในปี 2566 และเพื่อประเมินคุณลักษณะเชิงปริมาณของระบบเฝ้าระวังโรคเรื้อนในระบบรายงาน 506 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม - 8 ตุลาคม 2566 โดยใช้ LEP database เป็นฐานข้อมูลอ้างอิงผลการศึกษาพบว่า ระบบรายงานโรคเรื้อน LEP database และระบบรายงาน 506 มีวัตถุประสงค์และตัวแปรในการรายงานที่แตกต่างกัน ระบบรายงาน 506 รายงานตั้งแต่ผู้ป่วยสงสัย เพื่อตรวจจับการระบาดในขณะที่ LEP database รายงานผู้ป่วยยืนยันและตัวแปรที่จำเพาะต่อโรคเรื้อน เช่น ระดับความพิการ การรายงานผู้ป่วยโรคเรื้อนในระบบรายงาน 506 ปัจจุบันยังคงมีการรายงานเข้ามาน้อย มีความไวร้อยละ 30 ส่งผลต่อความเป็นตัวแทนของข้อมูลที่ไม่สะท้อนลักษณะของผู้ป่วยโรคเรื้อนรายใหม่เมื่อใช้ LEP database เป็นฐานข้อมูลอ้างอิง อย่างไรก็ตามพบค่าพยากรณ์บวกสูง ร้อยละ 93.8 หากแต่ยังคงมีความล่าช้าของการรายงานผู้ป่วยรายใหม่เข้าสู่ระบบรายงาน 506 ทั้งนี้สถาบันราชประชาสมาสัย จึงควรมีการผลักดันการรายงานโรคเรื้อนในระบบรายงาน 506 และจัดทำฐานข้อมูลระบบเฝ้าระวังผู้ป่วยโรคเรื้อนรายใหม่ที่ประกอบไปด้วยรายงานผู้ป่วยใหม่จากระบบรายงาน 506 ที่ได้รับการตรวจสอบว่าเป็นผู้ป่วยยืนยันแล้ว และข้อมูลจำเพาะของโรคเรื้อน รวมถึงรายละเอียดของผู้สัมผัสใกล้ชิดจากฐานข้อมูล LEP database ซึ่งจะทำให้เกิดฐานข้อมูลในการเฝ้าระวังผู้ป่วยโรคเรื้อนที่ทันเวลา ถูกต้อง และครบถ้วน นำไปสู่การควบคุมโรคที่ต่อเนื่องเป็นระบบมีประสิทธิภาพ และสามารถกำจัดโรคเรื้อนในประเทศไทยได้ในที่สุด</p> 2025-08-20T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสถาบันราชประชาสมาสัย https://he04.tci-thaijo.org/index.php/rpsi/article/view/3049 การปนเปื้อนของไมโครพลาสติกในสิ่งแวดล้อมและผลกระทบต่อสุขภาพของมนุษย์ 2025-05-29T10:40:26+07:00 ณัฏฐ์ กริชจนรัช nattkritchanarat@gmail.com กิตติศักดิ์ เหมือนดาว pak-baby@hotmail.com <p>การปนเปื้อนของไมโครพลาสติกได้กลายเป็นปัญหาระดับโลกที่สำคัญ โดยมีการแพร่กระจายอย่างกว้างขวางในสิ่งแวดล้อมทางทะเล น้ำจืด พื้นดิน และอากาศ งานทบทวนนี้ได้รวบรวมงานวิจัยเกี่ยวกับแหล่งกำเนิดการกระจายตัวในสิ่งแวดล้อมและความเสี่ยงต่อสุขภาพจากไมโครพลาสติก โดยเฉพาะในประเทศไทย ซึ่งพบไมโครพลาสติกในแหล่งน้ำ ตะกอน และอาหารทะเล โดยเส้นใยพลาสติกเป็นรูปแบบที่พบได้บ่อยที่สุดไมโครพลาสติกที่เกิดจากผลิตภัณฑ์พลาสติกต้นทางและการสลายตัวของขยะพลาสติกขนาดใหญ่สามารถพาเคมีพิษและสะสมในห่วงโซ่อาหาร ซึ่งเป็นอันตรายต่อทั้งระบบนิเวศและสุขภาพมนุษย์ การสัมผัสกับไมโครพลาสติกในมนุษย์เกิดขึ้นจากการกลืน การสูดดม และการสัมผัสทางผิวหนัง ถึงแม้ว่าส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาว ยังคงอยู่ระหว่างการศึกษาแต่หลักฐานเบื้องต้นแสดงให้เห็นถึงความเสี่ยงต่อการเกิดโทษต่างๆ ต่อร่างกาย เช่น การรบกวนฮอร์โมน การเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชัน และการอักเสบทั่วร่างกาย การประสานงานระหว่างการวิจัย นโยบาย และการสร้างความตระหนักรู้ เพื่อบรรเทาการปนเปื้อนและปกป้องสุขภาพของทั้งสิ่งแวดล้อม และมนุษย์อาจนำไปสู่แนวทางการแก้ปัญหาได้</p> 2025-08-20T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสถาบันราชประชาสมาสัย