ประสิทธิภาพทางคลินิกของ Clindamycin phosphate ชนิดฉีดในการรักษาผู้ป่วยติดเชื้อรุนแรงที่ผิวหนังและเนื้อเยื่อ
Main Article Content
บทคัดย่อ
การติดเชื้อรุนแรงของผิวหนังและเนื้อเยื่อ เช่น cellulites, necrotizing fascitis เป็นาการติดเชื้อพบได้บ่อย ยา clindamycin ให้ผลการรักษาที่ดีในการติดเชื้อของผิวหนังและเนื้อเยื่อ วัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาประสิทธิภาพและผลข้างเคียงของยา clindamycin ที่ผลิตภายในประเทศชนิดฉีดในการที่มีการติดเชื้อของผิวหนังและเนื้อเยื่อรุนแรง ผลการศึกษา ผู้ป่วยที่เข้ารับการศึกษาทั้งหมด 20 ราย เป็นผู้ป่วยติดเชื้อ cellulitis 14 ราย และ Necrotizing fascitis 6 ราย โดยผู้ป่วยร้อยละ 45 ได้รับยาปฏิชีวนะ ชนิด third generation cephalosporin ( ceftriaxone, cefotaxime ) ร่วมด้วย ข้อมูลทางคลินิกพบว่าผู้ป่วยร้อยละ 50 อาการแสดงดีขึ้น (ไข้ลดลง อาการ /อาการแสดงของการติดเชื้อลดลง) ภายหลังได้รับการรักษา 3 วันและเปลี่ยนเป็นยารับประทานได้ ผู้ป่วยทั้งหมดสามารถเปลี่ยนเป็นยารับประทานได้ภายใน 7 วัน โดยร้อยละ 95 ใช้ยารับประทาน clindamycin อย่างเดียว ผู้ป่วยทุกรายไม่มีอาการ / อาการแสดงของการติดเชื้อในวันที่ 14 ภายหลังการรักษาและไม่มีผู้ป่วยรายใดมีปัญหาอุจจาระร่วงหรืออาการข้างเคียงอื่น ๆ รวมทั้งผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ การตรวจหน้าที่ไต และหน้าที่ตับ อยู่ในเกณฑ์ปกติภายหลังการรักษา สรุป การใช้ยา clindamycin phosphate มีประสิทธิภาพและความปลอดภัยในการรักษาผู้ป่วยที่มีการติดเชื้อที่ผิวหนังและเนื้อเยื่อรุนแรงและไม่มีผลข้างเคียงของยาที่เกิดขึ้นจากการรักษา
Article Details

This work is licensed under a Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
References
Bladdour M. Primary skin infection in primary care. Update Infect Med 1993; 10:42-9.
Brook I, Frazter EH. Clinical and microbiolgical features of Necrotizing fasciitis. J Clin Microbiol 1995; 33: 2382.
Swartz MN. Skin and soft tissues infection. In: Mandell GL, Bennett JE, Dolin R, editors. Principle and practice of infectious disease, 4th ed. New York: Churchill Livingstone 1995: p.909-14.
Sutherland ME, Mezr AA. Necrotizing soft tissue infections. Surg Clin North Am 1994; 74:519-607.
Giuliano A, Lewis F, Hadley K. Bacteriology of necrotizing fasciitis. Am J Surg 1997; 134:52-7.