การศึกษาค่า Carcinoembryonic antigen (CEA) ในผู้มารับบริการ ที่โรงพยาบาลมะเร็งอุดรธานี

Main Article Content

ประภัสสร ศรีแสงจันทร์

บทคัดย่อ

          มะเร็งลำไส้ใหญ่เป็นมะเร็งที่พบบ่อย และเป็นสาเหตุการเสียชีวิตของประชากรในประเทศไทยที่มี แนวโน้มสูงขึ้น ปัจจุบัน Carcinoembryonic antigen (CEA) ได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลายให้ใช้เป็น Tumor marker สำหรับมะเร็งลำไส้ใหญ่จะพบ CEA สูงได้มากและได้บ่อยกว่ามะเร็งชนิดอื่น ๆ การศึกษาในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ของค่า Carcinoembryonic antigen (CEA) กับการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ ในผู้มารับบริการที่โรงพยาบาลมะเร็งอุดรธานี โดยใช้แบบบันทึกเก็บข้อมูลระหว่างเดือน มกราคม พ.ศ.2555-เดือน ธันวาคม พ.ศ.2558 ในกลุ่มประชากรที่มีผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการครบถ้วน พบผู้เข้ารับบริการ 781 ราย แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือกลุ่มผู้ไม่เป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ 683 ราย และกลุ่มผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่ 98 ราย พบว่า ผู้ไม่เป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ และผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่มีค่า CEA เฉลี่ย 3.99 และ 135.81 ng/mL ตามลำดับ พบว่า ผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่มีค่าเฉลี่ยของ CEA สูงกว่ากลุ่มผู้ไม่เป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p value <0.05) และ พบว่า เพศ อายุ Body mass index (BMI) ประวัติญาติสายตรงเป็นมะเร็ง การสูบบุหรี่ การดื่ม แอลกอฮอล์ ค่า CEA และ ผลตรวจ Fecal occult blood test มีความสัมพันธ์กับการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p value <0.05) ส่วนประวัติการทานอาหารสุก ๆ ดิบ ๆ ไม่มีความสัมพันธ์อย่างมี นัยสำคัญทางสถิติ ในกลุ่มผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่ พบว่ามีความสัมพันธ์ระหว่างค่า CEA กับ Stage ของมะเร็ง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ เมื่อนำระดับของ CEA มาหาค่า Cut off เพื่อใช้ในการทำนายการเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ พบว่าที่ระดับ 3.71, 3.79, 4.15 ng/mL มีความไวในการทำนาย ร้อยละ 58.7, 55.1 และ 48.1 และความจำเพาะร้อยละ 82.5, 92.9 และ 83.3 พื้นที่ใต้กราฟ 0.731, 0.761 และ 0.624 ตามลำดับ พบว่าผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่มีค่าเฉลี่ย CEA สูงกว่ากลุ่มผู้ไม่เป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ และมีความสัมพันธ์ระหว่างค่า CEA กับ Stage ของมะเร็งลำไส้ใหญ่อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ หากพิจารณาค่า cut off ที่เหมาะสมร่วมด้วย จะสามารถนำค่า CEA มาใช้เพื่อช่วยในการวินิจฉัย เฝ้าระวังและค้นหาความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ โดยต้องคำนึงถึงประวัติการ ตรวจร่างกายและการตรวจทางการแพทย์อื่น ๆ ประกอบด้วย เพื่อใช้ประเมินการพยากรณ์โรคของผู้ป่วยก่อน ได้รับการรักษาเพื่อเป็นประโยชน์แก่ผู้ป่วยต่อไป

Article Details

How to Cite
1.
ศรีแสงจันทร์ ป. การศึกษาค่า Carcinoembryonic antigen (CEA) ในผู้มารับบริการ ที่โรงพยาบาลมะเร็งอุดรธานี. MNRHJ [อินเทอร์เน็ต]. 9 กรกฎาคม 2024 [อ้างถึง 8 มิถุนายน 2025];40(1):15-24. available at: https://he04.tci-thaijo.org/index.php/MNRHJ/article/view/1372
บท
นิพนธ์ต้นฉบับ

References

Siegel R, Ma J, Zou Z, Jemal A. Cancer statistics. CA Cancer J Clin 2014; 64: 9-29.

