การศึกษาระดับเอนไซม์โคลีนเอสเตอเรสในเลือดของหญิงตั้งครรภ์เปรียบเทียบกับหญิงไม่ตั้งครรภ์มีผลต่อการหมดฤทธิ์ของยาคลายกล้ามเนื้อซัคซินิลโคลีนที่โรงพยาบาลพหลพลพยุหเสนา
คำสำคัญ:
การระงับความรู้สึกทั่วตัว, ระดับโคลีนเอสเตอเรสในเลือด, ผู้หญิงตั้งครรภ์, ยาคลายกล้ามเนื้อซัลซินิลโคลีนบทคัดย่อ
วัตถุประสงค์: เพื่อเปรียบเทียบระดับเอนไซม์โคลีนเอสเตอเรสในเลือดก่อนผ่าตัดและระหว่างผ่าตัด ในหญิงตั้งครรภ์กับหญิงที่ไม่ได้ตั้งครรภ์ที่ได้รับยาระงับความรู้สึกทั่วตัวและใช้ยาคลายกล้ามเนื้อซัคซินิลโคลีนในการใส่ท่อช่วยหายใจ
วิธีการวิจัย: เป็นการศึกษาภาคตัดขวางเชิงวิเคราะห์ในประชากรหญิงตั้งครรภ์และไม่ตั้งครรภ์ อายุระหว่าง 18-45 ปี ASA Physical Status I-III ที่เข้ารับการผ่าตัดคลอดหรือผ่าตัดอื่น ๆ โดยได้รับยาระงับความรู้สึกทั่วตัวและใช้ยาคลายกล้ามเนื้อซัคซินิลโคลีนในการใส่ท่อช่วยหายใจ ที่โรงพยาบาลพหลพลพยุหเสนา จังหวัดกาญจนบุรี โดยแบ่งเป็นหญิงตั้งครรภ์ 19 ราย และไม่ตั้งครรภ์ 20 ราย เจาะเลือดตรวจเอนไซม์โคลีนเอสเตอเรส 2 ครั้ง คือ ก่อนดมยาสลบและหลังได้ยาซัคซินิลโคลีน 10 นาที วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการทดสอบค่าทีแบบเป็นอิสระต่อกัน
ผลการวิจัย: ข้อมูลพื้นฐานของทั้งสองกลุ่มไม่แตกต่างกันยกเว้นอายุเฉลี่ยที่กลุ่มหญิงตั้งครรภ์น้อยกว่ากลุ่มไม่ตั้งครรภ์ (p<0.001) ในกลุ่มหญิงตั้งครรภ์พบระดับเอนไซม์โคลีนเอสเตอเรสในเลือดก่อนผ่าตัดและระหว่างผ่าตัดเท่ากับ 6,968.32±1,385.07 และ 5,998.47±1,343.96 หน่วยต่อลิตรตามลำดับ ส่วนกลุ่มหญิงไม่ตั้งครรภ์มีระดับเอนไซม์ โคลีนเอสเตอเรสในเลือดก่อนผ่าตัดและระหว่างผ่าตัด เท่ากับ 10,078.05±2,362.41 และ 8,954.50±2,431.83 หน่วยต่อลิตรตามลำดับ เมื่อเปรียบเทียบระหว่างกลุ่มพบว่าระดับเอนไซม์โคลีนเอสเตอเรสในเลือดของหญิงตั้งครรภ์ต่ำกว่าหญิงไม่ตั้งครรภ์ทั้งก่อนและระหว่างผ่าตัดอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.001)
สรุปผล: ระดับเอนไซม์โคลีนเอสเตอเรสในเลือดทั้งก่อนผ่าตัดและระหว่างผ่าตัดในหญิงตั้งครรภ์มีระดับที่ต่ำกว่าหญิงไม่ตั้งครรภ์อย่างชัดเจน แต่ยังอยู่ในระดับที่ปลอดภัยต่ออาสาสมัคร ทั้งนี้ควรเฝ้าระวังการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาที่สำคัญในการวางแผนการระงับความรู้สึกทั่วตัวโดยอาศัยยาซัคซินิลโคลีน สำหรับการใส่ท่อช่วยหายใจ
เอกสารอ้างอิง
อรวรรณ พงศ์รวีวรรณ. Anesthesia [อินเทอร์เน็ต]. [ไม่ปรากฎปีที่พิมพ์] [เข้าถึงเมื่อวันที่ 20 ต.ค. 2568]. เข้าถึงได้จาก: http://www.ckphosp.go.th/diapo.1.0.4/diapo/หน้าเพจ/หน่วยงานในองค์กร/แพทย์ประจำบ้าน%20กง.ศัลยกรรม/Basic%20science%20ปี%202019%20-%202020/2019/Anesthesia.pdf
Harma M, Harmar M, Verit F, Kafali H, Artuc H, Demir N. Plasma cholinesterase levels in non-pregnant, normal pregnant and preeclamptic patients. Sanliurfa, Turkey: University of Harran; 2004.
Kwon JH, Kim KH, Lee DH, Suh JK, Yoo HK, Chon SU, et al. The changes of serum cholinesterase activity in term-pregnant: in the Cesarean section patients. Korean Journal of Anesthesiology 1990;23(2):231-6.
Evans RT, Wroe JM. Plasma cholinesterase changes during pregnancy. Anaesthesia. 1980;35(7):651-4.
บริษัท กรุงเทพ อาร์ไอเอ จำกัด. คู่มือการจัดเก็บสิ่งส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการ [อินเทอร์เน็ต]. 2568 [เข้าถึงเมื่อวันที่ 19 ต.ค. 2568]. เข้าถึงได้จาก: https://www.brianet.com/eliza-test/
Blitt CD, Petty WC, Alberternst EE, Wright BJ. Correlation of plasma cholinesterase activity and duration of action of succinylcholine during pregnancy. Anesthesia & Analgesia. 1977;56(1):78-83.
ณิชกานต์ แก้วบัวดี, วิราภรณ์ โพธิศิริ. การมีบุตรคนแรกช้าของสตรีสมรสในประเทศไทย : สถานการณ์ แนวโน้ม และปัจจัยกำหนด. วารสารศรีนครินทรวิโรฒวิจัยและพัฒนา (สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์). 2562;11(22):57-74.
Robertson GS. Serum cholinesterase deficiency II: pregnancy. British Journal of Anaesthesia. 1996;38(5):361-9.
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 โรงพยาบาลพหลพลพยุหเสนา

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของโรงพยาบาลพหลพลพยุหเสนา
ข้อความที่ปรากฏในบทความแต่ละเรื่องในวารสารวิชาการเล่มนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนแต่ละท่านไม่เกี่ยวข้องกับโรงพยาบาลพหลพลพยุหเสนาและบุคลากรท่านอื่น ๆ ในโรงพยาบาลฯ แต่อย่างใด ความรับผิดชอบองค์ประกอบทั้งหมดของบทความแต่ละเรื่องเป็นของผู้เขียนแต่ละท่าน หากมีความผิดพลาดใด ๆ ผู้เขียนแต่ละท่านจะรับผิดชอบบทความของตนเอง

