การพัฒนาแนวปฏิบัติการพยาบาลผู้ป่วยเด็กโรคปอดอักเสบโดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ โรงพยาบาลน้้าพอง
คำสำคัญ:
แนวปฏิบัติการพยาบาล, หลักฐานเชิงประจักษ์, ผู้ป่วยเด็กโรคปอดอักเสบบทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสถานการณ์ปัญหา พัฒนาแนวปฏิบัติการพยาบาลผู้ป่วยเด็กโรคปอดอักเสบโดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ และประเมินผลการใช้แนวปฏิบัติฯ กลุ่มตัวอย่างคือ พยาบาลวิชาชีพในหอผู้ป่วยเด็ก 9 คน ผู้ป่วยเด็กโรคปอดอักเสบอายุ 1 เดือน - 5 ปี 10 คน และผู้ปกครอง 10 คน เลือกแบบเฉพาะเจาะจง และขยายผลโดยน้าไปใช้จริงในหอผู้ป่วยเด็กจ้านวน 30 คน การวิจัยแบ่งเป็น 4 ระยะ คือ 1) ศึกษาสถานการณ์ปัญหา 2) พัฒนาแนวปฏิบัติฯตามกรอบแนวคิด Soukup 3) ทดลองใช้แนวปฏิบัติฯ และ 4) ประเมินผลลัพธ์ เครื่องมือที่ใช้ในการทดลองคือ แนวปฏิบัติการพยาบาลผู้ป่วยเด็กโรคปอดอักเสบโดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์สืบค้นจากงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 20 เรื่อง ตรวจสอบความตรงตามเนื้อหาโดยผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน ค่า CVI เท่ากับ 1 เก็บข้อมูลด้วยแบบประเมินความเป็นไปได้และความคิดเห็นต่อการใช้แนวปฏิบัติฯ แบบสอบถามความพึงพอใจของผู้ปกครองต่อการปฏิบัติการพยาบาล แบบประเมินการปฏิบัติกิจกรรมการมีส่วนร่วมของผู้ปกครองและแบบประเมินระดับความรู้ของผู้ปกครองในการดูแลผู้ป่วยเด็กโรคปอดอักเสบ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การวิเคราะห์เชิงเนื้อหาสรุปเป็นข้อมูลเชิงอุปนัย สถิติเชิงพรรณนา เปรียบเทียบระดับความรุนแรงของภาวะหายใจลำบาก และระดับความรู้ของผู้ปกครอง ด้วยสถิติ Paired- sample t Test
ผลการวิจัยพบว่า แนวปฏิบัติการพยาบาลผู้ป่วยเด็กโรคปอดอักเสบโดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์
ประกอบด้วย 1) การประเมินภาวะหายใจล้าบาก 2) การพยาบาลเพื่อจัดการอาการ 3) การพยาบาลก่อนเข้าสู่ภาวะวิกฤต 4) การมีส่วนร่วมของผู้ปกครอง 5) การวางแผนจำหน่าย ผลการใช้แนวปฏิบัติฯ พบว่ามีความเป็นไปได้และมีความคิดเห็นต่อการใช้แนวปฏิบัติฯอยู่ในระดับมาก ส่งผลให้คะแนนความรุนแรงของภาวะหายใจลำบากลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ(P<.01) ผู้ปกครองมีความพึงพอใจและมีส่วนร่วมในการดูแลผู้ป่วยเด็กอยู่ในระดับมาก ภายหลังได้รับโปรแกรมการวางแผนจ้าหน่ายผู้ปกครองมีระดับความรู้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P<.01) ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่าแนวปฏิบัติฯมีความเหมาะสมกับบริบท สามารถนำไปใช้ได้จริง ผู้ป่วยมีระดับความรุนแรงของภาวะหายใจล้าบากลดลง ควรมีการขยายผลนำไปใช้กับผู้ป่วยเด็กโรคปอดอักเสบทุกรายอย่างต่อเนื่อง และน้าไปใช้กับหน่วยงานที่มีบริบทคล้ายคลึงกันในระดับจังหวัดและเขตบริการสุขภาพ
References
กัลยา ประจงดี. (2559). ประสบการณ์การพบอาการหอบของเด็กและกลวิธีในการจัดการอาการของผู้ดูแลเด็กโรคหอบหืดที่มีความรุนแรงของอาการหอบแตกต่างกัน.วิทยานิพนธ์พยาบาลศาสตรมหาบัณฑิตสาขาวิชาการพยาบาลเด็ก บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหิดล.
