วารสารสถาบันราชประชาสมาสัย https://he04.tci-thaijo.org/index.php/rpsi <p><strong>วารสารสถาบันราชประชาสมาสัย (Journal of Raj Pracha Samasai Institute)</strong><br /><u>กำหนดออก 3 ฉบับ</u><u>: </u>ฉบับที่ 1 มกราคม - เมษายน / ฉบับที่ 2 พฤษภาคม - สิงหาคม / ฉบับที่ 3 กันยายน - ธันวาคม<br /><u>นโยบายและขอบเขตการตีพิมพ์</u><u>:</u> เป็นวารสารทางวิชาการที่มีวัตถุประสงค์ จัดทำและเผยแพร่โดยสถาบันราชประชาสมาสัย กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมสนับสนุนให้บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข และนักวิจัยได้มีโอกาสเผยแพร่ นิพนธ์ต้นฉบับ บทความฟื้นวิชา รายงานผลการปฏิบัติงาน รายงานผู้ป่วย การสอบสวนโรค นวัตกรรม บทความวิชาการ และบทความพิเศษที่เกี่ยวกับการส่งเสริม เฝ้าระวัง ป้องกัน ควบคุมโรคและภัยสุขภาพ การรักษาพยาบาลและการฟื้นฟูสมรรถภาพ ระบาดวิทยา การสอบสวนโรค อนามัยสิ่งแวดล้อมและอาชีวอนามัย การพัฒนาคุณภาพงาน การตรวจพิเศษและการตรวจทางห้องปฏิบัติการ ยุทธศาสตร์และนโยบายทางสาธารณสุขการประเมินผลโครงการ การพัฒนาและประเมินหลักสูตร เศรษฐศาสตร์สาธารณสุขและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง <br /><strong>ภาษาที่รับตีพิมพ์</strong><strong> </strong><strong>: </strong>ภาษาไทย / ภาษาอังกฤษ </p> สถาบันราชประชาสมาสัย (Rajprachasamasai Institute) th-TH วารสารสถาบันราชประชาสมาสัย <p><strong>ประกาศเกี่ยวกับลิขสิทธิ์<br /></strong>บทความที่ลงพิมพ์ในวารสารสถาบันราชประชาสมาสัย ถือว่าเป็นผลงานทางวิชาการหรือการวิจัย และวิเคราะห์ตลอดจนเป็นความเห็นส่วนตัวของผู้นิพนธ์ ไม่ใช่ความเห็นกองบรรณาธิการแต่ประการใด ผู้นิพนธ์จำต้องรับผิดชอบต่อบทความของตน</p> <p><strong>นโยบายส่วนบุคคล<br /></strong>ชื่อและที่อยู่อีเมลที่ระบุในวารสารสถาบันราชประชาสมาสัย จะถูกใช้เพื่อวัตถุประสงค์ตามที่ระบุไว้ ในวารสารเท่านั้น และจะไม่ถูกนำไปใช้สำหรับวัตถุประสงค์อื่น หรือต่อบุคคลอื่นใด</p> ความก้าวหน้าในนวัตกรรมปัญญาประดิษฐ์สำหรับการวินิจฉัยโรคอัลไซเมอร์ https://he04.tci-thaijo.org/index.php/rpsi/article/view/1602 <p>โรคอัลไซเมอร์ เป็นโรคที่เกิดจากการเสื่อมสลายของเซลล์ประสาทที่มีแนวโน้มของจำนวนผู้ป่วยกลุ่มผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นรวมถึงประเทศไทย การวินิจฉัยโรคโดยทั่วไปมุ่งเน้นการประเมินลักษณะโดยรวม ทางด้านคลินิกของผู้ป่วย ซึ่งมีข้อจำกัดเนื่องจากไม่สามารถตรวจด้วยการผ่าตัด เพื่อศึกษาเนื้อเยื่อสมองได้ ทำให้การวินิจฉัยโรคช่วงระยะเริ่มต้นที่ยังไม่แสดงอาการเกิดความล่าช้าเนื่องจากการดำเนินของโรค ในระยะแรกที่เริ่มมีการสะสมโปรตีนที่เป็นอันตรายต่อเซลล์ประสาทโดยไม่แสดงอาการทางคลินิกที่จำเพาะต่อโรคการพัฒนาเทคนิคใหม่ๆ สำหรับการวินิจฉัยโรคอัลไซเมอร์ที่รวดเร็ว จึงมีความจำเป็นในยุคสังคมสูงวัย ปัจจุบันเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ เริ่มเข้ามามีบทบาทในการช่วยวินิจฉัย