การพัฒนารูปแบบการดูแลเพื่อความปลอดภัยของผู้ป่วยที่รับวาร์ฟาริน ในคลินิกวาร์ฟาริน โรงพยาบาลนาเชือก
คำสำคัญ:
การพัฒนารูปแบบการดูแล, ความปลอดภัยของผู้ป่วย, วาร์ฟาริน, คลินิกวาร์ฟารินบทคัดย่อ
การวิจัยเชิงปฏิบัติการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาและประเมินประสิทธิผลของรูปแบบการดูแลเพื่อความปลอดภัยของผู้ป่วยที่รับวาร์ฟารินในคลินิกวาร์ฟาริน โรงพยาบาลนาเชือก โดยมีกลุ่มตัวอย่างเป็นพยาบาลที่ปฏิบัติงานในคลินิกวาร์ฟาริน จำนวน 13 คน และผู้ป่วยที่มารับบริการ จำนวน 40 คน ซึ่งคัดเลือกแบบเฉพาะเจาะจง การดำเนินการวิจัยแบ่งออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 การเตรียมการ ระยะที่ 2 การพัฒนารูปแบบการดูแล และระยะที่ 3 การประเมินผล รูปแบบที่พัฒนาขึ้นผ่านการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหาโดยผู้ทรงคุณวุฒิ 4 ท่าน ได้ค่าความตรงเชิงเนื้อหา (IOC) เท่ากับ 0.92 และค่าความเที่ยงจากการทดลองใช้เท่ากับ 0.85 การรวบรวมข้อมูลดำเนินระหว่างเดือนธันวาคม 2567 ถึงสิงหาคม 2568 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
ผลการวิจัย: พบว่ารูปแบบการดูแลประกอบด้วย 4 หมวดหลัก พยาบาลมีความพึงพอใจต่อการใช้รูปแบบในระดับมากที่สุด ค่าเฉลี่ย 4.95 (SD = 0.07) เช่นเดียวกับผู้ป่วยที่มีความพึงพอใจในระดับมากที่สุด ค่าเฉลี่ย 4.95 (SD = 0.037) ผลลัพธ์ของการใช้รูปแบบการดูแล พบว่า ผู้ป่วยมีความเข้าใจในการดูแลตนเองเพิ่มขึ้น ร้อยละ 34.34 และมีแนวโน้มของการลดภาวะแทรกซ้อนจากยา warfarin ลดลงจากร้อยละ 4.50 ในปี 2565 เหลือเพียงร้อยละ 0.65 ในปี 2568
สรุปผลการศึกษา: รูปแบบการดูแลที่พัฒนาขึ้นสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการดูแลผู้ป่วย เพิ่มความเข้าใจในการดูแลตนเอง ลดภาวะแทรกซ้อนจากยา warfarin และพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้ป่วยได้อย่างมีนัยสำคัญ
เอกสารอ้างอิง
กรมการแพทย์. (2565). แนวทางการจัดบริการคลินิกวาร์ฟารินในโรงพยาบาลชุมชน. กรุงเทพฯ: กระทรวงสาธารณสุข.
งานข้อมูลสารสนเทศ โรงพยาบาลนาเชือก. (2567). สถิติผู้ป่วยใช้วาร์ฟาริน ปีงบประมาณ 2567. มหาสารคาม: โรงพยาบาลนาเชือก.
บุญชม ศรีสะอาด. (2556). การวิจัยเบื้องต้น (พิมพ์ครั้งที่ 9). กรุงเทพฯ: สุวีริยาสาส์น.
สถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล (องค์การมหาชน). (2565). มาตรฐานโรงพยาบาลและบริการสุขภาพ HA ฉบับที่ 5. กรุงเทพฯ:สถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล.
สมาคมแพทย์โรคหัวใจัแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์. (2553).แนวทางการรักษาผู้ป่วยด้วยยาต้านการแข็งตัวของเลือดชนิดรับประทาน. กรุงเทพฯ: สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ.
สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ. (2566). รายงานจำนวนผู้ป่วยในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ปี 2566. กรุงเทพฯ: สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ.
สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดมหาสารคาม. (2566). รายงานคุณภาพการดูแลผู้ป่วยที่ใช้วาร์ฟาริน ปี 2566. มหาสารคาม: สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดมหาสารคาม.
สำนักสนับสนุนระบบบริการปฐมภูมิ. (2566). คู่มือคุณภาพมาตรฐานบริการสุขภาพปฐมภูมิ พ.ศ. 2566.นนทบุรี : กระทรวงสาธารณสุข.
Ansell, J., et al. (2016). Managing oral anticoagulant therapy: Clinical and operational guidelines. CHEST, 149(1), 22–38.
Holbrook, A., Schulman, S., Witt, D. M., Vandvik, P. O., Fish, J., Kovacs, M. J., et al. (2012). Evidence-based management of anticoagulant therapy. Chest, 141(2_suppl), e152S–e184S. https://doi.org/10.1378/chest.11-2295
Kemmis, S., McTaggart, R., & Nixon, R. (2014). The action research planner: Doing critical participatory action research. Singapore: Springer.
Lorig, K. R., & Holman, H. R. (2003). Self-management education: History, definition, outcomes, and mechanisms. Annals of Behavioral Medicine, 26(1), 1–7.
The Health Data Center. (2025, July 10). สถิติผู้ป่วยใช้ยาวาร์ฟารินในประเทศไทย [อินเทอร์เน็ต]. https://hdcservice.moph.go.th
Whit, D. M., Delate, T., Clark, N. P., et al. (2009). Outcomes and predictors of very stable INR control during chronic anticoagulation therapy. Blood, 114(5), 952–956. https://doi.org/10.1182/blood-2009-02-205591
World Health Organization. (2017). WHO Global Patient Safety Challenge: Medication Without Harm. Geneva: World Health Organization.
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.