การศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อความมั่นคงภายหลังการใส่เฝือกรักษาภาวะกระดูกเรเดียสส่วนปลายหัก ในผู้ป่วยโรงพยาบาลยโสธร

ผู้แต่ง

  • นฤชา ชัยโชติรานันท์ โรงพยาบาลยโสธร

คำสำคัญ:

ปัจจัยที่มีผลต่อความมั่นคง, กระดูกเรเดียสส่วนปลายหัก

บทคัดย่อ

ภาวะปลายกระดูกเรเดียสหักเป็นหนึ่งในกระดูกหักที่พบได้บ่อย รักษาโดยการจัดกระดูกให้เข้าที่และดามกระดูกโดย
ใช้เฝือก เป็นการรักษาที่นิยมใช้แบบหนึ่ง เพื่อใช้ดามกระดูกเบื้องต้นในช่วงแรกหรือใช้เป็นการรักษาหลักในผู้ป่วยแต่ละราย
มีหลายปัจจัยที่มีโอกาสส่งผลต่อภาวะไม่มั่นคงของปลายกระดูกเรเดียสหักภายหลังการจัดกระดูกให้เข้าที่เพียงพอ ร่วมกับการ
ดามโดยใช้เฝือกและหาความสัมพันธ์ถึงปัจจัยที่มีผลต่อการทรุดของกระดูกเรเดียสร่วมกับบอกแนวโน้มถึงโอกาสทรุดของปลาย
กระดูกเรเดียสในกรณีที่ผู้ป่วยมีปัจจัยต่างๆเหล่านี้มาเกี่ยวข้อง เพื่อให้แพทย์สามารถ ตัดสินใจในการวางแผนการรักษาภาวะ
ปลายกระดูกเรเดียสหักได้อย่างดีและเหมาะสมมากขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยหลักที่ส่งผลกระทบต่อภาวะไม่มั่นคง
ของปลายกระดูกเรเดียสหลังใส่เฝือกและสามารถบอกโอกาสการเกิดภาวะความไม่มั่นคง ในกรณีที่ผู้ป่วยมีปัจจัยเหล่านี้มา
เกี่ยวข้องได้ การศึกษานี้ใช้รูปแบบการศึกษาย้อนหลัง โดยศึกษาจากผู้ป่วยปลายกระดูกเรเดียสหักที่ได้รับการรักษาใน
โรงพยาบาลยโสธรตั้งแต่ 1 กันยายน 2563 ถึง 30 ตุลาคม 2564 รวม 272 คน มี 219 คนที่เข้าเกณฑ์การคัดเลือก แบ่ง
ออกเป็น 2 กลุ่ม โดยใช้การเคลื่อนทรุดลงและมีภาวะไม่มั่นคงหลังดึงจัดกระดูกเป็นตัวแบ่ง จากนั้นเก็บข้อมูลที่ทำการศึกษา
ได้แก่ อายุ, เพศ, ข้อมือข้างที่หัก, Radial Height, Radial inclination, Ulnar variance, Dorsal angulation, Dorsal
comminution, articular step-off, Distal ulnar fracture จากภาพถ่ายทางรังสีก่อนทำการรักษา เพื่อนำข้อมูลที่ได้ของทั้ง
2 กลุ่มมาประเมิน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยวิธีทางสถิติ และหาความเสี่ยงสัมพัทธ์ด้วย Multivariable logistic regression ผล
การศึกษาพบว่าปัจจัยที่ทำการศึกษา ได้แก่ เพศ, อายุ, Radial Height, Radial inclination, Ulnar variance, Dorsal tilt
และ Dorsal comminution เป็นปัจจัยซึ่งมีผลต่อความมั่นคงของภาวะปลายกระดูกเรเดียสหัก ส่วนปัจจัย Intraarticular
Fracture และ Ulnar fracture เป็นปัจจัยที่ไม่มีความเกี่ยวข้อง จากนั้นนําปัจจัยที่เกี่ยวข้องมาวิเคราะห์เพื่อหาความน่าจะเป็น
ในการเกิดความไม่มั่นคง พบว่า ถ้าผู้ป่วยมีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป, ภาพถ่ายทางรังสีก่อนทำการรักษามี Radial Height ตั้งแต่ 4
มิลลิเมตรลงไป, Ulnar variance ตั้งแต่ 4 มิลลิเมตรขึ้นไป และมี Dorsal comminution โอกาสเกิดความไม่มั่นคงภายหลัง
การใส่เฝือกร้อยละ 96.62
สรุปผลการศึกษา: ปัจจัยหลักที่มีผลต่อความมั่นคงของปลายกระดูกเรเดียสภายหลังการรักษาโดยการใส่เฝือก ได้แก่
Ulnar variance, Radial Height, อายุของผู้ป่วย และ Dorsal comminution โดยเป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลกระทบมากที่สุด
ตามลำดับ

References

Nesbitt KS, Failla JM, Les C. Assessment

of instability factors in adult distal radius

fractures.