และรักษาโรคมากขึ้น จึงอาจเป็นทางเลือกใหม่ในการวินิจฉัยโรคอัลไซเมอร์ บทความนี้จึงมีวัตถุประสงค์ในการทบทวนองค์ความรู้เกี่ยวกับบทบาทของปัญญาประดิษฐ์ในด้านการใช้ประโยชน์ เพื่อการวินิจฉัยโรคอัลไซเมอร์ผ่าน Google scholar ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2019 ถึง 2024 ซึ่งพบบทความวิชาการจำนวน 16 บทความ และงานวิจัยต้นฉบับ จำนวน 7 เรื่อง ปัญญาประดิษฐ์สามารถวิเคราะห์ข้อมูลทางการแพทย์แบบองค์รวมได้หลากหลายรูปแบบ เช่น ภาพถ่ายรังสีวิทยา โดยการวิเคราะห์ข้อมูลจากกระบวนการเรียนรู้ของเครื่องคอมพิวเตอร์และการเรียนรู้เชิงลึก ผ่านขั้นตอนการพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ด้วยชุดคำสั่ง เพื่อจำแนกลักษณะความผิดปกติจากชุดข้อมูลที่ผู้สอน ใช้ทดสอบปัญญาประดิษฐ์สามารถวิเคราะห์ข้อมูลได้ในปริมาณมากในระยะเวลาสั้น และมีความแม่นยำสูง อย่างไรก็ตาม การพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ในการวินิจฉัยโรคอัลไซเมอร์ยังคงอยู่ในขั้นตอนของการวิจัย และพัฒนาให้เหมาะสม เพื่อยกระดับการวินิจฉัยให้มีความแม่นยำและถูกต้องยิ่งขึ้น</p> นิธิศ สมานทอง ชลันทร ทวีกุลกิจ รชฏ คุณกิจกำจร ปองคุณ เถรว่อง นะห์ดีนา ลายู วรกร ฤกษ์สมถวิล สุจิมล มังคละรังษี Copyright (c) 2024 วารสารสถาบันราชประชาสมาสัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-27 2024-12-27 8 1 38 50 การพัฒนาศักยภาพบุคลากรทางการแพทย์ในโรงพยาบาลเพื่อยกระดับการรักษาหายขาดผู้ป่วยโรคไข้มาลาเรียชนิดไวแวกซ์ที่ไม่มีภาวะแทรกซ้อน https://he04.tci-thaijo.org/index.php/rpsi/article/view/1831 <p>การศึกษาแบบ Action Research มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาและประเมินผลการเพิ่มระดับความรู้และความเข้าใจของบุคลากรทางการแพทย์ในการรักษาหายขาดผู้ป่วยโรคไข้มาลาเรียชนิดไวแวกซ์ที่ไม่มีภาวะแทรกซ้อน 2) พัฒนาและประเมินผลกระบวนการติดตามเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาหายขาดตามแนวทางการรักษาหายขาดผู้ป่วยโรคไข้มาลาเรียชนิดไวแวกซ์ที่ไม่มีภาวะแทรกซ้อน และ 3) พัฒนาและประเมินผลการเพิ่มความรู้ในการตรวจ G6PD เชิงปริมาณใช้ในการสนับสนุนการรักษาตามแนวทางการรักษาหายขาดผู้ป่วยโรคไข้มาลาเรียชนิดไวแวกซ์ที่ไม่มีภาวะแทรกซ้อน กลุ่มตัวอย่างคือ แพทย์ เภสัชกร นักเทคนิคการแพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่ทางห้องปฏิบัติการ นักวิชาการสาธารณสุข และผู้ที่เกี่ยวข้องกับงานมาลาเรีย ทำการศึกษาในพื้นที่ 6 จังหวัดไข้สูง ได้แก่ ตาก แม่ฮ่องสอน กาญจนบุรี เพชรบุรี ราชบุรี ประจวบคีรีขันธ์ และจากโรงพยาบาลทั้งหมด 29 แห่ง กลุ่มตัวอย่าง 111 คน เก็บข้อมูลระหว่างเดือนตุลาคม 2566 ถึง พฤษภาคม 2567 จากการจัดอบรมเชิงปฏิบัติการ เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ 1) แบบทดสอบความรู้ก่อนและหลังการอบรม 2) คู่มือสำหรับวิทยากรสำหรับการอบรมบุคลากรทางการแพทย์ 3) เครื่องมือตรวจวัดเอนไซม์ G6PD Biosensor วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติ Paired t-test เพื่อวิเคราะห์ความแตกต่างคะแนนก่อนและหลังอบรม<br />ผลการศึกษาสถานการณ์ปัญหา พบว่า ต้องดำเนินมาตราการลดการแพร่เชื้อโดยการรักษาโรคไข้มาลาเรียชนิดไวแวกซ์แบบหายขาดโดยการพัฒนาศักยภาพบุคลากรทางการแพทย์ในการรักษาผู้ป่วยโรคไข้มาลาเรีย ชนิดไวแวกซ์แบบหายขาดในด้านความรู้ การติดตามเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ และการตรวจเอนไซม์ G6PD เชิงปริมาณ ผู้วิจัยจึงได้พัฒนาและประเมินผลการเพิ่มความรู้ พัฒนาระบบการติดตามเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ ในกลุ่มตัวอย่าง ผลประเมินการพัฒนาการเพิ่มระดับความรู้และความเข้าใจของบุคลากรทางการแพทย์เกี่ยวกับโรคไข้มาลาเรียชนิดไวแวกซ์พบว่า ก่อนเข้ารับการอบรมมีคะแนนเฉลี่ยพื้นฐานความรู้ที่ 10.26 คะแนน (SD±3.62) หลังการอบรมคะแนนเฉลี่ยพื้นฐานความรู้เพิ่มขึ้นเป็น 16.18 คะแนน (SD±2.67) โดยผลการทดสอบความแตกต่างคะแนนก่อนและหลังการอบรมมีค่าเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P-value &lt; 0.01) ผลประเมินการพัฒนาระบบการติดตามเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาหายขาด จากฐานข้อมูล Thai Vigibase ตั้งแต่เดือนมกราคมถึงเดือนกันยายน 2567 พบว่า ไม่มีรายงานเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์จากการใช้ยาทาฟีโนควิน และยาไพรมาควิน 7 วัน และสำหรับผลประเมินการพัฒนาการเพิ่มความรู้ในการตรวจ G6PD เชิงปริมาณหลังการอบรมพบว่า ผู้เข้าร่วมอบรมสามารถผ่านการทดสอบปฏิบัติการตรวจ G6PD เชิงปริมาณพร้อมการทดสอบการแปลผลโดยมีคะแนนเฉลี่ย 8.87 คะแนนจาก 10 คะแนน (SD±0.8) การประเมินวัตถุประสงค์ความรู้ในการตรวจ G6PD เชิงปริมาณ ได้ตรวจทั้งหมด 1,610 ราย พบผู้ป่วยมีภาวะเอนไซม์ปกติ ร้อยละ 69.07 มีภาวะเอนไซม์พร่องบางส่วน ร้อยละ 20.50 และมีภาวะพร่องเอนไซม์ ร้อยละ 10.43<br />การศึกษานี้ชี้ให้เห็นว่า การอบรมสามารถพัฒนาศักยภาพบุคลากรทางการแพทย์ในโรงพยาบาลให้มีความรู้เพิ่มมากขึ้น เพื่อการรักษาผู้ป่วยโรคไข้มาลาเรียชนิดไวแวกซ์ตามแนวทางการรักษาอย่างถูกต้อง ส่งผลดีต่อคุณภาพการรักษาและลดอัตราการเสียชีวิตจากอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยารักษาโรคไข้มาลาเรีย ซึ่งในปี 2567 พบผู้ป่วยเสียชีวิตจากโรคไข้มาลาเรียจำนวน 2 ราย (ข้อมูล ณ วันที่ 26 ตุลาคม 2567) ลดลงจากปี 2566 (4 ราย)<sup>(4)</sup> นำไปสู่การพัฒนาระบบการรักษามาลาเรียชนิดไวแวกซ์ขั้นหายขาดที่มีประสิทธิภาพและเพื่อบรรลุเป้าหมายของกระทรวงสาธารณสุขในการกำจัดโรคไข้มาลาเรียภายในปี 2569 โดยจะมีการติดตามผลของการพัฒนาศักยภาพต่อไป</p> ธรรณิการ์ ทองอาด รุ่งนิรันดร์ สุขอร่าม ประยุทธ สุดาทิพย์ Copyright (c) 2024 วารสารสถาบันราชประชาสมาสัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-27 2024-12-27 8 1 51 66 การวิจัยเพื่อสนับสนุนการกำจัดและปลอดโรคเรื้อนอย่างยั่งยืนของประเทศไทย