ฆนรส อภิญญาลังกร, วราภรณ์ผาทอง และ รัตนาภรณ์ภุมรินทร์. (2559). ประสิทธิผลการใช้แนวปฏิบัติทางคลินิกส้าหรับการจัดการทางเดินหายใจในผู้ป่วยเด็กโรคปอดอักเสบ. วารสารวิทยาลัยพยาบาลพระปกเกล้า จันทบุรี, 27(1), 139-151.
ผนึกแก้ว คลังคลา, วิลาวัลย์ และอ้าภา ทาเวียง. (2562). การพัฒนารูปแบบการวางแผนจ้าหน่ายผู้ป่วยเด็กโรคปอดอักเสบโดยการมีส่วนร่วมของครอบครัวหรือผู้ดูแล. วารสารมหาวิทยาลัยวงษ์ชวลิตกุล, 32(2), 40-49.
พรทิพย์ ศิริบูรณ์พิพัฒนา. (2563). การพยาบาลเด็ก เล่ม 2. พิมพ์ครั้งที่ 4. นนทบุรี: โครงการสวัสดิการวิชาการสถาบันพระบรมราชชนกกระทรวงสาธารณสุข.
มาลินี นักบุญ, เสริมศรี สันตติ และอรุณวรรณ พฤทธิพันธุ์. (2563). การพัฒนาและประเมินผลแนวปฏิบัติการพยาบาลทางคลินิกส้าหรับการใช้ระบบออกซิเจนอัตราการไหลสูงแบบประยุกต์ทางจมูกในเด็ก. วารสารการปฏิบัติการพยาบาลและการผดุงครรภ์ไทย, 7(2), 25-40.
วนิดา แสนพุก, สุดใจ ศรีสงค์ และเพ็ญจุรี แสนสุริวงศ์. (2563). การพัฒนารูปแบบการดูแลผู้ป่วยเด็กโรคปอดอักเสบ. วารสารกองการพยาบาล. 47(1), 153-172.
วราภรณ์ ผาทอง, รัตนาภรณ์ ภุมรินทร์, ศิริขวัญ สุธรรมกิตติคุณ และชื่นจิตต์ สมจิตต์. (2563). ประสิทธิผลของการวางแผนจ้าหน่ายผู้ป่วยเด็กโรคปอดอักเสบโรงพยาบาลแพร่. วารสารโรงพยาบาลแพร่, 28(2),36-49.
ศิรานี อิ่มน้้าข้าว, วิภาดา ดวงพิทักษ์, ไรจูณ กุลจิติพงษ์ และอลิสา ผาบพุทธา. (2565). ผลของโปรแกรมส่งเสริมการมีส่วนร่วมต่อความสามารถของผู้ดูแลเด็กโรคปอดบวม, วารสารโรงพยาบาลมหาสารคาม, 19(3), 165-176.
สุจิตรา เอิบอาบ. (2560). นวัตกรรมการพยาบาลเพื่อพัฒนาคุณภาพการดูแลผู้ป่วยเด็กโรคปอดอักเสบที่ได้รับยาพ่นแบบฝอยละอองโดยมีครอบครัวเป็นศูนย์กลาง: กรณีศึกษา. วารสารสภาการพยาบาล, 32(2), 5–16.
สมาคมโรคระบบหายใจและเวชบ้าบัดวิกฤตในเด็ก ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย. (2562). แนวทางการดูแลรักษาโรคติดเชื้อเฉียบพลันระบบหายใจในเด็ก พ.ศ. 2562. กรุงเทพฯ: บียอนด์เอ็นเทอร์ไพรซ์จ้ากัด
Downloads
เผยแพร่แล้ว
How to Cite
ฉบับ
บท
License
This work is licensed under a Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.