Imsamram W, Chaiwerawattana A, Wiangnon S, Pongnikorn D, Suwanrung K, Sangrajrang S, et al. Cancer in Thailand Vol. VIII. Bangkok: 2015

วิษณุ ปานจันทร์, เสาวคนธ์ ศุกรโยธิน, อาคม ชัยวีระวัฒนะ, วีรวุฒิ อิ่มสำราญ. แนวทางการตรวจคัดกรอง วินิจฉัย และรักษาโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ และไส้ตรง. กรุงเทพมหานคร: โฆสิตการพิมพ์จำกัด 2558.

กิตติศักดิ์ อักษรวงศ์. Lateral ligament invasion, circumference of the rectal wall invasion และอัตราการรอดชีพ ของผู้ป่วยมะเร็งไส้ตรง. Khon Kaen Med J 2558; 39: 13-23.

Wiwatchaikul A. Diagnostic performance of doublecontrast barium enema comparing with colonoscopy for detecting colorectal cancer and polyp in Nakornping Hospital. Lumpang Med J 2011; 32; 81-8.

สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์. แผนการป้องกัน และควบคุมโรคมะเร็งแห่งชาติ (พ.ศ. 2556-2560).กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จำกัด 2556.

สุพรรณี พรหมเทศ, สุพจน์ คำสะอาด, ภัทรวุฒิ วัฒนศัพท์, สุรพล เวียงนนท์, กฤติกา สุวรรณรุ่งเรือง, กีรติ ภูมิผักแว่น. ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งในคนไทยภาคตะวันออกเฉียง-เหนือ. (ออนไลน์) 2553 (อ้างเมื่อ 15 ธันวาคม 2559). จาก http://kb.hsri.or.th/dspace/handle/11228/3402?localeattribute=th

Matsuo K, Mizoue T, Tanaka K, Tsuji I, Sugawara Y, Sasazuki S, et al. Association between body mass index and the colorectal cancer risk in Japan: pooled analysis of population-based cohort studies in Japan. Ann Oncol 2012; 23: 479-90.

Fedirko V, Tramacere I, Bagnardi V, Rota M, Scotti L, Islami F, et al. Alcohol drinking and colorectal cancer risk: an overall and dose-response meta-analysis of published studies. Ann Oncol 2011; 22: 1958-72.

Wang Y, Duan H, Yung H, Lin J. A pooled analysis of alcohol intake and colorectal cancer. Int J Clin Exp Med 2015; 8: 6878-89.

Botteri E, Iodice S, Bagnardi V, Raimondi S, Lowenfels AB, Maisonneuve P. Smoking and colorectal cancer: a meta-analysis. JAMA 2008; 300: 2765-78.

Parajuli R, Bjrekaas E, Tverdal A, Selmer R, Le Marchand L, Weiderpass E, et al. The increased risk of colon cancer due to cigarette smoking may be greater in women than men. Cancer Epidemiol Biomarkers Prev 2013; 22: 862-71.

Macdonald JS. Carcinoembryonic antigen screening: pros and cons. Semin Oncol 1999; 26: 556-60.

Bel Hadj Hmida Y, Tahri N, Sellami A, Yangui N, Jlidi R, Beyrouti MI, et al. Sensitivity, specificity and prognostic value of CEA in colorectal cancer: results of Tunisian series and literature review. Tunis Med 2001; 79: 434-40.

Gonzalez-Pons M, Cruz-Correa M. Colorectal cancer biomarkers: where are we now? Biomed Res Int 2015; 2015: 149014.

Vukobrat-Bijedic Z, Husic-Selimovic A, Sofic A, Bijedic N, Bjelogrlic I, Gogov B, et al. Cancer antigens (CEA and CA 19-9) as markers of advanced stage of colorectal carcinoma. Med Arch 2013; 67: 397-401. http://doi.org/10.5455/medarh.2013.67.397-401

Liu F, Yang WJ, Sun Z, Cao J. Prognostic value of preoperative carcinoembryonic antigen level in patients with stage I-III colorectal cancer. J Southern Med Univ 2016; 36: 1281-5.

โสภณ จุติอมรเลิศ, ภัทรพิมพ์ สรรพวีรวงศ์. สารบ่งชี้มะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก. สงขลานครินทร์เวชสาร2553; 28: 97-102.