https://he04.tci-thaijo.org/index.php/rpsi/article/view/2668 <p>โรคเรื้อนเคยเป็นปัญหาสาธารณสุขสำคัญของประเทศไทย แต่ด้วยพระมหากรุณาธิคุณของในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงรับโครงการควบคุมโรคเรื้อนเป็นโครงการตามแนวพระราชดำรินับแต่ ปี 2499 ส่งผลให้องค์กรต่างประเทศ เช่น WHO, Unicef มูลนิธิช่วยโรคเรื้อนจากญี่ปุ่น เยอรมนี เนเธอร์แลนด์ ฯลฯ หลั่งไหลให้ความช่วยเหลือสนับสนุนอย่างท่วมท้นแต่โครงการก็ยังไม่สามารถประสบความสำเร็จในเป้าหมายสุดท้ายของการปลอดโรคเรื้อนตามเป้าหมาย ปี 2573 ของ WHO ได้ จากปัญหาได้อย่างมีความท้าทายเกี่ยวกับการพยายามค้นหาและตรวจรักษาผู้ป่วยใหม่ ซึ่งมีแนวโน้มพบในแรงงานต่างด้าวที่เข้ามาทำงานมากขึ้น รวมทั้งการป้องกันแพร่ติดต่อ แพร่กระจาย และการลดการตีตราผู้ป่วยในสังคม การวิจัยตามหัวข้อนี้จึงเป็นบทบาทสำคัญในการสนับสนุนให้ประเทศไทยปลอดจากโรคเรื้อนอย่างยั่งยืน</p> ธีระ รามสูต Copyright (c) 2024 วารสารสถาบันราชประชาสมาสัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-27 2024-12-27 8 1 1 3 ปัจจัยที่มีผลต่อการเกิดภาวะลมรั่วในช่องเยื่อหุ้มปอดซ้ำในผู้ป่วยผ่าตัดปอด https://he04.tci-thaijo.org/index.php/rpsi/article/view/1779 <p>ภาวะลมรั่วในช่องเยื่อหุ้มปอดที่เกิดซ้ำเป็นปัญหาสำคัญ โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดปอดการเกิดซ้ำภายหลังการผ่าตัดอาจก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อน และจำเป็นต้องได้รับการจัดการอย่างทันท่วงที การศึกษาอุบัติการณ์และปัจจัยเสี่ยงที่มีผลต่อการเกิดเป็นข้อมูลสำคัญในการป้องกันการเกิดซ้ำ การศึกษาครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์อุบัติการณ์และปัจจัยเสี่ยงที่ส่งผลต่อการเกิดภาวะลมรั่วในช่องเยื่อหุ้มปอดซ้ำ ในผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดปอด เป็นการวิเคราะห์ข้อมูลย้อนหลัง 5 ปี โดยเก็บข้อมูลจากเวชระเบียนของประชากรผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดปอด ระหว่างเดือนมกราคม 2561 ถึงเดือนธันวาคม 2565 ที่สถาบันโรคทรวงอก ได้กลุ่มตัวอย่างตามเกณฑ์ที่กำหนด จำนวน 115 คน รวบรวมข้อมูลด้วยแบบบันทึกข้อมูลส่วนบุคคล และข้อมูลทางคลินิก วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ร้อยละ ค่าเฉลี่ยเลขคณิต ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน วิเคราะห์ความสัมพันธ์ด้วยการทดสอบไคสแควร์ และวิเคราะห์การถดถอยโลจิสติกส์<br />ผลการศึกษาพบว่า อุบัติการณ์การเกิดภาวะลมรั่วในช่องเยื่อหุ้มปอดซ้ำ 5 ปีย้อนหลัง มีผู้ป่วย 18 ราย คิดเป็นร้อยละ 15.7 โดยเกิดขึ้นภายใน 7 วันหลังการผ่าตัด ร้อยละ 66.7 และพบว่า ดัชนีมวลกายต่ำเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญที่ส่งผลต่อการเกิดภาวะลมรั่วในช่องเยื่อหุ้มปอดซ้ำอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p= .014) โดยสามารถทำนายได้ร้อยละ 10.2 ดังนั้น ผู้ป่วยที่มีค่าดัชนีมวลกายต่ำที่ได้รับการผ่าตัดปอดมีความเสี่ยง