Myasthenia Gravis ที่ดื้อยาและรักษาด้วยการตัดต่อมไทมัส

Main Article Content

วีรศักดิ์ เกียรติผดุงกุล
สุรินทร์ แซ่ตั้ง

บทคัดย่อ

          วัตถุประสงค์: เพื่อศึกษาการผลทางคลินิกในผู้ป่วยโรค Myasthenia gravis (MG) ที่รักษา ด้วยยาแล้วโรคไม่สงบ แล้วรักษาด้วยการตัดต่อมไทมัส (Thymectomy) ผู้ป่วยและวิธีการ: ศึกษาย้อนหลัง 3 ปี ระหว่างปีงบประมาณ 2549-2551 จากเวชระเบียนผู้ป่วยโรค MG ในคลินิกประสาทวิทยา กลุ่มงานอายุรกรรม โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา ที่ได้รับการรักษาด้วยยาแล้วโรคไม่สงบแล้วส่งต่อศัลยแพทย์ทรวงอก ผ่าตัดต่อมไทมัส โดยศึกษาอาการทางคลินิกเปรียบเทียบก่อนและหลังผ่าตัด ผลการศึกษา: ผู้ป่วยโรค MG ที่มีลักษณะอาการตาม Osserman classification I ถึง III รักษา


โดยประสาทแพทย์จำนวน 12 ราย ได้ตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ทรวงอกทั้ง 12 ราย มีต่อมไทมัสโต 1 ราย ทั้งหมดรักษาด้วยยาแล้วโรคไม่สงบ จึงส่งผ่าตัดต่อมไทมัส หลังผ่าตัด 10 ราย (ร้อยละ 83.3) มีอาการทางคลินิกเช่น แขนขาไม่มีแรงหนังตาตก กลืนลำบาก หายใจไม่สะดวกดีขึ้นและผู้ป่วยได้ยา pyridostigmine น้อยลง อีก 2 รายอาการไม่เปลี่ยนแปลงต้องได้ยา pyridostigmine เท่าเดิม ผลชิ้นเนื้อทางพยาธิวิทยาเป็น hyperplasia ทั้ง 12 ราย สรุป: การผ่าตัดต่อมไทมัสได้ผลดี สำหรับผู้ป่วย MG ที่การรักษาด้วยยาแล้วโรคไม่สงบ

Article Details

How to Cite
เกียรติผดุงกุล ว., & แซ่ตั้ง ส. (2024). Myasthenia Gravis ที่ดื้อยาและรักษาด้วยการตัดต่อมไทมัส. วารสารโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา, 33(2), 93–99. สืบค้น จาก https://he04.tci-thaijo.org/index.php/MNRHJ/article/view/1838
บท
นิพนธ์ต้นฉบับ

References

Wiederholt WC. Neurology for Non-Neurologists. 4th edition. Philadelphia: WB Saunders; 1982.

Swain J A.Myasthenia Gravis.Ann. Thorac. Surg.1995; 60(1): 223-4.

Blossom B G, Ernstoff M R, Howells A G, Bendick J P, and Glover L J.Thymectomy for Myasthenia Gravis.Arch Surg, 1993; 128(8): 855-862.

Masaoka A, Yamakawa Y, Niwa H, Fukai I, Kondo S, Kobayashi M, et al. Extended Thymectomy for Myasthenia Gravis Patients: A 20-Year Review. Ann Thorac Surg 1996; 62: 853-9.

Nieto IP, Robledo JP, Pajuelo MC, Montes JA, Giron JG, Alonso JG, et al. Prognostic factors for myasthenia gravis treated by thymectomy: review of 61 cases. Ann Thorac Surg 1999; 67: 1568-71.