J Hand Surg Am 2004 Nov; 29(6):1128-

doi: 10.1016/j.jhsa.2004.06.008.

PubMed PMID: 15576227.

Chung KC, Shauver MJ, Birkmeyer JD.

Trends in the United States in the

treatment of distal radial fractures in the

elderly. J Bone Joint Surg Am 2009 Aug;

(8): 1868-73.

doi: 10.2106/JBJS.H.01297. PubMed

PMID: 19651943.

Gofton W, Liew A. Distal radius fractures:

nonoperative and percutaneous pinning

treatment options. Orthop Clin North

Am 2007 Apr; 38(2): 175-85. doi: 10.1016/j.ocl.2007.03.001. PubMed PMID:

Leung F, Ozkan M, Chow SP.

Conservative treatment of intra-articular

fractures of the distal radius--factors

affecting functional outcome. Hand Surg

Dec; 5(2): 145-53.

doi: 10.1142/s0218810400000338.

PubMed PMID: 11301509.

Cooney WP. Management of Colles’

fractures. J Hand Surg Br 1989 May;

(2): 137-9.

doi: 10.1016/0266-7681(89)90112-5.

PubMed PMID: 2746109

Melone CP Jr. Distal radius fractures:

patterns of articular fragmentation.

Orthop Clin North Am 1993 Apr; 24(2):

-53. PubMed PMID: 8479722.

Arora R, Lutz M, Deml C, Krappinger D,

Haug L, Gabl M. A prospective

randomized trial comparing

nonoperative treatment with volar

locking plate fixation for displaced and

unstable distal radial fractures in

patients sixty-five years of age and

older. J Bone Joint Surg Am 2011 Dec 7;

(23): 2146-53. doi:

2106/JBJS.J.01597. PubMed PMID:

Knirk JL, Jupiter JB. Intra-articular

fractures of the distal end of the radius

in young adults. J Bone Joint Surg Am

Jun; 68(5): 647-59. PubMed PMID:

Vaughan PA, Lui SM, Harrington IJ,

Maistrelli GL. Treatment of unstable

fractures of the distal radius by external

fixation. J Bone Joint Surg Br 1985 May;

(3): 385-9. doi: 10.1302/0301-

X.67B3.3997946. PubMed PMID:

Makhni EC, Ewald TJ, Kelly S, Day CS.

Effect of patient age on the radiographic

outcomes of distal radius fractures

subject to nonoperative treatment. J

Hand Surg Am 2008 Oct; 33(8): 1301-8.

doi: 10.1016/j.jhsa.2008.04.031. PubMed

PMID: 18929192.

Lafontaine M, Hardy D, Delince P.

Stability assessment of distal radius

fractures. Injury 1989 Jul; 20(4): 208-10.

doi: 10.1016/0020-1383(89)90113-7.

PubMed PMID: 2592094.

Abbaszadegan H, Jonsson U, von Sivers

K. Prediction of instability of Colles’

fractures. Acta Orthop Scand 1989; 60(6):

-50. doi:

3109/17453678909149595. PubMed

PMID: 2624083.

Mackenney PJ, McQueen MM, Elton R.

Prediction of instability in distal radial

fractures. J Bone Joint Surg Am 2006

Sep; 88(9): 1944-51. doi:

2106/JBJS.D.02520. PubMed PMID:

Hove LM, Solheim E, Skjeie R, Sorensen

FK. Prediction of secondary

displacement in Colles’ fracture. J Hand

Surg Br 1994 Dec; 19(6):731-6. doi:

1016/0266-7681(94)90247-x. PubMed

PMID: 7706876.

David SR, Margaret MM. Distal radius and

ulna fractures. In: Robert WB, Charles

MC, James DH, Paul T, editors.

Rockwood and Green’s fractures in

adults. 7th ed. Philadelphia: Lippincott

Williams & Wilkins; 2010. p. 829-80.

Hove LM, Fjeldsgaard K, Skjeie R,

Solheim E. Anatomical and functional

results five years after remanipulated

Colles' fractures. Scand J Plast Reconstr

Surg Hand Surg 1995 Dec; 29(4): 349-55.doi: 10.3109/02844319509008971.

PubMed PMID: 8771263.

Jenkins NH. The unstable Colles'

fracture. J Hand Surg Br 1989 May; 14(2):

-54. doi: 10.1016/0266-

(89)90116-2. PubMed PMID:

Foldhazy Z, Tornkvist H, Elmstedt E,

Andersson G, Hagsten B, Ahrengart L.

Long-term outcome of nonsurgically

treated distal radius fractures. J Hand

Surg Am 2007 Nov; 32(9): 1374-84. doi:

1016/j.jhsa.2007.08.019. PubMed

PMID: 17996772.

เผยแพร่แล้ว

2022-07-01