ต่อการเกิดภาวะลมรั่วในช่องเยื่อหุ้มปอดซ้ำ จึงควรได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดและมีแผนการรักษาที่เหมาะสม</p> วรัญญู อุดมศักดิ์ ปราโมทย์ ถ่างกระโทก กรรณิการ์ เชยพิมพ์ Copyright (c) 2024 วารสารสถาบันราชประชาสมาสัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-27 2024-12-27 8 1 4 15 การพยาบาลผู้ป่วยลิ่มเลือดอุดกั้นหลอดเลือดแดงปอดเรื้อรังร่วมกับภาวะหัวใจล้มเหลว ตามกรอบทฤษฎีการดูแลตนเองของโอเร็ม: กรณีศึกษา https://he04.tci-thaijo.org/index.php/rpsi/article/view/1806 <p>กรณีศึกษาผู้ป่วยชายไทยอายุ 49 ปี มีอาการเหนื่อยง่ายเป็นๆ หายๆ มาหลายปี ระหว่างรับผู้ป่วยไว้ในความดูแล นำกรอบแนวคิดทฤษฎีการพยาบาลของโอเร็มมาประยุกต์ใช้ในการพยาบาล โดยใช้ทฤษฎีระบบการพยาบาล 3 ทฤษฎีย่อยที่มีความสัมพันธ์กัน ได้แก่ 1) ทฤษฎีการดูแลตนเอง 2) ทฤษฎีความพร่องในการดูแลตนเอง 3) ทฤษฎีระบบการพยาบาล กรณีศึกษานี้ใช้ทฤษฎีความพร่องในการดูแลตนเองของโอเร็ม เป็นกรอบแนวคิด วัตถุประสงค์ เพื่อให้ผู้อ่านได้เรียนรู้และเข้าใจถึงการประยุกต์ใช้ทฤษฎีการพยาบาลของโอเร็ม โดยเฉพาะทฤษฎีความพร่องในการดูแลตนเอง ในการดูแลผู้ป่วยที่มีภาวะเรื้อรัง และต้องการการดูแลเฉพาะทางจากพยาบาล เพื่อให้เกิดผลลัพธ์การพยาบาลที่มีประสิทธิภาพ รวมถึงส่งเสริมความสามารถในการดูแลตนเองของผู้ป่วย ก่อนจำหน่ายกลับบ้าน <br />จุดเน้นทางการพยาบาล คือ กระบวนการพยาบาลในการดูแลผู้ป่วยรายนี้ ประกอบด้วยขั้นตอนสำคัญ ได้แก่ 1) การประเมินปัญหาการดูแลตนเองของผู้ป่วยอย่างละเอียดและรอบคอบ 2) การประยุกต์ใช้ทฤษฎีโอเร็ม ในการสร้างแผนการพยาบาลที่เหมาะสมกับความต้องการของผู้ป่วย 3) การส่งเสริมความสามารถในการดูแลตนเองของผู้ป่วย 4) การดูแลแบบองค์รวม โดยให้ความสำคัญกับปัจจัยทางกาย จิตใจ และสังคมของผู้ป่วย เพื่อการดูแลที่ครอบคลุมและเหมาะสม<br />ผลการศึกษาพบว่า ผู้ป่วยมีการรับรู้ถึงความพร่องในการดูแลตนเองและจำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือ จากพยาบาล โดยพบปัญหาหลายด้าน เช่น การรับประทานอาหารและน้ำที่เหมาะสม และการปฏิบัติตามแผนการรักษา เมื่อได้รับการช่วยเหลือจากพยาบาลในการปรับปรุงความพร่องเหล่านี้ ผู้ป่วยสามารถดูแลตนเองได้ดีขึ้น มีความสุขและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นหลังจากกลับบ้าน การนำทฤษฎีการพยาบาลของโอเร็ม มาประยุกต์ใช้ในการดูแลผู้ป่วยเรื้อรัง ช่วยให้พยาบาลสามารถวางแผนการดูแลที่เหมาะสมและมีเป้าหมายชัดเจน ส่งเสริมให้ผู้ป่วยเข้าใจโรคของตนเอง และสามารถปฏิบัติตามแผนการดูแลได้อย่างถูกต้องเมื่อกลับบ้าน จึงเป็นการพัฒนาทักษะการพยาบาลที่มีประสิทธิภาพและส่งเสริมคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยในระยะยาว</p> วลัญช์รัช โชติตันติไพศาล Copyright (c) 2024 วารสารสถาบันราชประชาสมาสัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-27 2024-12-27 8 1 16 28 