ความเครียดและการจัดการความเครียดยุค new normal ของพยาบาลวิชาชีพที่ปฏิบัติงาน ใน cohort ward ของโรงพยาบาลในจังหวัดกาญจนบุรี
บทคัดย่อ
การศึกษานี้เป็นการศึกษาเชิงพรรณนา เพื่อศึกษาความเครียดและการจัดการความเครียดยุค new normal ของพยาบาลวิชาชีพที่ปฏิบัติงานในcohort ward ของโรงพยาบาลในจังหวัดกาญจนบุรี ปี 2564 เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามออนไลน์ แบบสอบถามประกอบไปด้วย 4 ส่วน ดังนี้ คือ ส่วนที่ 1 ข้อมูลทั่วไป ส่วนที่ 2 ที่มาของความเครียด ส่วนที่ 3 อาการของความเครียด ส่วนที่ 4 วิธีการจัดการกับความเครียด วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา ผลการศึกษาพบว่ามี อายุตั้งแต่ 21-56 ปี สถานภาพ โสด ร้อยละ 50 มีสถานภาพสมรส ร้อยละ 42.94 มีวุฒิการศึกษาระดับปริญญาตรี ร้อยละ 94.11 มีความเพียงพอของรายได้ คิดเป็นร้อยละ 92.36 และรู้สึกว่ารายได้ไม่เพียงพอ มีหนี้สิน ร้อยละ 7.64 ตามลำดับ ระยะเวลาที่ปฏิบัติงานใน cohort ward น้อยที่สุด คือ 2 วัน คิดเป็นร้อยละ 0.58 รองลงมา คือ ปฏิบัติงาน 2 สัปดาห์ คิดเป็นร้อยละ 1.17 และปฏิบัติงานยาวนานที่สุด 2 ปี ร้อยละ 0.58 พยาบาลวิชาชีพที่ขึ้นปฏิบัติงานในตึก cohort Ward ส่วนใหญ่อยู่ในระดับผู้ชำนาญการ ร้อยละ 89.42 อยู่ในระดับปฏิบัติการ ร้อยละ 10.58 รูปแบบการทำงานที่เป็นผลัด หมุนเวียนกันในการปฏิบัติงาน คราวละ 8 ชั่วโมงต่อเวร (ทั้ง เช้า บ่าย ดึก) คิดเป็นร้อยละ 74.11 เมื่อวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาแล้ว ผลการศึกษาพบว่า ส่วนใหญ่มีความเครียดอยู่ในระดับเครียดเล็กน้อย (mild stress) ร้อยละ 35.88 ผู้ที่มีความเครียดมาก เป็นผู้ที่ปฏิบัติงานในตึกมากกว่า 1 ปี และอยู่ในช่วงอายุ 42-56 ปี ผู้ที่มีภาวะสุขภาพจิตปกติ พบร้อยละ 25.88 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อความเครียดได้แก่ อายุ สถานภาพ ความเพียงพอของรายได้ของตนเองและครอบครัว ตลอดจนระยะเวลาที่ปฏิบัติงานในตึกCohort ของพยาบาลวิชาชีพโรงพยาบาลในจังหวัดกาญจนบุรี มีความสัมพันธ์กับความเครียด อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ P-value<0.005 พยาบาลวิชาชีพส่วนใหญ่ที่ปฏิบัติงานใน Cohort ward ใช้วิธี หมั่นสังเกตความผิดปกติของร่างกาย จิตใจ และพฤติกรรมที่มีความเครียดมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 27.64 เพื่อที่จะลดความเครียดด้วยตนเอง รองลงมา ใช้วิธีใช้วิธีทำกิจกรรมที่ชอบ เช่น ออกกำลังกาย เล่นกีฬา ท่องเที่ยว สังสรรค์ ทำบุญ เล่นดนตรี และสร้างบรรยากาศโดยจัดสิ่งแวดล้อมรอบๆตัวให้สบายตา เป็นระเบียบ น่าอยู่ น่าทำงาน คิดเป็นร้อยละ 26.47, 24.70 ตามลำดับ และไม่มีพยาบาลคนใดเลยที่ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อจัดการกับความเครียด
References
Selye. 1956.The Stress of Life (Revised Edition) Uitgever: McGraw-Hill, NY, USA .
Lazarus and Folkman.1984.. Psychological Stress and the Coping Process. New York: McGraw-Hill.
Baron Robert and Jerald Greenberg.1990.Behavior in Organization : Understanding and Managing the Human Side of Work. Boston : Allyu & Bacon.
กระทรวงมหาดไทย. 2564. ข้อมูลจากศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19. สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย: กรุงเทพมหานคร.
วรรณรัตน์ สิริพงศ์. 2550. การศึกษาผลของการจัดโปรแกรมคลายเครียดในการทำงานของพยาบาลในโรงพยาบาลศูนย์.มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์: สงขลา.
นิษฐ์ ประสีระเตสัง. 2553. การประเมินความเครียดจากการทำงานของพนักงานในนิคมอุตสาหกรรมภาคเหนือจังหวัดลำพูน. มหาวิทยาลัยเชียงใหม่:เชียงใหม่.
เกศรินทร์ ปัญญาดวง. 2552. ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับความเครียดในการทำงานจากการรับรู้ของพนักงานให้บริการลูกค้า ทางโทรศัพท์. การค้นคว้าแบบอิสระศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.
Downloads
เผยแพร่แล้ว
How to Cite
ฉบับ
บท
License
Copyright (c) 2021 โรงพยาบาลพหลพลพยุหเสนา
This work is licensed under a Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของโรงพยาบาลพหลพลพยุหเสนา
ข้อความที่ปรากฏในบทความแต่ละเรื่องในวารสารวิชาการเล่มนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนแต่ละท่านไม่เกี่ยวข้องกับโรงพยาบาลพหลพลพยุหเสนาและบุคลากรท่านอื่น ๆ ในโรงพยาบาลฯ แต่อย่างใด ความรับผิดชอบองค์ประกอบทั้งหมดของบทความแต่ละเรื่องเป็นของผู้เขียนแต่ละท่าน หากมีความผิดพลาดใด ๆ ผู้เขียนแต่ละท่านจะรับผิดชอบบทความของตนเอง