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการระบาดของโรคหิดในผู้ต้องขังเรือนจำจังหวัดตรัง https://he04.tci-thaijo.org/index.php/rpsi/article/view/2232 <p>สภาพแวดล้อมที่แออัดและสุขอนามัยของผู้ป่วย ส่งผลต่อการระบาดของโรคหิดซึ่งเป็นปัญหาสาธารณสุข ที่สำคัญโดยเฉพาะบริบทเรือนจำ ซึ่งเป็นสถานที่ที่มีการอยู่รวมกันของคนเป็นจำนวนมากและมีการใช้สิ่งของร่วมกัน การวิจัยแบบภาคตัดขวางนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาลักษณะทางระบาดวิทยาและปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการระบาดของโรคหิดในผู้ต้องขังเรือนจำจังหวัดตรัง<br /><strong>วิธีการศึกษา:</strong> กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ต้องขังเรือนจำจังหวัดตรังทุกคนที่ตรวจรักษาทางไกลด้านโรคผิวหนังระหว่างเดือนตุลาคม ถึง พฤศจิกายน 2566 โดยทบทวนเวชระเบียน สัมภาษณ์ และตรวจคัดกรองโรคหิดและปัจจัยเสี่ยง โดยพยาบาลวิชาชีพ และตรวจวินิจฉัยโรคหิดด้วยการส่งตรวจยืนยันทางห้องปฏิบัติการด้วยการขูดผิวหนังผู้ป่วยบริเวณที่มีรอยโรค เพื่อตรวจหาตัวหิดด้วยกล้องจุลทรรศน์ ตลอดจนสำรวจสภาพแวดล้อมในเรือนจำ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และใช้ Chi-square Test และ Fisher’s exact Test เพื่อหาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยเสี่ยงกับการเกิดโรคหิดที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.05<br /><strong>ผลการศึกษา:</strong> ผู้ต้องขังที่ได้รับการคัดกรองทั้งหมด 272 ราย เป็นเพศชาย 262 คน (96.7%) มีอายุเฉลี่ย 37.6 (±10.75) ปี กว่าครึ่งอาศัยในแดน 1 (52.2%) พบว่าเป็นโรคหิด 156 ราย (57.4%) อาการที่พบบ่อยที่สุดคือ คันและผื่นตุ่มแดง (52.6%) รองลงมามีอาการคันเวลากลางคืนและผื่นตุ่มแดง (26.9%) รอยโรคที่พบมากที่สุดคือ บริเวณง่ามนิ้วมือ (47.4%) รองลงมาคือ บริเวณอวัยวะเพศ (39.7%) พฤติกรรมเสี่ยงที่สำคัญคือ การสัมผัสและใช้เสื้อผ้าร่วมกับบุคคลที่เป็นโรคหิด (63.5%) รองลงมาคือ นอนข้างผู้ป่วยโรคหิด (26.1%) จากการวิเคราะห์ความสัมพันธ์เพื่อหาโอกาสการเกิดโรคหิดของผู้ต้องขังในเรือนจำ พบว่า การสัมผัสและใช้เสื้อผ้าร่วมกับผู้ป่วยโรคหิดมีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญกับการเกิดโรคหิด (COR = 1.58, 95% CI: 1.10 - 2.27) มีประวัตินอนข้างผู้ป่วยโรคหิดมีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญกับการเกิดโรคหิด (COR = 1.36, 95% CI: 1.14 - 1.62) ระยะเวลาที่อาศัยอยู่ในเรือนจำน้อยกว่า 12 เดือน ไม่มีความสัมพันธ์กับการเกิดโรคหิด (COR = 0.98 95%CI 0.94 - 1.02) ผลการสำรวจสภาพแวดล้อมในเรือนจำ พบว่า มีความแออัดในห้องนอนมีพื้นที่เฉลี่ยเพียง 1.2 ตารางเมตรต่อคน และมีข้อจำกัดในการเข้าถึงน้ำสะอาดเพื่อทำความสะอาดร่างกาย</p> วรพล เวชชาภินันท์ ภคมน ดำรงคณภัทร์ ธนิษฐา ดิษสุวรรณ์ Copyright (c) 2024 วารสารสถาบันราชประชาสมาสัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-27 2024-12-27 8 1 29 37